ผมเองก็กลับมาโฟกัสหน้าจอมือถือตัวเองเหมือนกัน หลังจากที่เกมดำเนินไปกว่าสิบนาที ได้ยินเสียงทุกตำแหน่งที่นั่งรวมกันอยู่ในห้องนี้ยกเว้นตำแหน่งเมจอยู่ไกลออกไป
เพราะหลังจากที่โดนผมดุไปก็เงียบกริบ ไม่หือ ไม่อือ อะไรทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาเล่นอย่างเดียว
แต่จังหวะนี้แหละ…
“เมจเข้าดิ๊!” ผมออกคำสั่ง เธอทำตามที่ผมพูดนะ…แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับทั้งที่ไมค์ยังเปิด ไอ้ยูตะก็ยังไม่ได้ปิดลำโพง เพราะยังได้ยินเสียงพวกผมสะท้อนอยู่เลย
“เออนั่นแหละ สวย” ไอ้วาโยออกปากชม ซึ่งอันนี้เถียงไม่ได้เลย จังหวะยัยหมาน้อยนี่ถือว่าดีในระดับต้นๆ ทั้งการใช้สกิล การโจมตี การคุมเลน หรือแม้กระทั่งการหลอกล่อ เธอรู้จักหน้าที่ของตำแหน่งที่เล่นเป็นอย่างดี
“ฝีมือไม่เลวนี่หว่า อย่างงี้ค่อยน่าคบหน่อย” ไอ้หมอไวน์พูดขึ้นและผมรู้สึกตงิดกับประโยคของมันนิดหน่อยเลยหันไปถามด้วยโทนเสียงที่ไม่ได้ดังมาก
“มึงพูดเหี้ยไร”
“เอ้า ทำไมอะ กูหมายถึงเอาเข้าทีมได้อะไรแบบเนี่ย” มันขยายความรูปประโยคให้ชัดเจนขึ้น แล้วเสือกไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ก็ไม่ได้ยาวกว่าประโยคเดิมเท่าไหร่ จะพูดกำกวมทำห่าอะไร
“มองค_ยไร!” ผมตวัดตามองไอ้ยูตะที่จ้องหน้าผมแล้วเสือกอมยิ้มแปลกๆ
“เอ้า กูผิดอีกละ”
ความจริงไม่ใช่แค่ไอ้ยูตะหรอกที่แอบยิ้มแปลกๆ ก็ทุกคนนั่นแหละ เห็นแล้วน่าหงุดหงิดฉิบ
เราใช้เวลาในเกมนี้โคตรนาน เกมอย่างตึงและเวลาแห่งชัยชนะก็ใกล้เข้ามาทุกที
[ใครโทรตอนนี้วะ…] เสียงปลายบ่นพึมพำหลังจากที่เงียบไปนานหลายนาที
[โหลเพลิน ทำไรอยู่] มีคนโทรเข้ามือถือแล้วรับได้ แสดงว่ายัยหมาน้อยเล่นในคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ว่าไม่ได้นะเรื่องการใช้สกิล
ว่าแต่มีผู้ชายโทรหาตอนสี่ทุ่มกว่าเนี่ยนะ คงไม่ใช่เพื่อนแล้วมั่งโทรดึกขนาดนี้ แล้วยัยหมาน้อยนี่มาจีบผมทั้งที่มีคนคุยอยู่แล้วเนี่ยนะ…เหอะ!
[เล่นเกม เอ้า…ลืมปิดไมค์]
พูดจบไมค์ของตำแหน่งเมจก็ถูกปิดทันที สำคัญขนาดทิ้งเกมเลยเหรอวะ…แต่มันก็ประจวบเหมาะกับเกมจบลงด้วยชัยชนะพอดีอีกนั่นแหละ
ผมดีดออกจากเกมก่อนจะคว่ำมือถือลงกับโซฟาแต่ดันลืมคอนโทรลแรง ส่งผลให้มีเสียงดังขึ้นนิดหน่อยเรียกรีแอคชั่นจากไอ้พวกที่นั่งอยู่ได้ไม่น้อย แต่ใครสน ผมเอื้อมมือหยิบแก้วเหล้าและกระดกรวดเดียวจนหมด
“เกมชนะ ทำไมมันโมโหวะ” ผมตวัดตามองไอ้วาโยหันไปพูดกับน้องชายตัวเอง มันคิดว่าเสียงเบาแล้วมั่งน่ะ ไอ้เวร…ได้ยินทั้งห้อง
แล้วนี่ผมโมโหเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเหรอวะ บ้าเอ๊ย!
“เรียกเด็กให้กูดิ” ผมหันไปบอกไอ้หมอไวน์ พลางยกแก้วที่เพิ่งชงใหม่ขึ้นดื่ม ผู้หญิงคนเดียวในห้องทำหน้ามุ่ยออกอาการแทนเพื่อนตัวเองทันที แต่ก็นั่นแหละ เธอพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
“จัดให้ครับเพื่อน”
ผมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้อง กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนสุดของตึกทันที
สำหรับผมไม่มีหรอกนะที่จะรอขึ้นไปพร้อมกันหรือเสร็จแล้วก็ลงมาพร้อมกัน เพราะผู้หญิงพวกนั้นล้วนแล้วแต่ถูกจ้างมา แค่ครั้งคราว…และกฎของผมคือไม่เอาซ้ำ เรื่องนี้ไอ้หมอไวน์มันรู้ดี
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดโดยผู้หญิงที่ไอ้หมอเรียกมาให้ เธอเดินเข้ามาหยุดมองผมด้วยตายั่วยวนอยู่ปลายเตียง
เพราะตอนนี้ผมนอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนเตียง โดยมีผ้านวมปิดท่อนล่างที่เปลือยเปล่า ส่วนท่อนบนยังสวมเสื้อปกติ ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะสวยหรือหุ่นดีแค่ไหน อย่างแรกที่ผมมองคือหน้า แค่ไม่ซ้ำหรือไม่คุ้น และไม่ใช่คนที่ผมรู้จักก็พอ เพราะผมไม่ได้เรียกบ่อยขนาดถึงขั้นจำหน้าไม่ได้
“มันบอกอะไรบ้าง” ผมถามขณะพ่นกลุ่มควันขาวออกจากปาก
“ไม่ได้บอกค่ะ”
ไอ้หมอเวรนี่…นับวันยิ่งหละหลวม
“ฉันไม่จูบ ไม่เล้าโลม ไม่ทำอะไรทั้งนั้น และเธอมีหน้าที่แค่ทำให้ฉันเสร็จ”
จบคำกล่าวของผม ผู้มาใหม่ก็จัดการเปลื้องเสื้อผ้าตัวเอง นั่นจึงเป็นตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางสูบบุหรี่ หลายคนพูดว่าการทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับช่วยตัวเอง ก็จริง…ผมไม่เถียง แต่แบบนั้นมันก็เมื่อยไง…
เพราะผมเองก็ทำแบบนี้มาตลอด แค่เสร็จก็จบ จะด้วยวิธีไหน ผลลัพธ์ก็เหมือนกันหมด
ปึก!!
“อย่าถอด!”
ผมปัดมือเธอพร้อมคำสั่งเสียงเข้มเมื่อเธอกำลังจะล้ำเส้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ก่อนที่ผมจะติดมันเข้าไปอย่างดีเหมือนเดิมและดันตัวเธอออก เอื้อมหยิบกระเป๋าตังค์บนโต๊ะหัวเตียง ควัก
แบงก์เทาออกมาหลายใบ วางไว้บนที่นอน
“ไปได้ละ”
“แต่ว่า…” เธอทำหน้าตกใจ อยากจะแย้ง…แต่ผมไม่เปิดโอกาส
“ออกไป!” ตวาดไล่ในโทนเสียงที่ดังกว่าเดิมอีกระดับ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะคว้าเงินและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว
ผมถอนหายใจแรงหนึ่งครั้งในตอนที่ประตูห้องถูกปิดสนิทและยังนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ครืดดดด…ครืดดดด
หน้าจอมือถือบนโต๊ะหัวเตียงที่แจ้งเตือนการโทรเข้า คิ้วหนาขมวดยุ่งเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ก่อนผมจะตัดสินใจเอื้อมหยิบมาเลื่อนรับสาย
[เพลินเองค่ะ] หึ…โทรมาจนได้สินะ
“มีอะไร” ผมถามเสียงแข็ง
[เพลินจะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้จะเอาเสื้อไปคืนนะคะ] โทรมาดึกขนาดนี้เพื่อจะบอกเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ…
“อือ” ผมครางตอบพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมุมปาก เพราะคิดว่าน่าจะรู้สาเหตุที่ยัยหมาน้อยโทรมาตอนนี้ เธอน่าจะรู้เรื่องที่ผมเรียกเด็กจากมิณแล้วแน่ๆ ไม่โทรมาเช็กก็โทรมาขัดจังหวะ
[เออ…เฮียกลับบ้านรึยัง]
“ยัง”
[อ๋อ…] ปลายสายเงียบไปหลายวิ…ทำให้ฉากตอนเล่นเกมด้วยกันวนกลับเข้ามาอยู่ในความคิดผมอีกครั้ง สำคัญคือผมดันเผลอพูดออกไป
“คุยกับอีกคนเสร็จแล้วเหรอ ถึงได้โทรหาฉัน”
[ใครคะ…] เยอะจนจำไม่ได้เลยว่างั้น ปลายสายเงียบไปราวครึ่งนาที [อ๋อ...พี่นนท์นะเหรอ เขาโทรมาถามเรื่องฝึกงานเฉยๆ ค่ะ]
“บอกฉันทำไม” ผมรีบขัดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะอยากรู้ไปทำไมวะ…งงตัวเองเหมือนกัน เพราะความจริงผมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้นะ ยิ่งเป็นเรื่องของคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่
[เอ้า ก็เฮียพูดถึง ก็เลยนึกว่า..]
“มีแค่นี้ใช่ไหม ที่จะคุย” ผมขัดอีกครั้ง ยัยหมาน้อยนี่พูดมากชะมัด…
[มีอีกค่ะ…มิณบอกว่าเฮียจะไม่ไปแคมป์ถ้าเพลินไปด้วย งั้นเพลินไม่ไปก็ได้นะคะ เฮียจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน เพราะถ้าเฮียไม่ไป เพลินก็ไม่อยากไปหรอก] น้ำเสียงเธออ่อนลงจนผมรู้ใจหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกลับรู้สึกชอบเสียงสดใสของเธอมากกว่า ปลายสายเงียบไปชั่วขณะก่อนเริ่มได้ยินเสียงอีกครั้ง
[แค่นี้แหละค่ะ ฝันดีนะคะ] แต่ดันเป็นการตัดจบบทสนทนา
“เดี๋ยว!” ผมรีบทักขึ้นก่อนที่เธอจะวางสาย
[คะ..?]
“จะไปก็ไป ยังไงพวกมันก็ต้องลากฉันไปอยู่แล้ว” ผมยกไอ้พวกแม่งมาอ้างด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ทั้งที่ความจริงถ้าผมจะไม่ไปใครก็บังคับผมไม่ได้
[จริงนะคะ เย้!!]
หน้ากลมๆ ตอนยิ้มดีใจจนแก้มป่องลอยเข้ามาในหัวทันทีและผมแม่งเสือกยิ้มตามไม่หยุด
“อือ”
[บ๊ายบายค่ะ ขับรถกลับดีๆ นะคะ]
[Special Part Minarin]
[อีมิณ มึงหลอกกู เขายังรับโทรศัพท์กูอยู่เลย]
“ฮะ! มึงโทรไปจริงดิ” ฉันควรตกใจกับอะไรก่อน เรื่องที่เฮียฟิวส์มีเวลารับสาย หรือ เรื่องที่เพื่อนรักกล้าโทรไปหาเขา
[มึงนี่มันชั่วจริงๆ] คำด่ายังลอยมาตามสาย
“อ้าวอีนี่ กูพูดจริง ได้ยินกับหู เห็นกับสองตา มีผู้หญิงขึ้นไปชั้นบนจริงๆ” ฉันยังยืนยันหนัก
แน่น เพราะเห็นผู้หญิงที่เฮียหมอเรียกมาขึ้นไปชั้นบนจริง
[แล้วทำไมเขารับสายได้ล่ะ] มันว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันสงสัยเหมือนกัน
“ได้คุยไหม หรือพอรู้ว่าเป็นมึง เขาตัดทิ้งเลย”
[อีนี่ คุยสิ คุยหลายนาทีด้วย เดี๋ยวกูแคปไปให้ดูเลย]
อันนี้ยิ่งเซอร์ไพรส์หนักเลย รับสายยังไม่น่าตกใจเท่ายอมคุย
“ได้ไงวะ ตอนคุยมึงได้ยินเสียงอะไรไหมล่ะ” ฉันยังถามต่อ
[ไม่มี ได้ยินแต่เสียงเขา ปกติด้วย ไม่เหนื่อย ไม่หอบ มึงใส่ร้ายเขา]
“กูพูดจริง มึงถามเฮียหมอไหม” ฉันเหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงเล็กน้อย
เฮียหมอไวน์ขมวดคิ้วมองหน้าฉันเหมือนกันตอนได้ยินชื่อตัวเองและยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย เหมือนพวกเขาจะจับใจความได้แล้วว่าเราคุยอะไรกัน
[ช่างเหอะ ตอนนี้กูสบายใจละ นอนดีกว่า บาย]
สิ้นเสียงสายก็ถูกตัดทันที
“มันรับสายเพลินตาใช่ไหม” เฮียหมอไวน์เป็นคนเริ่มเปิดประเด็น
“...” ฉันพยักหน้ารับ
“กูว่าละ หึ” เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นในตอนที่สองเพื่อนซี้หันมองหน้ากัน เฮียยูตะยกไหล่ขึ้นให้ฉันหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
หรือว่าเฮียฟิวส์จะเปลี่ยนไปแล้วนะ…
[-END- Special Part Minarin]