CHAOTIC LOVE : 14

1763 Words
ผมเองก็กลับมาโฟกัสหน้าจอมือถือตัวเองเหมือนกัน หลังจากที่เกมดำเนินไปกว่าสิบนาที ได้ยินเสียงทุกตำแหน่งที่นั่งรวมกันอยู่ในห้องนี้ยกเว้นตำแหน่งเมจอยู่ไกลออกไป เพราะหลังจากที่โดนผมดุไปก็เงียบกริบ ไม่หือ ไม่อือ อะไรทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาเล่นอย่างเดียว แต่จังหวะนี้แหละ… “เมจเข้าดิ๊!” ผมออกคำสั่ง เธอทำตามที่ผมพูดนะ…แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับทั้งที่ไมค์ยังเปิด ไอ้ยูตะก็ยังไม่ได้ปิดลำโพง เพราะยังได้ยินเสียงพวกผมสะท้อนอยู่เลย “เออนั่นแหละ สวย” ไอ้วาโยออกปากชม ซึ่งอันนี้เถียงไม่ได้เลย จังหวะยัยหมาน้อยนี่ถือว่าดีในระดับต้นๆ ทั้งการใช้สกิล การโจมตี การคุมเลน หรือแม้กระทั่งการหลอกล่อ เธอรู้จักหน้าที่ของตำแหน่งที่เล่นเป็นอย่างดี “ฝีมือไม่เลวนี่หว่า อย่างงี้ค่อยน่าคบหน่อย” ไอ้หมอไวน์พูดขึ้นและผมรู้สึกตงิดกับประโยคของมันนิดหน่อยเลยหันไปถามด้วยโทนเสียงที่ไม่ได้ดังมาก “มึงพูดเหี้ยไร” “เอ้า ทำไมอะ กูหมายถึงเอาเข้าทีมได้อะไรแบบเนี่ย” มันขยายความรูปประโยคให้ชัดเจนขึ้น แล้วเสือกไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ก็ไม่ได้ยาวกว่าประโยคเดิมเท่าไหร่ จะพูดกำกวมทำห่าอะไร “มองค_ยไร!” ผมตวัดตามองไอ้ยูตะที่จ้องหน้าผมแล้วเสือกอมยิ้มแปลกๆ “เอ้า กูผิดอีกละ” ความจริงไม่ใช่แค่ไอ้ยูตะหรอกที่แอบยิ้มแปลกๆ ก็ทุกคนนั่นแหละ เห็นแล้วน่าหงุดหงิดฉิบ เราใช้เวลาในเกมนี้โคตรนาน เกมอย่างตึงและเวลาแห่งชัยชนะก็ใกล้เข้ามาทุกที [ใครโทรตอนนี้วะ…] เสียงปลายบ่นพึมพำหลังจากที่เงียบไปนานหลายนาที [โหลเพลิน ทำไรอยู่] มีคนโทรเข้ามือถือแล้วรับได้ แสดงว่ายัยหมาน้อยเล่นในคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ว่าไม่ได้นะเรื่องการใช้สกิล ว่าแต่มีผู้ชายโทรหาตอนสี่ทุ่มกว่าเนี่ยนะ คงไม่ใช่เพื่อนแล้วมั่งโทรดึกขนาดนี้ แล้วยัยหมาน้อยนี่มาจีบผมทั้งที่มีคนคุยอยู่แล้วเนี่ยนะ…เหอะ! [เล่นเกม เอ้า…ลืมปิดไมค์] พูดจบไมค์ของตำแหน่งเมจก็ถูกปิดทันที สำคัญขนาดทิ้งเกมเลยเหรอวะ…แต่มันก็ประจวบเหมาะกับเกมจบลงด้วยชัยชนะพอดีอีกนั่นแหละ ผมดีดออกจากเกมก่อนจะคว่ำมือถือลงกับโซฟาแต่ดันลืมคอนโทรลแรง ส่งผลให้มีเสียงดังขึ้นนิดหน่อยเรียกรีแอคชั่นจากไอ้พวกที่นั่งอยู่ได้ไม่น้อย แต่ใครสน ผมเอื้อมมือหยิบแก้วเหล้าและกระดกรวดเดียวจนหมด “เกมชนะ ทำไมมันโมโหวะ” ผมตวัดตามองไอ้วาโยหันไปพูดกับน้องชายตัวเอง มันคิดว่าเสียงเบาแล้วมั่งน่ะ ไอ้เวร…ได้ยินทั้งห้อง แล้วนี่ผมโมโหเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเหรอวะ บ้าเอ๊ย! “เรียกเด็กให้กูดิ” ผมหันไปบอกไอ้หมอไวน์ พลางยกแก้วที่เพิ่งชงใหม่ขึ้นดื่ม ผู้หญิงคนเดียวในห้องทำหน้ามุ่ยออกอาการแทนเพื่อนตัวเองทันที แต่ก็นั่นแหละ เธอพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว “จัดให้ครับเพื่อน” ผมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้อง กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนสุดของตึกทันที สำหรับผมไม่มีหรอกนะที่จะรอขึ้นไปพร้อมกันหรือเสร็จแล้วก็ลงมาพร้อมกัน เพราะผู้หญิงพวกนั้นล้วนแล้วแต่ถูกจ้างมา แค่ครั้งคราว…และกฎของผมคือไม่เอาซ้ำ เรื่องนี้ไอ้หมอไวน์มันรู้ดี ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดโดยผู้หญิงที่ไอ้หมอเรียกมาให้ เธอเดินเข้ามาหยุดมองผมด้วยตายั่วยวนอยู่ปลายเตียง เพราะตอนนี้ผมนอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนเตียง โดยมีผ้านวมปิดท่อนล่างที่เปลือยเปล่า ส่วนท่อนบนยังสวมเสื้อปกติ ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะสวยหรือหุ่นดีแค่ไหน อย่างแรกที่ผมมองคือหน้า แค่ไม่ซ้ำหรือไม่คุ้น และไม่ใช่คนที่ผมรู้จักก็พอ เพราะผมไม่ได้เรียกบ่อยขนาดถึงขั้นจำหน้าไม่ได้ “มันบอกอะไรบ้าง” ผมถามขณะพ่นกลุ่มควันขาวออกจากปาก “ไม่ได้บอกค่ะ” ไอ้หมอเวรนี่…นับวันยิ่งหละหลวม “ฉันไม่จูบ ไม่เล้าโลม ไม่ทำอะไรทั้งนั้น และเธอมีหน้าที่แค่ทำให้ฉันเสร็จ” จบคำกล่าวของผม ผู้มาใหม่ก็จัดการเปลื้องเสื้อผ้าตัวเอง นั่นจึงเป็นตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางสูบบุหรี่ หลายคนพูดว่าการทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับช่วยตัวเอง ก็จริง…ผมไม่เถียง แต่แบบนั้นมันก็เมื่อยไง… เพราะผมเองก็ทำแบบนี้มาตลอด แค่เสร็จก็จบ จะด้วยวิธีไหน ผลลัพธ์ก็เหมือนกันหมด ปึก!! “อย่าถอด!” ผมปัดมือเธอพร้อมคำสั่งเสียงเข้มเมื่อเธอกำลังจะล้ำเส้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ก่อนที่ผมจะติดมันเข้าไปอย่างดีเหมือนเดิมและดันตัวเธอออก เอื้อมหยิบกระเป๋าตังค์บนโต๊ะหัวเตียง ควัก แบงก์เทาออกมาหลายใบ วางไว้บนที่นอน “ไปได้ละ” “แต่ว่า…” เธอทำหน้าตกใจ อยากจะแย้ง…แต่ผมไม่เปิดโอกาส “ออกไป!” ตวาดไล่ในโทนเสียงที่ดังกว่าเดิมอีกระดับ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะคว้าเงินและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว ผมถอนหายใจแรงหนึ่งครั้งในตอนที่ประตูห้องถูกปิดสนิทและยังนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ครืดดดด…ครืดดดด หน้าจอมือถือบนโต๊ะหัวเตียงที่แจ้งเตือนการโทรเข้า คิ้วหนาขมวดยุ่งเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ก่อนผมจะตัดสินใจเอื้อมหยิบมาเลื่อนรับสาย [เพลินเองค่ะ] หึ…โทรมาจนได้สินะ “มีอะไร” ผมถามเสียงแข็ง [เพลินจะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้จะเอาเสื้อไปคืนนะคะ] โทรมาดึกขนาดนี้เพื่อจะบอกเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ… “อือ” ผมครางตอบพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมุมปาก เพราะคิดว่าน่าจะรู้สาเหตุที่ยัยหมาน้อยโทรมาตอนนี้ เธอน่าจะรู้เรื่องที่ผมเรียกเด็กจากมิณแล้วแน่ๆ ไม่โทรมาเช็กก็โทรมาขัดจังหวะ [เออ…เฮียกลับบ้านรึยัง] “ยัง” [อ๋อ…] ปลายสายเงียบไปหลายวิ…ทำให้ฉากตอนเล่นเกมด้วยกันวนกลับเข้ามาอยู่ในความคิดผมอีกครั้ง สำคัญคือผมดันเผลอพูดออกไป “คุยกับอีกคนเสร็จแล้วเหรอ ถึงได้โทรหาฉัน” [ใครคะ…] เยอะจนจำไม่ได้เลยว่างั้น ปลายสายเงียบไปราวครึ่งนาที [อ๋อ...พี่นนท์นะเหรอ เขาโทรมาถามเรื่องฝึกงานเฉยๆ ค่ะ] “บอกฉันทำไม” ผมรีบขัดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะอยากรู้ไปทำไมวะ…งงตัวเองเหมือนกัน เพราะความจริงผมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้นะ ยิ่งเป็นเรื่องของคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่ [เอ้า ก็เฮียพูดถึง ก็เลยนึกว่า..] “มีแค่นี้ใช่ไหม ที่จะคุย” ผมขัดอีกครั้ง ยัยหมาน้อยนี่พูดมากชะมัด… [มีอีกค่ะ…มิณบอกว่าเฮียจะไม่ไปแคมป์ถ้าเพลินไปด้วย งั้นเพลินไม่ไปก็ได้นะคะ เฮียจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน เพราะถ้าเฮียไม่ไป เพลินก็ไม่อยากไปหรอก] น้ำเสียงเธออ่อนลงจนผมรู้ใจหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกลับรู้สึกชอบเสียงสดใสของเธอมากกว่า ปลายสายเงียบไปชั่วขณะก่อนเริ่มได้ยินเสียงอีกครั้ง [แค่นี้แหละค่ะ ฝันดีนะคะ] แต่ดันเป็นการตัดจบบทสนทนา “เดี๋ยว!” ผมรีบทักขึ้นก่อนที่เธอจะวางสาย [คะ..?] “จะไปก็ไป ยังไงพวกมันก็ต้องลากฉันไปอยู่แล้ว” ผมยกไอ้พวกแม่งมาอ้างด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ทั้งที่ความจริงถ้าผมจะไม่ไปใครก็บังคับผมไม่ได้ [จริงนะคะ เย้!!] หน้ากลมๆ ตอนยิ้มดีใจจนแก้มป่องลอยเข้ามาในหัวทันทีและผมแม่งเสือกยิ้มตามไม่หยุด “อือ” [บ๊ายบายค่ะ ขับรถกลับดีๆ นะคะ] [Special Part Minarin] [อีมิณ มึงหลอกกู เขายังรับโทรศัพท์กูอยู่เลย] “ฮะ! มึงโทรไปจริงดิ” ฉันควรตกใจกับอะไรก่อน เรื่องที่เฮียฟิวส์มีเวลารับสาย หรือ เรื่องที่เพื่อนรักกล้าโทรไปหาเขา [มึงนี่มันชั่วจริงๆ] คำด่ายังลอยมาตามสาย “อ้าวอีนี่ กูพูดจริง ได้ยินกับหู เห็นกับสองตา มีผู้หญิงขึ้นไปชั้นบนจริงๆ” ฉันยังยืนยันหนัก แน่น เพราะเห็นผู้หญิงที่เฮียหมอเรียกมาขึ้นไปชั้นบนจริง [แล้วทำไมเขารับสายได้ล่ะ] มันว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันสงสัยเหมือนกัน “ได้คุยไหม หรือพอรู้ว่าเป็นมึง เขาตัดทิ้งเลย” [อีนี่ คุยสิ คุยหลายนาทีด้วย เดี๋ยวกูแคปไปให้ดูเลย] อันนี้ยิ่งเซอร์ไพรส์หนักเลย รับสายยังไม่น่าตกใจเท่ายอมคุย “ได้ไงวะ ตอนคุยมึงได้ยินเสียงอะไรไหมล่ะ” ฉันยังถามต่อ [ไม่มี ได้ยินแต่เสียงเขา ปกติด้วย ไม่เหนื่อย ไม่หอบ มึงใส่ร้ายเขา] “กูพูดจริง มึงถามเฮียหมอไหม” ฉันเหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงเล็กน้อย เฮียหมอไวน์ขมวดคิ้วมองหน้าฉันเหมือนกันตอนได้ยินชื่อตัวเองและยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย เหมือนพวกเขาจะจับใจความได้แล้วว่าเราคุยอะไรกัน [ช่างเหอะ ตอนนี้กูสบายใจละ นอนดีกว่า บาย] สิ้นเสียงสายก็ถูกตัดทันที “มันรับสายเพลินตาใช่ไหม” เฮียหมอไวน์เป็นคนเริ่มเปิดประเด็น “...” ฉันพยักหน้ารับ “กูว่าละ หึ” เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นในตอนที่สองเพื่อนซี้หันมองหน้ากัน เฮียยูตะยกไหล่ขึ้นให้ฉันหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มมุมปาก หรือว่าเฮียฟิวส์จะเปลี่ยนไปแล้วนะ… [-END- Special Part Minarin]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD