บทที่ 5 ป่วยทั้งกายทั้งใจ

1861 Words
พี่นทีไล่ให้ฉันนอนที่พื้นไม่ต้องขึ้นไปนอนบนเตียงกับเขา พี่นทีคงเกลียดหน้าฉันมากสินะ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของพี่นทีดี การที่ไม่สมหวังในความรักมันเจ็บปวดมากแค่ไหน การที่ได้แต่แอบเฝ้ามองมันเจ็บแทบขาดใจ ฉันไม่ได้หวังว่าจะได้ความรักจากพี่นที เพราะตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ แม้แต่คำว่าน้องสาวพี่นทียังไม่หยิบยื่นมาให้ ฉันต้องนอนหลบพี่นทีอยู่ปลายเตียงเพื่อไม่ให้เขาเห็นหน้า อยู่ใกล้แค่ไหนแต่มันดูห่างไกลเสียเหลือเกิน นานวันเข้าพี่นทียิ่งอยู่ไกลเกินเอื้อม ฉันพยายามเอาใจออกห่าง แต่มันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง ความรักของฉันมันเหมือนกรงขัง ฉันจึงไม่อาจก้าวข้ามออกจากกรงขังของตัวเอง ฉันต้องทนนอนพื้นเย็นๆแข็งๆ ไม่มีผ้าห่มอุณภูมิของแอร์ที่แสนเยือกเย็น ร่างกายของฉันแทบทนแบกรับอุณภูมินี้ไม่ได้ ฉันรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก และมีอาการหนาวสั่นจนต้องขดตัวเป็นก้อนกลมๆเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง หลายครั้งที่ฉันแอบมองขึ้นไปบนเตียง เฝ้ามองผู้ชายที่ฉันรัก ฉันอยากได้ความความรักความอบอุ่นจากเขาสักครั้ง อยากได้พี่นทีคนดีคนเดิมกลับมา ฉันได้แต่หวังว่าสักวันพี่เขาจะเข้าใจในเหตุผลที่ฉันทำ และให้อภัยและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ก๊อก~ก๊อก~ก๊อก~ "คุณม่านไหมคะ คุณผู้หญิงให้มาตามคุณม่านไหม กับคุณนทีไปทานข้าวเช้าค่ะ" ฉันได้ยินเสียงเคาะเรียกดังอยู่ทางประตู ฉันพยายามจะฝืนร่างกายให้ขยับลุกขึ้น แต่มันแทบลุกไม่ไหว ร้อนอุณภูมิของร่างกายฉันรู้สึกว่ามันร้อนเหมือนตัวรุมๆ ร่างกายปวดร้าวไปทุกส่วน อาจเป็นเพราะนอนพื้นแข็งๆและเย็นเฉียบ ฉันคงโดนพิษไข้เล่นงาน ฉันพยายามกัดฟันฝืนพูดตอบออกไป ตอนนี้ฉันรู้สึกป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจ "เรียนคุณป้านาให้หน่อยนะเดี๋ยวไหมตามลงไปค่ะ" ฉันรู้สึกเกรงใจมากที่ต้องทำให้คุณป้าให้คนขึ้นมาตามลงไปทานข้าว ทั้งที่ฉันมาอยูบ้านคนอื่นแท้ๆ ฉันควรตื่นแต่เช้าและลงไปช่วยเตรียมอาหาร ฉันฝืนลืมตาขึ้นพยายามพยุงร่างกายให้ลุกยืน โดยจับขอบเตียงตรงปลายในการช่วยพยุงตัวลุกขึ้นมา และเหลียวมองหาเจ้าของห้อง ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน มีเพียงผ้าห่มที่ถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้ปลายเตียง "พี่นทีคะพี่นทีอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่าคะ คุณป้าให้คนมาตามลงไปทานข้าวข้างล่างค่ะ" ฉันพยายามเรียกหาพี่นทีเผื่ออยู่ในห้องน้ำ ฉันอยากเดินไปฟังเสียงใกล้ๆ แต่ร่างกายมันไม่เป็นไปดั่งที่ใจคิด มันแทบขยับและก้าวขาออกไปไม่ได้ ฉันรู้สึกว่าอุณภูมิในร่างกายมันร้อนสูงขึ้นเรื่อยๆ หัวที่หนักอึ้งขึ้นทุกทีที่ขยับตัว เริ่มมีอาการหน้ามืดที่มันกำลังจะเล่นงานฉัน "พี่นทีคะ" เป็นอีกครั้งที่ฉันฝืนเรียก ยังคงไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเหมือนครั้งแรก ทุกอย่างมันดูเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หรือว่าพี่นทีตื่นแต่เช้าแล้วลงไปข้างล่างโดยที่ฉันยังคงหลับอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงฝืนร่างกายเพื่อไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ตามลงไปข้างล่างโดยไม่เสียมารยาทให้ผู้ใหญ่ต้องรอนาน "อ้าวหนูไหมลงมาคนเดียวเหรอลูก แล้วตาทีไปไหนล่ะทำไมไม่ลงมาทานข้าวพร้อมกัน" พอฉันจัดการธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็รีบลงมาข้างล่าง และเดินตรงไปที่โต๊ทานข้าวทันที และต้องตกใจเมื่อป้านาถามหาพี่นที ซึ่งฉันเข้าใจว่าพี่นทีไม่อยากเห็นหน้าฉันแล้วลงมาข้างล่างก่อน คุณป้าเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ประจำ โดยที่มีคุณลุงนั่งรอกินข้าวเช้าอยู่ก่อนแล้ว ฉันรีบตามเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆคุณป้า และตอบคำถามที่คุณป้าถามมาเมื่อสักครู่ "พี่นทีไม่ได้อยู่บนห้องค่ะคุณป้า ไหมก็คิดว่าพี่นทีลงมาข้างล่างแล้ว" ฉันได้แต่ทำหน้าเลิกลักที่ไม่รู้ว่าพี่นทีไปไหน อาจเป็นเพราะพิษไข้ที่มันกำลังเล่นงานฉันอยู่ เลยทำให้ฉันไม่รู้สึกตัวและไม่อยากลืมตาตื่น ตอนนี้ฉันก็แทบจะทนฝืนมันต่อไปไม่ไหวแล้ว "มาเรียกคุณป้าอะไรกันหนูไหม เรียกพ่อกับแม่ถึงจะถูก ตอนนี้หนูแต่งงานกับตาทีเป็นเมียที่ถูกต้องของตาทีแล้วนะ เรียกพ่อกับแม่เหมือนตาทีนะลูก" ฉันเรียกแม่พี่นทีว่าคุณป้ามาตลอด พอเปลี่ยนสรพพนามเรียกใหม่ ทำให้ฉันยังไม่ชิน และรู้สึกกระดากอายเหมือนที่พี่นทีที่คอยตอกย้ำเสมอ ว่าฉันไม่สมควรมาอยู่ตำแหน่งเมียของพี่นที ที่ตรงนี้มันควรจะเป็นปิ่น พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ใบหน้าของฉันจะหม่นหมองลงทุกครั้ง "ค่ะคุณพ่อคุณแม่"ฉันยังไม่ชินที่ต้องเปลี่ยนจากเรียกคุณป้าว่าเป็นคุณแม่ ฉันพยายามฝืนยิ้มอย่างมีความสุข เพื่อไม่ให้พ่อกับแม่พี่นทีต้องลำบากหรือไม่สบายไปกับเรื่องของฉัน ฉันพยายามสอดส่ายตามองหาพี่นทีอยู่เหมือนกัน "แล้วตาทีหายหัวไปไหนแต่เช้า เหมียว เหมียว" แม่พี่นทีถามด้วยความสงสัย และเรียกเหมียวเด็กรับใช้เข้ามาที่โต๊ะกินข้าวเพื่อสอบถาม "ค่ะคุณผู้หญิงเรียกเหมียวใช่ไหมคะ" เหมียวรีบวิ่งเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากแม่พี่นที "แกเห็นลูกชายฉันไหม แล้วรถยังอยู่หรือเปล่า" เหมือนแม่พี่นทีจะสงสัยอะไรบางอย่าง จึงรีบถามเหมียวขึ้น "เหมียวไม่เห็นนะคะ รถของคุณทีก็ไม่จอดอยู่ที่โรงจอดรถ" ฟังแค่นั้นแล้วฉันพอจะเดาออกว่าพี่นทีรีบไปไหน และพ่อกับแม่พี่นทีก็คงจะพอเดาออกเหมือนกัน "ตาทีนี่เหลวไหลใหญ่แล้ว เพิ่งแต่งงานใหม่ๆแทนที่จะอยู่กับเมียตัวเอง ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ครอบครัวนั้นไม่ต้องส่งลูกสาวมาใช้เป็นเครื่องมือหลอกล่อตาที นี่คงจะโทรตามกันออกไปแต่เช้าล่ะ คุณเป็นแม่ควรสั่งสอนตาทีบ้าง ดูเหมือนจะโง่งมไม่ทันคน หรือความรักมันบังตาจนไม่เห็นว่าอะไรเป็นกรวด อะไรเป็นเพชร" พ่อพี่นทีมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าพี่นทีไม่อยู่ที่บ้าน "ฉันทั้งสั่งทั้งสอนแต่ลูกชายของคุณก็ดื้อหัวชนฝา ต้องทำอะไรอย่างที่คุณว่าจริงๆ" สีหน้าของแม่พี่นทีก็ดูหนักใจไม่น้อย มันคงจะมีเรื่องใหญ่ ไม่งั้นท่านทั้งสองคนไม่ทัดทานพี่นทีที่มาบอกท่านว่าจะขอปิ่นแต่งงาน และนั่นมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านทั้งสองมาทวงสัญญาหมั้นหมาย และขอให้ฉันแต่งงานกับพี่นที ตอนแรกฉันไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าพี่นทีไม่ได้รักฉันเลย มีเพียงฉันที่รักข้างเดียว แต่พอท่านอธิบายเหตุผลบางอย่างให้ฟัง พ่อกับแม่ก็เห็นด้วย และเห็นว่าพี่นทีเหมาะสมที่ท่านทั้งสองจะฝากลูกสาวให้พี่นทีดูแล "ตักข้าวเหมียวกินกันแต่สามคนนี่แหละ คุณรีบโทรตามมันกลับมาเลย แต่งงานมีเมียแล้วยังจะไปยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงอื่นอีก ไม่ไว้หน้าเมียตัวเองใช้ไม่ได้" ความขุ่นเคืองของพ่อพี่นทีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คงรู้ว่าผู้หญิงที่พี่นทีไปหาคือปิ่นมุก ฉันก็คิดแบบเดียวกัน ความเจ็บปวดหัวใจมันตีตื้นขึ้นมา คนที่ได้ใจของพี่นทีไปคงมีเพียงปิ่นมุกคนเดียว ฉันไม่สามารถเข้าไปแทรกกลาง และแทนที่ในใจตรงนั้นของพี่นทีได้เลย ฉันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ฉันก็ไม่อาจจะละหน้าที่ออกไปตอนนี้ได้ จนกว่าทุกอย่างมันจะเข้าที่เข้าทางของมัน พอถึงเวลานั้นหัวใจของฉันคงแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ความรักที่ถูกโยนทิ้งแบบไม่ใยดี แถมยังถูกมองว่าหน้าด้านหน้าทน แย่งของๆคนอื่น หัวฉันเริ่มจะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตัวมันร้อนเหมือนมีไฟมาสุมอยู่รอบตัว ความร้อนในร่างกายแผ่ระอุออกมา จนมันแทบผลิแตกออกมาตามผิวหนัง "หนูไหมไม่สบายหรือเปล่าลูกดูหน้าซีดๆนะ" แม่พี่นทีสังเกตุเห็นความผิดปกติของฉัน ใบหน้าของฉันเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมา พิษไข้มันคงเล่นงานฉันหนักขึ้น ฉันพยายามฝืนทำเหมือนไม่เป็นอะไรมาก เพื่อให้พ่อแม่ของพี่นทีไม่ต้องเป็นกังวล "หนูปวดหัวนิดหน่อยค่ะคุณแม่ อาจจะยังเพลียเพราะงานแต่งเพิ่งผ่านไป หนูคงตื่นเต้นมากไปหน่อยค่" ฉันฝืนยิ้มและตอบคำถามเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย ว่าเมื่อคืนพี่นทีทำอะไรกับฉันมาบ้าง ไม่งั้นพ่อกับแม่พี่นทีคงต้องอาละวาดพี่นทีอีกแน่ๆ "งั้นหนูก็รีบทานข้าวแล้วขึ้นไปกินยาแล้วพักผ่อนเถอะแม่จะโทรตามพี่เขาให้กลับมาดูแลเมีย ไม่ใช่ไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่เมียตัวเอง" แม่ของพี่นทีเสียงขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพอจะรู้ว่าพี่นทีออกไปหาใคร ใบหน้าฉันมันดูเศร้าหมองและไม่มีความสุข แต่ฉันพยายามฝืนข่มความรู้สึกเสียใจ น้อยใจเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุด "ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ไหมกินยาเดี๋ยวก็หายค่ะ พี่นทีอาจจะออกไปทำธุระอยู่ก็ได้ ไหมไม่อยากรบกวนพี่นทีค่ะ" ฉันพยายามพูดในแง่ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับใคร "ไม่ได้ ยังไงตาทีก็ต้องกลับมาบ้านอยู่เป็นเพื่อนหนู แม่ว่าหนูไหมรีบขึ้นห้องไปกินยาพักเถอะ ส่วนตาทีแม่จะจัดการเอง" ฉันจำยอมทำตามทำตามแม่ของพี่นที ฉันกินข้าวต้มได้นิดหน่อยเพราะไม่รู้สึกหิว และเจ็บคอจนแทบกลืนไม่ลง เมื่อทานข้าวเสร็จฉันจึงขอนุญาตขึ้นไปกินยาจะได้นอนพัก ตัวฉันเริ่มร้อนหนักจนแผ่รังสีความร้อนออกมานอกร่างกาย พอลุกขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ หัวมันโครงเครงหมุนวน และรู้สึกว่ามีความมืดเข้ามาครอบงำโดยไม่ทันตั้งตัว "หนูไหม" นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิทลง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD