ตอนที่3.พี่กุ๊กฉวยจัง
เป็นหัวหน้าเชฟไม่ใช่ว่าจะมายืนสวยๆเชิดๆแค่นั้นหรือว่าแค่คอยมาชิมรสชาติอาหารเพียงอย่างเดียว ฉันยังต้องควบคุมพ่อสองขุนปรุงอาหารให้รสชาติคงเส้นคงวา ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าจะอยู่ที่นี่ไม่นานแต่ก็หวังว่าซักวันหนึ่งหากมีนักชิมจากมิชลินไกด์มาชิมถึงที่นี่ ก็ควรได้รับรางวัลมิชลินสตาร์กับเขาบ้าง
ฉันยกมือท่วมหัวหน้าศาลพระภูมิและศาลท่านเจ้าที่เจ้าทางทุกวัน สาธุ! หนูโลภมากขอสามดาวไปเลยนะคะ อร่อยเลิศเลอค่าแม้จะไกลแค่ไหนก็ควรดั้นด้นมากิน
ว่าแต่เหนือสุดแดนสยาม ขอให้นักชิมมิชลินจงมาเถอะค่ะ
เพี้ยง!!
หลังจากอยู่หน้าเตาช่วยท่านสองขุนทำอาหารเช้าให้กับแขกที่มาเข้าพักเสร็จแล้ว ห้องครัวก็ได้หยุดพักจากหน้าเตากันเสียที
ฉันรู้สึกคอแห้งนึกอยากดื่มชาเขียวปั่นเย็นๆหอมใบชาและนมเข้มข้นให้ชื่นใจ ดึงถุงมือพลาสติกสีขาวออกก่อน โดยไม่ลืมถามสมาชิกอย่างมีน้ำใจกวาดสายตาถามทีละคน
"พ่อขุนช้างกับพ่อขุนแผนเดี๋ยวมานะคะ มีใครจะเอาน้ำปั่นกันไหมเอ่ย"
ขุนช้างที่ปกติชอบดื่มของอร่อยรีบตอบ
"ไม่ครับซังกุงเอาไว้เงินเดือนออกก่อนค่อยจัด"
ฉันมองไปทางแม่ดาวเนปจูนก็ส่ายหน้า เอาแต่เม้มปากหั่นผักอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่ายหัวดิกจนหมวกเกือบหลุด
"ไม่ค่ะ...หนูพักเหมือนพี่ช้างแหละค่ะ"
สรุปไม่มีใครคิดจะดื่มของหวานๆให้ชื่นใจกันบ้างเลยหรือ เห็นมีแต่คนโบกมือบ้ายบาย
"เดี๋ยวมานะคะซื้อหนมมาฝาก"
ก็ใช่น่ะสิเครื่องดื่มที่นี่ราคาไม่ใช่แก้วละสามสิบบาทซะที่ไหน แต่ว่าฉันรวยจะกินทุกมื้อก็ยังได้ ถ้าไม่กลัวโรคอ้วนถามหา จึงเดินจากมาเปิดประตูออกไปเดินไม่กี่ก้าวพบกับโต๊ะของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของที่นี่ กับบอสปวิชและหนูน้อยน่ารักนั่งบนเก้าอี้เด็กพูดเสียงเจื้อยแจ้ว
ฉันค้อมหลังให้กับผู้อาวุโสของที่นี่ รีบเดินตัวลีบมุ่งหน้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม พยายามควบคุมเสียงเซฟตี้ชูว์ไม่ให้ดังรบกวนท่านวีไอพีโต๊ะนี้
ก็พอดีกับเสียงเล็กของเด็กชายเปล่งออกมาเสียงดังกึกก้อง
"กุ๊ก...กุ๊กคับ...กุ๊กคับ"
"ฮะ!...กุ๊ก ใช่เราหรือเปล่าโย" ฉันหูไวลองมองกลับไปที่โต๊ะนั้นมือป้อมๆยังกวักเรียกฉันหยอย หยอย
"กุ๊กคับ...กุ๊กคับจะไปไหน ไอติมขอข้าวผัดอะหย่อย อะหย่อยซักจานคับหิวมากเลย"
ฉันชะงักเท้ากลับจำเป็นต้องเดินไปตามเสียงเรียกนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้ากลมดวงตาใสจ้องมองมาที่ฉัน พร้อมกับสายตาใสซื่อบริสุทธิ์
ฉันพยายามควบคุมตนเองสุดฤทธิ์
นั่น!...คุณป้าปาลิดาที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านได้เห็นหน้า ในใจสั่นเหมือนกลัวว่าคุณป้าจะจำได้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเยือกเย็นดวงตาสงบนิ่งก็ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย
ท่านไม่รู้หรอกว่าฉันคือโยเกิร์ต ผู้หญิงโชคร้ายที่โดนจับหมั้นแต่ไม่ได้หมายกับบอสปวิชคนหลงตัวเอง
แพขนตาหนานุ่มกระพริบเล็กน้อย โล่งอกไปที โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามดึงหมวกสีขาวปิดหน้าให้มากที่สุดก้มหน้าได้ก็ก้มหน้า
โยเอ๊ย...
"ได้ค่ะ...ขอกุ๊กดื่มน้ำเย็นๆให้ชื่นจายก่อนนะคะ เดี๋ยวกุ๊กจะทำข้าวผัดให้สุดฝีมือเลยค่า"
เป็นผล...เด็กน้อยน่าจะไม่เกินสี่ขวบหรือห้าขวบตบมือชอบใจ ยื่นมือสะกิดผู้ชายที่เอาแต่ยิ้มให้กับความฉลาดรู้ของหลานตนเอง ยื่นมือขยำพุงที่ยื่นออกมาเล่น
"ลุงวิชคับ พี่กุ๊กฉวยจังเลยไอติมจีบได้ป่าว"
"ฉวยจัง..."
"โอ๊ะ! เด็กสมัยนี้ช่างกล้าหาญ แต่เมื่อตะกี้เขาเรียกบอสว่าลุง แล้วเด็กน้อยคนนี้เป็นลูกใครกันหว่า"
ปวิชยีหัวเจ้าแสบที่ริอ่านข้ามรุ่น ไม่รู้ว่าไปได้เชื้อเจ้าชู้ความไวไฟแก่แดดแก่ลมมาจากที่แห่งไหน
ใบหน้าหล่อเหลาปรายตามองพวงแก้มเนียนใสน่าหยิกพูดว่า
"จีบเลย ลุงอนุญาต"
แม่เลี้ยงปาลิดาที่นึกเอ็นดูเชฟคนใหม่ เห็นว่าเธอจะไปซื้อน้ำยืนอยู่ด้วยท่าทีลังเล จึงพยักหน้าให้ไปทำธุระให้เสร็จก่อน พูดด้วยเสียงนุ่มนวลน่าฟัง
"หนูไปซื้อน้ำก่อนก็ได้นะแล้วค่อยมาทำข้าวผัดให้เจ้าตัวยุ่ง"
"ค่ะ...เดี๋ยวหนูมานะคะ"
เมื่อได้โอกาสฉันรีบเผ่นออกมา ได้น้ำได้ขนมแล้วรีบมุ่งหน้าเข้าครัวทันที
ดื่มชาเขียวจนชื่นใจแล้วเข้าหน้าเตาอีกครั้ง หนูน้อยน่ารักบอกให้กุ๊กทำ ฉันจึงหยิบกระทะออกมาตั้งบนเตาไฟร้อนๆ กระดกกระทะทำข้าวผัดปูใส่ไข่สำหรับเด็กหนึ่งจานส่งให้น้องชมพู่คนสวยยกไปเสิร์ฟ
เมื่ออาหารเช้าถูกส่งถึงโต๊ะเจ้าของรีสอร์ตเรียบร้อย ฉันด้วยความอยากรู้จึงถามความจากแม่สาวเนปจูนนี่แหละ ยกเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆทำทีช่วยเลือกยอดใบชาสวยๆเอาไว้ประดับบนอาหารจานเด็ด กระซิบกระซาบ
ทำตัวเหมือนนักสืบโคนันเข้าสิง "จูน...พี่มีเรื่องจะถามอะไรหน่อย"
"อะไรคะ...ถ้าเป็นเรื่องในรีสอร์ตซังกุงถามถูกคนแล้วค่ะ"
ซังกุงก็ซังกุง ยอมรับมันเถอะสงสัยคนที่นี่ยังอินไม่หายกับหนังดังในอดีต ฉันถามตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา สบตากับสายตามุ่งมั่นคู่นั้น
"น้องไอติมลูกใครอ่ะน่ารักจังเลย"
จูนละสายตาจากยอดใบชาแล้วตอบ
"อ้อ...ซังกุงเพิ่งมาคงไม่รู้ว่าน้องไอติมเป็นลูกของคุณปรานต์ลูกชายคนเล็กของแม่เลี้ยงแกน่ะคะ หล่อมากด้วยค่ะอย่างกับดาราเกาหลี"
ยัยดาวเนปจูนพูดไปก็เคลิ้มไปเพ้อพอๆกับเพื่อนฉันไม่มีผิด
ฉันกำลังนึกถึงคุณปรานต์ที่อยู่เชียงใหม่เจ้าของคาเฟ่ของอี่น้องยูมี ตายแล้วเพื่อนฉันงานนี้มันต้องเสียใจมากแน่ๆ มันจะรู้ไหมเนี่ยว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว
จูนเหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไรในใจ
"แต่เขาเลิกกันแล้วนะคะ แม่น้องไอติมเขาว่าสวยด้วยนะคะเป็นนักดนตรีที่กดๆบนแป้นยาวๆเสียงเพราะๆ อะไรนี่ค่ะ"
"เปียโน..."
"ใช่ค่ะเปียโน คนรวยนี่ก็แปลกนะคะขนาดมีลูกด้วยกันลูกก็น่ารักขนาดนี้ยังเลิกกันเลยค่ะ"
ดวงตาของคนช่างพูดไหววูบเล็กน้อย พร้อมกับเหมือนมีหยดน้ำที่หางตาแต่ก็ถูกมือน้อยปาดทิ้งไปอย่างเร็ว
ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสดราม่าจากยัยดาวเนปจูนที่เรื่องวกเข้าหาตนเอง ได้แต่แตะไปที่ไหล่บางให้กำลังใจ
"เอาน่า...เลิกกันถือว่าเราทำบุญร่วมกันมาแค่นี้อย่าคิดอะไรมาก ชีวิตคู่แต่งงานก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดจนแก่เฒ่าทุกคู่ไปหรอก"
"ขุนแผนขออนุโมทนาด้วยนะครับเห็นด้วยทุกประการ แผนถึงได้ครองโสดนับถือเพศพรมจรรย์ไปจนกว่าจะสิ้นลมนี่แหละครับซังกุง"
สุมหัว...
ครั้งแรกฉันว่าฉันคุยอยู่กับยัยดาวเนปจูนคนเดียว ทำไมรอบๆตัวถึงได้มีพวกสอดรู้สอดเห็นมุงดูเต็มไปหมด ฉันจึงแกล้งทำเสียงเข้มกลบเกลื่อน
"ไปทำงาน...นี่มันใช่เรื่องงานไหมเนี่ย"
ได้ผล...ท่านสองขุนหันหน้าเข้าหาเตา ทำทีผัดซอสราดสปาเก็ตตี้ขมักเขม้น
ฉันรีบหนีจากคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน รู้สึกโล่งอกไปทีกับอี่น้องยูมีที่คุณปรานต์เลิกกับเมียแล้ว แต่ว่าผู้ชายมีบาดแผลขนาดนี้ยูมีมันจะสามารถชนะใจเขาได้ไหมน้อ เป็นห่วงมันจัง
เฮ้อ!... ไม่รู้ว่าฉันถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ จวบจนเกือบจะชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวโชยเข้าจมูก
"อ่ะ..เฮ้ย แม่..."
ด้วยความที่คิดอะไรเพลินๆระหว่างกำลังตรวจตราความเรียบร้อยของห้องครัว เดินออกหลังครัวกำลังกลับห้องพัก ตาที่ไม่มองทางชนเข้ากับเขาอย่างจัง
ทางด้านปวิชที่เห็นเงาของใครบางคน แอบสงสัยว่าหญิงสาวทำอะไรจึงเดินเข้าไปหา ขณะที่พนักงานคนอื่นออกไปกันหมดแล้ว เมื่อหญิงสาวซวนเซเขาจึงยื่นมือรั้งเอวบางไม่ให้หงายหลังลงไปนอนกับพื้นปูนดึงเข้าหาตัวในครั้งเดียว สัมผัสได้ถึงความนุ่มมือน่าสัมผัสกับกลิ่นกายที่ยังมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศติดอยู่ที่เรือนผม
เมื่อยามที่มือหนาแตะอยู่กับเอวบางเขารับรู้ได้ถึงอาการสั่นน้อยๆของคนในอ้อมกอด
ถามด้วยความเป็นห่วง "คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า"
ดีนะที่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนเขาจึงไม่เห็นว่าฉันคงหน้าแดงจัดด้วยความประหม่า
ฉัน...ฉันใจเต้น หลุบตามองไปที่บ่ากว้างและไหล่หนาของเขาที่น่าจะอบอุ่น ไม่อย่างนั้นสาวๆคงไม่ตบตีแย่งกันซบหรอก รีบดันตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขา นึกถึงความตั้งมั่นก่อนที่จะมาที่นี่
เปิดหน้ากากเขาโย...อย่าลืมสิ คนเจ้าชู้ไม่เอา
"เอ่อ...ขอบคุณค่ะพอดีฉันคิดอะไรเพลินๆไปหน่อย ขอตัวก่อนนะคะ"
ปวิชกักเก็บลมหายใจอุ่นๆเมื่อสักครู่ที่กระทบหัวใจอย่างหนัก มองตามแผ่นหลังแบบบางที่เดินแกมวิ่งขึ้นห้องพักอยู่ถัดไปอีกตึกของที่นี่
แค่นี้เป้ากางเกงก็พองขยายแล้วมันคืออะไร
สมภาร...ไม่กินไก่วัดเว้ย...ปวิช
ออนไรท์