“ไม่น่าเกลียดเลย อีกหน่อยก็หาย” มองจากแผลแล้วภามคิดว่ามันคงไม่หายหรอก แต่ก็ให้กำลังใจเธอ
“แต่มันนานแล้วนะ ที่อื่นจางหมดแล้ว”
“ตรงนี้มันยาวกว่าที่อื่นหรือเปล่า มันเลยหายช้า” ภามทำเป็นตั้งสมมติฐาน เด็กหญิงก็ทำหน้านึก พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ภามก็ได้แต่หวังว่ามันจะจางลงบ้าง พอๆ กับที่วันหนึ่งพริมาจะยอมรับร่องรอยบนร่างกายตัวเองได้
“พี่ภามว่าพรีมจะได้กลับเข้าโรงเรียนตอนไหน” นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าหนักใจ ตอนนี้พริมาดูพัฒนาการช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน ถ้าเธอเดินได้คล่องแล้ว ภามก็ไม่รู้ว่าจะต้องฟื้นฟูเรื่องเรียนของเธออีกนานแค่ไหน ถึงจะสามารถกลับเข้าไปเรียนกับเพื่อนได้ ปู่โรจน์เองก็เริ่มหารือกับปู่ของเขาแล้วว่าอยากทำหลักสูตรโฮมสคูล แต่พริมาเองอาจจะคิดถึงเพื่อนๆ
“ตอนนี้พรีมเดินเก่งขึ้นแล้ว อีกไม่นานหรอกมั้ง”
เห็นเด็กหญิงถอนหายใจ ลึกๆ แล้วก็อาจรู้ว่ามันยากที่จะไปเรียนกับเพื่อนๆ ตอนนี้
“แต่บางทีก็ขี้เกียจไปเรียนเหมือนกันนะคะ เวลาอ่านหนังสือแล้วปวดหัวยังไงไม่รู้” เรื่องนี้เขาก็รู้มาบ้างว่าพริมาอาจจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่การอ่านหนังสือเลย
“พรีมอยากเรียนอยู่บ้านไหมล่ะ ให้คุณครูมาสอน ไม่ต้องไปโรงเรียนสบายดีออก” เขาพูดให้เป็นเรื่องน่าสนุก เด็กหญิงก็เริ่มที่จะมีแววตาตื่นเต้นบ้าง
“ให้คุณครูมาสอนเหรอคะ”
“ว่างๆ พี่มาสอนด้วย พี่ก็อยากเรียนครู ถือว่าให้พี่มาทดลองทำงาน” พอเขาบอกแบบนั้นอีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคัก ภามก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง หวังว่าพริมาจะทำใจได้หากต้องเริ่มหัดเรียนใหม่ และเรียนอยู่บ้านก่อน
หลังจากวันนั้นภามก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กหญิง ช่วงปิดเทอมเขามาอยู่กับเธอตลอด ถ้าไม่มีธุระอะไรก็จะไม่กลับบ้านเลย เปิดเทอมก็มาหาเกือบจะทุกเสาร์อาทิตย์
“วันนี้ต้องพาน้องไปหาหมอนะภาม ไปด้วยไหม”
“ไปครับ” เขาเคยพาพริมาเข้าไปหาหมอหรือไปทำธุระในเมืองมาแล้ว ซึ่งเธอยังมีอาการวิตกกังวลกับการนั่งรถ ยิ่งเฉพาะใกล้ถึงจุดเกิดเหตุ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนตัดสินใจที่จะให้เธอเรียนโฮมสคูลอยู่บ้านหลังจากรักษาตัวดีแล้ว
ภามนั่งเบาะหลังกับน้อง ปู่โรจน์นั่งคู่กับคนขับรถ
“พรีม ฟังเพลงไหม” เขายื่นหูฟังข้างหนึ่งให้คนข้างๆ ที่ตอนนี้โตขึ้นมาอีกปีแล้ว พริมาหยิบหูฟังมาฟังเพลง
ตอนนี้เธอดูดีขึ้นกว่าช่วงปีแรกๆ แต่ภามก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความวิตกกังวลอยู่พอสมควร พอใกล้ถึงจุดที่เกิดอุบัติเหตุภามก็หันไปมองคนข้างๆ เขาไม่ถามไถ่เพราะไม่อยากกระตุ้นความวิตกกังวลนั้น อยากให้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเห็นอีกฝ่ายนั่งหลับตา มือบีบกันแน่นก็ดึงมือเล็กๆ นั้นมากุมไว้
เด็กหญิงลืมตาแล้วหันมามองเขา ภามยิ้มอ่อนโยน ประคองศีรษะเธอให้ซบกับไหล่ ไม่ได้กอดเอาไว้เหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ยังใจแข็งนั่งมองเฉยๆ ไม่ได้
ผ่านไปสักครู่เด็กหญิงถึงเริ่มผ่อนคลายลง แต่ก็ไม่ยกศีรษะออกจากไหล่เขา ขยับมานั่งพิงอีก ภามก็ไม่ท้วงอะไร เข้าใจว่ามันเป็นความสบายใจของเธอ
การที่ภามเทียวมาหาน้อง มาเล่นด้วย มาสอนหนังสือทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น คงด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันมันอาจจะคุยกันได้เข้าใจกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแค่ปู่เพียงคนเดียวที่เด็กหญิงอยากคุยด้วย พริมาเริ่มที่จะยอมรับการใช้ชีวิตที่อยู่แต่ในไร่ แล้วกลายเป็นเริ่มติดไร่ตัวเอง ไม่อยากออกไปไหนแล้วเหมือนกัน
“พรีม พี่สอบติดแล้วนะ” ภามในวัยสิบแปดหอบข่าวสำคัญในชีวิตมาฝากน้อง หลังๆ มาเขาอาจจะเริ่มห่างจากเธอเพราะเด็กสาวเริ่มจะปรับตัวได้ แต่ก็ยังมาหาทุกเดือน เดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง มีแค่ช่วงปิดเทอมที่ยังมาหาตลอด
“เหรอคะ แล้วพี่ภามเรียนอะไร” พริมาในวัยสิบสี่ก็ถามด้วยความตื่นเต้น
“เรียนศึกษาศาสตร์ เรียนครู”
“จริงเหรอ” เธอดูดีใจกับคำตอบนั้น
“ฮื่อ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองอยากเรียนครูเพราะถูกปู่เป่าหูว่าจะให้มาเป็นผอ.โรงเรียนจะยกโรงเรียนให้หรือเปล่า แต่พอได้มาสอนหนังสือพรีมก็เริ่มมั่นใจ” เขาตั้งใจพูดให้ความสำคัญกับเด็กหญิง อีกฝ่ายก็อมยิ้มด้วยความดีใจ
“แล้วก็เริ่มคิดว่าอยากเรียนต่อ อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก่อน คงไม่เป็นผอ.ตั้งแต่อายุยี่สิบสองหรอกเนอะ”
“โห น่าจะเท่มากเลย” พอถูกน้องแซวภามก็หัวเราะอารมณ์ดี
“เฮ้อ พรีมนี่สิ เพิ่งจบปอหก” แม้จะเรียนโฮมสกูลแต่เธอก็หยุดเรียนไปเต็มๆ หนึ่งปี ทำให้เรียนช้ากว่าเดิม
“เดี๋ยวก็จบแล้ว”
“ฮื่อ พรีมเรียนจบมอหกก็พอ ไม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยหรอก ปู่บอกจะยกไร่กุหลาบให้” เจ้าตัวพูดด้วยรอยยิ้มสดใส เริ่มที่จะเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงๆ
“เจ้าของไร่กุหลาบ เท่เหมือนกันนะ”
พอเขาย้อนชมเธอกลับพริมาก็หัวเราะชอบใจ ภามยิ้มด้วยความโล่งอกทุกครั้งที่เห็นน้องกลับมาสดใสได้แบบนี้...โดยไม่รู้ตัวว่าเขาปรารถนาที่จะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่