สิ่งที่ได้คุยกับปู่โรจน์สร้างความหนักอึ้งในอกจนภามต้องพาตัวเองออกมาสูดอากาศนอกบ้าน มองไปยังบ้านหลังเล็กที่ปิดไฟนอนแล้วเหลือแค่แสงนวลๆ จากไฟระเบียงด้านนอก
เดินอ้อมมายังจุดที่จะมองเห็นระเบียงห้องเธอ...แล้วมันก็แปลกที่ทำให้เขาผ่อนคลายความหนักๆ ข้างลงได้บ้าง จนมีรอยยิ้ม ยังไงเขาก็จะไม่เดินกลับเข้าไปเพื่อเปลี่ยนคำพูดเด็ดขาด ต่อให้มันจะน่าอึดอัดแต่ภามก็ยังตอบตกลงที่จะดูแลเธอ
เขาคงจะรู้สึกพิเศษกับน้อง มันอาจเป็นความผูกพัน ความเห็นอกเห็นใจที่ถักทอเป็นสายสัมพันธ์ที่ภามไม่สามารถตัดเธอออกจากชีวิตได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
8 ปีก่อน
“พรีม คุณพ่อโทรมาบอกพี่ว่าจะมารับช้าสักชั่วโมงนะ พรีมอยากกลับไปรอที่บ้านหรือเล่นรออยู่ที่โรงเรียน” ภามเพิ่งได้รับสายจากคุณพ่อของเด็กหญิงที่นั่งรอพ่อแม่มารับเธอกลับบ้านในเย็นวันศุกร์ พริมาเป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทคุณปู่เขา ที่เอามาฝากไว้ที่บ้านตั้งแต่ปอหนึ่งให้เธอเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนของครอบครัวเขาเอง และทุกๆ วันศุกร์คุณพ่อคุณแม่เธอก็จะมารับ พอถูกถามเด็กหญิงก็ทำหน้าครุ่นคิด
“อืม หนึ่งชั่วโมงเหรอคะ เราตีแบดเล่นรอได้ไหม” ถามแล้วก็รอคอยคำตอบอย่างลุ้นๆ ซึ่งปกติภามก็ตามใจน้องอยู่แล้ว
“ครับ มาใครแพ้เลี้ยงไอติม”
“ได้เลย พี่ภามรอรับนะ”
ตอนนี้ทั้งคู่เล่นแบดมินตันอยู่สนามบาสนอกโรงยิม ภามก็ต่อให้น้องโดยเลือกให้อยู่ทิศเหนือลม เจ้าตัวเล็กก็เล่นไม่รู้เหนื่อยกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะหอบแฮ่กแบบหมดสภาพ
“พี่ภาม กินไอติมตอนนี้เลยได้ไหมคะ”
“ได้สิ” เขาเก็บไม้แบดฝากลุงยามไว้ จูงมือเล็กๆ ไปที่ตู้หยอดเหรียญในโรงเรียน ถึงจะไม่ได้ไอศกรีมแต่ได้น้ำหวานให้น้องก็ยังดี
“วันนี้พรีมกินอะไรดี”
“พรีมเอาน้ำสตรอว์เบอร์รี่ค่ะ” เขากดน้ำผลไม้ให้น้องแล้วก็น้ำอัดลมให้ตัวเอง จูงมือเธอกลับมานั่งที่ม้าหินอ่อนข้างสนามบาส
“พรีมอยากตีแบดอีกไหมครับ”
“อืม ไม่แล้วค่ะ” สายตาจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือของเขา ตอนนี้เด็กหญิงยังไม่มีมือถือเป็นของตัวเอง พ่อแม่เธอคงอยากให้โตกว่านี้อีกหน่อย
“เล่นเกมไหม” เขาถามอย่างรู้ใจ
“พี่ภามให้เล่นเหรอคะ”
“ให้เล่น สองเกม โอเคไหม”
“ฮื่อ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความดีใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะไหว้ขอบคุณก่อนรับมือถือมา มารยาทดีน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
หลังจากให้น้องเล่นเกมจบสองเกมตามข้อตกลงก็ยังตั้งมือถือกับโต๊ะ เปิดคลิปวิดีโอต่างๆ ดูด้วยกัน ไม่นานรถของคุณพ่อเธอก็ขับเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ภามเอากระเป๋าสะพายของน้องมาไว้บนบ่าขณะที่พาเธอเดินไปที่รถพ่อแม่เธอ
“อารุจอาพราวสวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนน้องนะพี่ภาม ว่าแต่ไปเที่ยวไร่ด้วยกันไหม” แม่ของเด็กหญิงพูดคุยอารมณ์ดี บางสัปดาห์เขาก็ติดรถไปเล่นที่ไร่เธอจริงๆ นั่นแหละ ภามก้มหน้ามองน้อง เด็กหญิงมองตาปริบๆ เหมือนอยากให้ไปด้วยกัน แต่เนื่องจากไม่ได้บอกพ่อกับแม่ไว้ก่อนแล้วเขาก็มีติวเลยต้องปฏิเสธ
“ผมมีติววันเสาร์ครับอาพราว”
“ออ ภามเรียนปอไหนแล้วนะ”
“ปอหกแล้วครับ” ช่วงนี้ก็อยู่เทอมปลายแล้ว มีสอบ มีกิจกรรมแข่งขันอะไรเยอะแยะ แล้วภามก็ชอบลงแข่ง
“พรีม เดี๋ยววันอาทิตย์พี่ไปเล่นด้วยนะ” แต่พอเห็นเด็กหญิงทำหน้าผิดหวัง แม้จะแค่นิดเดียวแต่ก็ทำให้ใจอ่อน ซึ่งพอเขาบอกแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มสดใสเชียว
“พรีมอยากอวดกุหลาบแปลงใหม่ พรีมปลูกเองเลยนะคะ” ที่บ้านเธอมีไร่กุหลาบ หลักๆ ส่งขายต่างประเทศ แต่ก็มีที่ปลูกไว้ดูเล่นหรือส่งขายในประเทศบ้าง และเจ้าตัวก็ดูจะชอบดอกไม้ สมกับเป็นเจ้าของไร่กุหลาบ
“โอเค วันอาทิตย์เจอกัน”
“พรีมขึ้นรถเถอะลูก” พอแม่เธอบอกแบบนั้นภามก็เปิดประตูหลังให้น้อง ให้เธอขึ้นไปนั่งบนรถก่อนแล้วค่อยส่งกระเป๋าให้
“พี่ภามขอบคุณค่ะ” ยกมือไหว้ขอบคุณเขา แล้วพอรถเคลื่อนตัวออกก็ลดกระจกมาโบกไม้โบกมือ ภามยืนส่งเธอจนรถขับออกจากรั้วโรงเรียนถึงเดินไปขึ้นรถที่ลุงจอมสตาร์ตรอ
“กลับบ้านเลยไหมครับ หรืออยากไปที่ไหนก่อนไหมครับ”
“ไปกินพิซซ่าก่อนได้ไหมครับ” เด็กวัยกำลังกินกำลังโต ช่วงเวลานี้ก็เลยหิวพอดี ถ้าพริมาไม่รีบกลับบ้านก็คงชวนน้องไปกินพิซซ่าก่อน
“ได้ครับ บอกคุณพ่อคุณแม่หรือยังครับ”
“เดี๋ยวทักไปบอกปู่”
วันนั้นภามเลยกลับถึงบ้านทุ่มกว่าๆ พอมาถึงก็แปลกใจที่ไม่เจอปู่กับพ่อแม่อยู่บ้าน เหลือแค่พี่ชายกับพี่สาว
“พี่ภีมพี่ภา พ่อกับแม่ยังไม่กลับอีกเหรอ แล้วปู่ก็ไม่อยู่บ้านน่ะ” พอเขาถามก็สังเกตว่าพี่ชายกับพี่สาวมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนที่พี่ชายคนโตจะเรียกให้เข้าไปหา
“ภามมานี่ก่อนมา” เด็กชายเดินไปหาพี่ๆ ด้วยอาการงงๆ
“คือรถคุณอารุจประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้พ่อแม่กับปู่ไปโรงพยาบาล”
“อะไรนะ แล้วเป็นอะไรมากไหม” ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุก็ใจหายพอแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าของพี่สาวกับพี่ชายเขายิ่งกลัวจับหัวใจ
“พี่ภีม บอกน้องสิ” พี่สาวโบ้ยไปให้พี่ชายคนโตเป็นคนพูด
“ภาม คุณอาทั้งสองเสียแล้วนะ” ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง หัวใจเขาเต้นตุบๆ ในความเสียใจและหวาดกลัวนั้นมีภาพเด็กหญิงผุดขึ้นมาในหัว
“แล้วพรีม”
“อาการสาหัส อยู่โรงพยาบาล” ในความรู้สึกแน่นอกเหมือนเบาโหวงได้วูบหนึ่ง หากความรู้สึกทุกอย่างยังหนัก แม้จะไม่ได้สนิทกับคุณอาทั้งสองมากแต่ก็ใจหาย เสียใจ แล้วยิ่งคิดถึงหน้าเด็กหญิงที่สูญเสียพ่อแม่ก็ยิ่งเครียด ทั้งยังไม่รู้ว่าเธอจะเป็นยังไงอีก...ไม่ได้หรอก แค่นี้มันก็สูญเสียมากพอแล้ว เขาไม่ยอมให้พริมาเป็นอะไรไปอีกคน...ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้ แต่เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด
“พี่ภีม พาไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหม” ถ้าให้ไปลำพังพ่อแม่คงจะเป็นห่วง แต่ถ้าไปกับพี่ชายคนโตที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วคงไม่เป็นไร
ภีมพัฒน์เข้าใจน้องชายเพราะอีกฝ่ายสนิทกับเด็กหญิงมาก
“โอเค ภา ไปกับพี่ไหม”
“เอ่อ ภารออยู่บ้านดีกว่า” ส่วนภาวิดาคงจะแพนิค ไม่อยากไปเจอบรรยากาศตรงนั้น ภีมพัฒน์เลยขับรถพาน้องชายไปโรงพยาบาลสองคน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนของครอบครัวเขาเอง แล้วตอนนี้พีมพัฒน์ก็เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง
“เป็นไงภาม หายตกใจบ้างหรือยัง” ชวนน้องชายคุยขณะอยู่บนรถ เพราะรู้ว่าเด็กชายคงตกใจมาก
“เพิ่งเจอกันเองพี่ภีม อาพราวยังชวนผมไปเล่นที่ไร่อยู่เลย” คิดมาถึงตรงนี้ก็แอบใจหาย ถ้าเขาอยู่บนรถด้วยก็ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่มันก็เป็นความรู้สึกเพียงวูบหนึ่ง ตอนนี้ความคิดเขาติดอยู่กับเด็กหญิงมากกว่าสิ่งอื่นใด
ภีมพัฒน์พาน้องชายมาที่ห้องฉุกเฉินที่ทุกคนยังรออยู่ตรงนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหลและเศร้าโศก เขามองไปยังปู่โรจน์ยังคิดไม่ทันแม้จะต้องยกมือไหว้ รีบเดินเข้าไปหาปู่พจน์กับพ่อแม่ตัวเอง
“แม่ น้องเป็นยังไงบ้างครับ” ระหว่างที่ถามก็กลัวคำตอบ
“ยังต้องรอดูอาการอยู่ลูก”
“แล้วน้องจะหายใช่ไหม น้องเจ็บมากไหม”
“หายสิลูก...น้องไม่เจ็บมากหรอก” ผู้เป็นแม่ปลอบลูกชายตัวเอง ซึ่งหลังจากวันนั้นภามถึงรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพริมามันหนักหนามาก เขาได้ไปเยี่ยมเธอครั้งแรกหลังจากผ่านเหตุการณ์ไปถึงหนึ่งสัปดาห์ มีผ้าสีขาวพันตัวเธอเต็มไปหมด ใบหน้ายังมีรอยฟกช้ำ มองแค่นี้ก็รู้ว่าเธอต้องเจ็บมาก แล้วน้องก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับใคร