ราตรีดึกสงัดในตรอกลืมวิญญาณ บุรุษอาภรณ์ชุดขาวนั่งร่ำสุราอยู่เงียบๆ ใต้แสงจันทร์ ลมแห่งราตรีพัดมาเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น หากมีใครเดินผ่านมาในยามนี้ก็คงคิดว่าชายผู้นี้ช่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนตายิ่งนัก ริมฝีปากแดงก่ำราวดอกท้อ ดวงตาเรียวงามประหนึ่งมารปีศาจก็ไม่ปาน ทว่ากลิ่นอายของเขากลับดูเย็นชาไร้ซึ่งหัวใจ ปอยผมดำขลับราวกับหมึกวาด ช่างตัดกับสีผิวขาวราวหิมะของเขาเสียเหลือเกิน ความงามทรงเสน่ห์นี้ช่างล่อลวงหัวใจหลันจิวฮวายิ่งนัก
ร่างบอบบางยืนนิ่งงันราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน บุรุษเย็นชาที่เคยช่วยชีวิตนางไว้ก่อนหน้านี้เหตุใดเขาช่างรูปงามกระชากวิญญาณเช่นนี้ เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แสนเย็นชาเป็นนิจ ในตอนนั้นกับตอนนี้ คนผู้นี้กลับช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนราวกับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนัก ใบหน้างามหวานล้ำราวกับโฉมสะคราญเลืองชื่อ ท่วงท่ากิริยาเป็นหนึ่งไม่มีสอง
คนผู้นี้ใช่บุรุษคนนั้นจริงๆ หรือ? เหตุใด...ข้าถึงรู้สึกใจสั่นยิ่งนักนะ…
ดั่งต้องมนต์สะกด หลันจิวฮวารีบก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มในทันที ดวงตาคู่งามสบประสานกับนัยน์ตาสีนิลด้วยอาการเหม่อลอย
“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านช่างรูปงามยิ่งนัก...” หญิงสาวคล้ายกับคนขาดสติไปชั่วขณะ นิ้วมือเรียวงามเผลอเอื้อมไปลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับตัวแข็งทื่อ เพราะนิ้วมือเรียวงามค่อยๆ ไต่ระดับลงไปที่สาบเสื้อของเขาช้าๆ
“นี่เจ้า! เจ้าจะทำอะไร!?”
“ขะ...ข้า...” เมื่อได้สติโฉมงามรีบชักมือของตนกลับทันที นางรู้สึกอายเหลือเกิน
นี่ข้าทำอันใดลงไป…
ความเงียบสงบกลับมาเช่นเดิมอีกครั้ง มีเพียงเสียงของลมหายใจของหญิงสาวเท่านั้นที่ไม่เป็นปกติ
“ข้าชื่อว่ามู่จิวซิน”
“ห๊ะ! อ่อ...อืม…” หลันจิวฮวาไม่รู้ว่าตัวนางควรจะเริ่มบทสนทนาอย่างไรดี เพราะเมื่อครู่ตนเผลอทำในสิ่งที่สตรีไม่สมควรทำไปซะแล้ว
มู่จิวซินยังคงยกไหสุรากระดกดื่มอย่างไม่ยี่หระ ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ท่าทางของชายหนุ่มยังคงแฝงกลิ่นอายเย็นชา คล้ายกับว่าสรรพสิ่งในโลกใบนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด
“ท่านมู่ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องการลืม...” ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป
มู่จิวซินวางไหสุราลงก่อนจะหันหน้ามามองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
“อืม ข้าคิดดีแล้ว และจะไม่มีวันเสียใจ” โฉมงามเอ่ยอย่างแน่วแน่
“ดี! ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงตามข้ามา” ร่างสูงลุกขึ้นแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแปลกประหลาด
ไม่รอช้าเจ้าของร่างบางก็รีบเดินตามอีกฝ่ายไปเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆ ในห้องมืดทึบที่เต็มไปด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิดพลันปรากฏตรงหน้า มู่จิวซินกำลังก้มๆ เงยๆ หน้าตู้ไม้เก่าๆ ราวกับค้นหาสิ่งของบางอย่าง เพียงไม่นานนิ้วเรียวก็หยิบขวดกระเบื้องสีขาวนวลออกมาจากลิ้นชักช่องหนึ่งแล้วยื่นมันให้หลันจิวฮวาเสียอย่างนั้น
“ผงลืมวิญญาณ หลังจากที่เจ้ากินมันเข้าไปแล้วเพียงครึ่งชั่วยามยาก็จะออกฤทธิ์” มู่จิวซินพูดอย่างรวบรัดแล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้าของร่างบอบบางพิศดูสิ่งของในมืออย่างงวยงง
ดวงตาคู่งามจ้องมองขวดกระเบื้อบนฝ่ามือของนางอย่างเหม่อลอย เพราะในตอนนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อนางหลับตาลง ภาพของเดรัจฉานทั้งห้ากำลังรุมกระทำย่ำยีตนก็พลันผุดขึ้นมาในหัวสมองอย่างไม่อาจหลุดพ้นได้ หลังจากนั้นความรู้สึกที่ลังเลก็หมดไป มือเล็กรีบเปิดกระจุกขวดกระเบื้องแล้วเทผงสีขาวเข้าไปในปากทันที
ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวังเวง กลิ่นสุราดอกท้อหอมฟุ้งกำจายไปตามอากาศ ความหอมหวานของสุราเลิศรสทำให้มู่จิวซินดื่มอึกแล้วอึกเล่าไม่รู้จักพอ รสชาติหวานฝาดลิ้นช่างล่อลวงจิตวิญญาณของชายหนุ่มเสียเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะดื่มมันมากเพียงไร ความหิวกระหายในรสชาติของสุราดอกท้อก็ไม่สามารถเติมเต็มเขาได้ มีแต่จะกระตุ้นให้มู่จิวซินยกไหสุราดื่มมากขึ้นกว่าเดิม
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม
ใบหน้างามพิสุทธิ์ของหลันจิวฮวาเริ่มแดงก่ำ ฤทธิ์ของผงลืมวิญญาณค่อยๆ แสดงออกผ่านผิวหน้าและแววตาของหญิงสาว ดวงตาเรียวงามหวานหยาดเยิ้มราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า ผิวกายนวลเนียนพลันเปล่งประกายงดงาม กลิ่นหอมปริศนาคล้ายกลิ่นหมู่มวลบุปผาค่อยๆ กำจายออกจากเรือนร่างบอบบางจนรู้สึกได้ ดั่งกับว่ากำลังล่อลวงหมู่มวลภมรให้มาเด็ดดอมเชยชมก็ไม่ปาน
ร่างแน่งน้อยย่างก้าวเดินออกจากห้องดั่งต้องมนต์สะกด ดวงหน้างามสะคราญฉาบด้วยเสน่ห์อันเหลือล้นเหลือเกิน สายลมพัดกลิ่นหอมฟุ้งของกลิ่นกายสาวงามผนวกกับกลิ่นสุราดอกท้อในมือของมู่จิวซินผนวกเข้าด้วยกัน ทั้งสองสิ่งช่างหลอมรวมกันอย่างลงตัวราวกับสวรรค์สร้าง หวานล้ำทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความมัวเมา
เสมือนว่ากับทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งลง มีเพียงเสียงดังเพล้ง! ของไหสุราดอกท้อเท่านั้นที่ตกลงพื้นจนแตกกระจายไปทั่ว กลิ่นหอมของสุราดอกท้อยิ่งฟุ้งกำจายคล้ายเป็นดั่งเชื้อเพลิงที่ปลุกไฟราคะในกายให้มอดไหม้
ร่างอรชรของสาวงามรีบปรี่เข้าไปซบแผงอกแกร่งดั่งโหยหาไออุ่น ใบหน้างามซุกไซ้ไปที่ซอกคอขาวเนียนของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักพอ ปลายลิ้นอุ่นร้อนเลียไปที่ซอกคอขาวน่ากินด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง ก่อนที่โฉมงามจะอ้าปากดูดกัดในเวลาต่อมา
“อ๊ะ...นี่เจ้า...” ความเจ็บปวดจากปากคนงามทำให้มู่จิวซินตื่นจากภวังค์ ร่างของชายหนุ่มถึงกับแข็งเกร็งไม่เป็นตัวของตัวเอง
เหมือนโดนอสนีบาตฟาดร่างกายผนวกด้วยถูกผีห่าซาตานเข้าสิงร่างของมู่จิวซิน ความร้อนรุ่มค่อยๆ กัดกินความเย็นชาชองชายหนุ่มจนแหลกเหลว อารมณ์พุ่งพล่านขุมหนึ่งคล้ายจะมอดไหม้ทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุน
“จ๊วบๆ แจ๊บๆ” ซอกคอขาวผ่องของชายหนุ่มเต็มไปรอยดูดดึงเป็นจ้ำๆ ความหอมหวานในรสสัมผัสปลุกเร้าให้โฉมงามเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ อาภรณ์บุรุษถูกมือเรียวเล็กดึงกระชากออกโดยแรง กลิ่นกายของชายฉกรรจ์ช่างล่อลวงให้โฉมสะคราญไม่เป็นตัวของตัวเอง นางรู้สึกโหยหาและต้องการเขามากกว่านี้