แสงจันทร์ส่องกระทบผิวกายบุรุษขาวเนียนราวหยกมันแพะ อกแกร่งขาวผ่องช่างยั่วยวนจนหลันจิวฮวาน้ำลายไหล เสียงกลืนน้ำลายคล้ายกระหายดังเอื๊อกๆ ไม่มีหยุด เมื่ออาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้ามีหรือแม่เสือสาวจะยอมปล่อยมือง่ายๆ ลิ้นเรียวเล็กพยายามลากวนอกกว้างอย่างไม่ประสา เหมือนกำลังละเลียดชิมรสชาติให้ทั่วปากเพื่อค้นหารสสัมผัสที่ต้องใจ ฟันขาวผ่องพยายามขบกัดลงเบาๆ เสมือนว่านางกลัวเหยือตรงหน้าจะรู้สึกเจ็บ
ร่างของชายหนุ่มถึงกับสั่นสะท้าน สัมผัสของหญิงงามช่างทรมานเขาเหลือเกิน ทรมานมู่จิวซินเสียจนอยากจะตายแทบเท้าของสตรีผู้นี้ไปให้ได้เสีย ความเสียวซ่านค่อยๆ จุดเพลิงปรารถนาของมู่จิวซินให้ลุกโชน อาการร้อนวูบวาบเริ่มแผ่ลามไปทั่วผืนอกแกร่ง และค่อยๆ วิ่งพล่านไปทั่วเรือนกายชายหนุ่มทุกอณู ความร้อนผะผ่าวเริ่มทำให้มู่จิวซินไม่เป็นตัวของตัวเอง ความรู้สึกแปลกประหลาดพลันแล่นพล่านจนเขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
เพียงแค่นางผลักเบาๆ ร่างสูงใหญ่ของมู่จิวซินก็ล้มนอนกับแคร่ไม้ทันที นิ้วเรียวงามค่อยๆ ลูบไล้แผงอกขาวเนียนราวกับจะซึมซับทุกส่วนของเขา ร่างบอบบางเริ่มขึ้นคร่อมชายหนุ่มด้วยท่าทางไร้ประสบการณ์ แต่กลับเป็นตัวเร่งปฎิกิริยาให้หญิงสาวรู้สึกลิงโลดคล้ายเป็นผู้คุมบังเ**ยนม้า
ที่แท้แล้ว…การได้เป็นฝ่ายกระทำมันรู้สึกเช่นนี้เองหรือ?
ในขณะที่หญิงสาวรู้สึกลิงโลด จู่ๆ ภาพของนางที่ถูกเดรัชฉานทั้งห้าพากันฉีกทึ้อาภรณ์ภายใต้แสงจันทร์พลันผุดขึ้นมาที่หัวกะทันหัน ใบหน้าของนางในตอนนั้นทั้งตกใจและตื่นตะลึง เหมือนบุรุษผู้ที่อยู่ใต้ร่างของตนในตอนนี้ก็ไม่ปาน
ฮ่าๆ สวรรค์ท่านกำลังต้องการชดเชยความผิดกับข้าใช่หรือไม่? เหตุใดบุรุษผู้นี้ช่างน่ากลั่นแกล้งยิ่งนัก!
ไวเท่าความคิด ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องประกายสว่างจ้าไปทั่วตรอกรกร้างแห่งนี้ ร่างบอบบางของโฉมสะคราญกำลังฉีกทึ้งอาภรณ์บุรุษอย่างไร้ยางอาย ไฟราคะเริ่มครอบงำสติสัมปชัญญะของหลันจิวฮวาจนไม่หลงเหลือความเขินอายอีกต่อไป…
“จ๊วบ...จ๊วบ…” เสียงดูดดึงเนื้ออกแกร่งจากปากคู่เล็กดังก้องไปทั่วทั้งตรอก ความหอมหวานเย้ายวนของเนื้อบุรุษเพศช่างล่อลวงให้หญิงสาวยากจะเกินห้ามใจ ลิ้นสากละเอียดไล่วนไปทั่วยอดอกของบุรุษเชิงหยอกเย้า เล่นเอามู่จิวซินถึงกับครางออกมาเบาๆ ด้วยความทรมาน
“เจ้า...จะทำอะไรข้ากันแน่...” เสียงแหบพร่าของบุรุษดังขึ้น แต่คลับคล้ายสายลมยามราตรีกระซิบเพรียกหา ช่างเบาหวิวและสั่นเครือเหลือเกิน…
“ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ?” ความไร้เดียงสาของบุรุษตรงหน้านางช่างน่ารักเสียเหลือเกิน หากคืนนี้นางไม่กลืนกินเขาทั้งตัวก็โง่แล้ว
“ท่านมู่ ข้าสัญญาว่าข้าจะอ่อนโยนกับท่าน จะไม่ทำให้ครั้งแรกของท่านต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน ข้าสัญญา...” ริมฝีปากคู่งามคลี่ยิ้มจางๆ คล้ายอสรพิษร้าย ภาพของเดรัจฉานทั้งห้ากำลังโลมเลียผิวกายของนางราวฝูงหมาป่าหิวโซพลันผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง
โฉมงามเริ่มจู่โจมเหยื่อผู้ไร้เดียงสาของนางทันที ลิ้นสากละเอียดไล่ต่ำลงมาจากแผงอกแกร่งลามไปถึงท้องน้อยของเขาอย่างรวดเร็ว ความหอมกรุ่นของกลิ่นกายบุรุษเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ ดั่งเกสรดอกไม้ที่กำลังล่อลวงหมู่มวลภมรให้มาหยอกเย้าอย่างไม่อาจจะต้านทานเสน่ห์ของมันได้…
กลิ่นของเขาช่างแปลกประหลาดนัก อ่า...ข้าเริ่มทนไม่ไหวแล้วนะ…
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีอันมืดมิด สายลมพัดหวิวเป็นระรอกชวนให้ใจหวั่นไหว ร่างอรชรของโฉมสะคราญกลับกำลังเคลื่อนกายต่ำทำเรื่องบัดสี โดยมีบุรุษรูปงามร่างกายแข็งทื่อนอนราบกับแคร่ไม้ไผ่ด้วยท่าทีล่อแหลมนัก ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะเรียบนิ่งไร้การขัดขืน แต่ทว่าดวงตาที่แสนเยือกเย็นคู่นั้นกลับดูร้อนลุ่มดั่งเปลวเพลิงในอเวจี
มู่จิวซินชะงักค้างไปกับสัมผัสที่แสนวาบหวามและเอาแต่ใจของสาวน้อย ร่างแกร่งเริ่มจะร้อนวูบวาบเพราะเปลวเพลิงแห่งปรารถณา มือเรียวงามราวหยวกกล้วยของชายหนุ่มเอื้อมไปจับเรือนร่างอรชรเพื่อเตือนให้หยุด นัยน์ตาสีนิลจับจ้องสบประสานกับดวงตาคู่งามอย่างล้ำลึก
“เจ้าพอได้แล้วหรือยัง…” คำพูดที่แสนจะธรรมดาแต่กลับช่างไม่เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้เลยสักนิด เล่นเอาใบหน้างามของดรุณีน้อยแรกแย้มถึงกับชะงักงัน
“ท่านว่าอะไรนะ!?” คำพูดที่แสนเบาหวิวราวกลับกระซิบของหลันจิวฮวาเอ่ยถามขึ้นราวกับไม่เข้าใจ ในขณะที่ไฟราคะในกายของนางเริ่มแผดเผาจนสติแทบหมดสิ้น ด้วยความทรมานเร่งให้เจ้าของร่างงามแทบจะปลดเปลื้องทุกส่วนในร่างกาย และรวมถึงร่างกายของบุรุษตรงหน้าของนางด้วย
มู่จิวซินขบกรามแน่น เพราะจู่ๆ สตรีตรงเบื้องหน้าเริ่มลงไม้ลงมือที่ร่างกายของเขาอีกครั้งโดยไม่รามือ เจ้าของมือเล็กกำลังชอนไชไปทั่วผิวกายและมัดกล้ามสีขาวเนียนแกร่งของตนอย่างซุกซน เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับสูดลมหายใจแรงอย่างยากที่จะห้ามใจ
“ข้าสามารถปลดเปลื้องไฟปรารถนาเจ้าได้ แต่…อ่าห์!” ด้วยความทรมานทำให้มู่จิวซินถึงกับครางออกมาดังๆ เมื่อลิ้นเรียวเล็กของสตรีเบื้องหน้ากำลังไล่เลียไปทั่วแผงอกแกร่งของเขา ดั่งกำลังเคี่ยวกรำให้เขาตายทั้งเป็น
“แต่อันใดท่านมู่…” ขณะที่เอ่ยวาจา ร่างอรชรอ้อนแอ้นของหลันจิวฮวากำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางราวกับคนไร้สติ ใบหน้างามงอนคลียิ้มยั่วยวนดั่งปีศาจสาวสะกดวิญญาณ
เมื่อภาพของสตรีไร้อาภรณ์ปรากฏตรงเบื้องหน้า สติสัมปชัญญะของบุรุษผู้เย็นชาพลันกระเจิดกระเจิงในทันที ความงามของอิสตรีช่างล่อลวงใจให้บุรุษเมามายในรสของไฟราคะนัก แถมยิ่งเป็นหญิงพรหมจรรย์ เสน่ห์ของนางเมื่อต้องเงาจันทรายิ่งงามหยาดเยิ้มราวกับสุราบริสุทธิ์หมักนับร้อยปี
เรือนร่างขาวผ่องเป็นยองใย เนินอกอวบอิ่มราวดอกบัวที่ยังไม่แย้มบาน นวลเนื้อเนียนงามน่าสัมผัสลูบไล้…
นางช่างเป็นสตรีที่งามล้ำโดยแท้…
เมื่อตกอยู่ในห้วงภวังค์ คำพูดใดๆ ที่จะเอื้อนเอ่ยย่อมไร้ความหมาย นิ้วมือเรียวฉีกกระชากอาภรณ์สีขาวของตนออกในทันที ยามเมื่อต้องแสงจันทร์ ร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่ราวกับภาพฝันที่ไม่มีตัวตน ความงามเป็นเอกล้วนสรรสร้างให้ทุกอย่างลงตัว สัมผัสทางกายของคนทั้งคู่ไร้ซึ่งวาจาและเหตุผลอีกต่อไป…