ตอนที่ 4 ฤทธิ์สวาท

1687 Words
เพลิงราคะรุ่มร้อนดั่งไฟเผา ร่างกายของคนเราฤาจะเป็นเช่นหินผา ความงามของนางช่างล่อลวงจิตวิญญาณ สรรพสิ่งทั่วโลกหล้าล้วนไร้ซึ่งตัวตน สิ่งใดในโลกล้วนไม่มีคำว่าเที่ยงแท้ เฉกเช่นกับโชคชะตาของคนทั้งสองที่ต้องเดินมาถึงจุดเปลี่ยนที่ขึ้นชื่อว่าเพลิงปรารถนา ทุกสรรพสิ่งล้วนสรรสร้างให้ทุกอย่างมีทั้งขาวและดำ ความสุขที่ผู้คนล้วนเต็มใจเสพ ไหนเลยจะต้านทานเพลิงราคะนี้ได้ ลิ้นสากตวัดเลียกลีบปากงามหวานล้ำก่อนจะค่อยๆ แทรกเข้าไปชอนไชทั่วโพรงปากหวานดุจน้ำเกสรดอกไม้ป่า เสียงครางในลำคออื้ออึงคลอเสียงดูดดื่มรสจากเรียวลิ้นเล็กอย่างไม่รู้จักพอ หลันจิวฮวาร่างกายสั่นระริกกับสัมผัสหวานล้ำของบุรุษเพศที่นางไม่เคยได้ใฝ่หามาก่อน เมื่อเทียบกับสัมผัสที่แสนหยาบโลนของเดรัจฉานทั้งห้าแล้วกลับห่างชั้นราวฟ้ากับเหว ลิ้นสากของมู่จิวซินสร้างความหฤหรรษ์และวาบหวามจนกายของนางสั่นสะท้านไปหมด นิ้วมือเรียวของเขาพยายามลูบคลำเนื้อนวลของนางราวกับเสพติด “เจ้าช่างเป็นสตรีที่งามล้ำเหลือเกิน งามจนใจข้าสั่นสะท้านไปหมด” เมื่อตกอยู่ในห้วงสวาทมู่จิวซินก็เหมือนดั่งสัตว์ป่าที่กระหายหิว จากภาพลักษณ์บุรุษผู้แสนเย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึก บัดนี้เขาได้กลายเป็นหมาป่าผู้กระหายใคร่เสียแล้ว… ร่างแกร่งเปลี่ยนตำแหน่งจากผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำแทนทันที เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นไร้ซึ่งปราการใดๆ เริ่มกระสับส่ายด้วยความกระสัน ริมฝีปากคู่งามอ้าร้องครางครวญอย่างเชิญชวน “ท่านมู่…ข้าไม่ไหวแล้ว…” ดวงตาคู่งามของหลันจิวฮวาหลับตาพริ้มคล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มและเฝ้ารอสัมผัสที่แสนวาบหวามมาแสนเนิ่นนาน เมื่อเสียงผะแผ่วของดรุณีแน่งน้อยเอ่ยร้องเชิญชวน ความอดทดของชายหนุ่มก็พลันขาดสะบั้น ความแข็งแกร่งใต้หว่างขาของมู่จิวซินพลันผงาดแข็งขื่อ เมื่ออาวุธพร้อมสมรภูมิรักจึงเริ่มดำเนินขึ้นในทันที “อ้ะ! อ๊า…ท่านมู่…” สัมผัสแรกของการถูกล่วงล้ำช่างแสนเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานปนหวานล้ำ ความรู้สึกแรกเริ่มเมื่อท่อนหยกกล้าล่วงล้ำเข้าไปในกายนาง ช่างเจ็บแปลบและสุขสมยิ่งนัก หลันจิวฮวาไม่เคยนึกเลยว่าสิ่งที่เคยตามหลอกหลอนนางแท้ที่จริงแล้วสัมผัสของมันกลับแปลกประหลาดและซาบซ่านเหลือเกินทนนัก ยามเมื่อนึกถึงสัมผัสของเดรัจฉานทั้งห้าในคืนนั้นที่คอยตามหลอกหลอนนาง แท้ที่จริงแล้วมันช่างไม่เหมือนกับที่นางคิดไว้เลยสักนิด บุรุษผู้นี้ช่างอ่อนโยนและเอาแต่ใจเหลือเกิน ท่อนหยกกล้าที่พยายามจะแทรกเข้าไปในกายนางทีละนิดๆ อย่างเอาแต่ใจ ทว่ากลับมอบสัมผัสที่สุขล้ำอย่างน่าประหลาด ความสุขและหวานล้ำเริ่มครอบงำความนึกคิดของคนทั้งสองให้ตกอยู่ในห้วงราคะ เอวแกร่งของมู่จิวซินกำลังหมุนควงราวกับล้อเกวียน เม็ดเหงื่อใสค่อยๆ หยดพรมทั่วใบหน้าของคนทั้งสอง ด้วยรสชาติของเพลิงสวาททำให้ร่างทั้งคู่ต่างไม่หยุดหย่อนที่จะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว “แจ่บๆ แจ่บๆ” เมื่อน้ำเกสรจากกลีบกุหลาบเริ่มหยาดเยิ้ม กลิ่นกายสาบสาวก็ฟุ้งกำจายไปตามแรงตอกตรึงของเอวแกร่ง ค่ำคืนที่แสนเงียบงัน บัดนี้กลับกลายเป็นคืนที่แสนเร่าร้อนไปโดยปริยาย รสสัมผัสที่แปลกใหม่ปลุกเร้าให้ใบหน้างามราวจิ้งจอกเก้าหางของมู่จิวซินกลับงามพิลาส เสน่ห์อันเย้ายวนชวนหลงใหลกลับคล้ายน้ำหวานที่ล่อลวงหมู่แมลงมาติดกับ เสียงครางครวญดังแผ่วราวจะขาดใจของหลันจิวฮวาปลุกเร้าให้ร่างกายของมู่จิวซินโหมกระหน่ำซ้ำซัด นิ้วมือเรียวงามดุจสตรีเพศกระชากร่างงามงอนใต้ร่างให้ลุกขึ้น จากสัมผัสที่แสนอ่อนโยนบัดนี้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างพยศ “กรี๊ด…อ๊ะ ท่านมู่…ข้าเจ็บ” รสชาติวาบหวามกลับถูกแทนที่ด้วยรสสัมผัสที่ดิบเถื่อน แล้วผู้ใดเล่าจะทนกลั้นได้ หลันจิวฮวาก็เช่นกัน ความทรมานจากการถูกบุรุษแซ่มู่ผู้นั้นดูดกัดอย่างหื่นกระหายทำให้หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด แรงกัดและดูดดึงของเขาราวจะกลืนกินร่างของนางไปทั้งตัวก็ไม่ปาน รสชาติอ่อนโยนและวาบหวามพลันมลายหายไปสิ้นในบัดดล ร่างกำยำอุ้มร่างงามกระเตงราวกับลูกน้อย ก่อนจะขยับเอวของเขาขึ้นลงอย่างบ้าระห่ำ เรียกเสียงร้องของหลันจิวฮวาดั่งแทบขอชีวิต แต่ทว่าชายหนุ่มกลับเหมือนถูกปีศาจร้ายครอบงำไปเสียแล้ว ดวงตาคู่คมแดงก่ำราวกับภูตผีวิญญาณร้าย ครั้นเมื่อแสงจันทร์ส่งกระทบดวงหน้างาม ความดำมืดก็พลันปรากฏ ในแต่ละช่วงจังหวะของการดำเนินบทรักต่างเร่งร้อนและดุเดือด เหงื่อในกายของบุรุษเพศต่างไหลหยดราวช้างกลัดมัน จากเสียงร้องครางอย่างสุขสมของหลันจิวฮวาก่อนหน้า บัดนี้นางกลับร้องโหยหวนราวกับขอชีวิต ช่วงจังหวะเอวแกร่งขยับเข้าออกนั้นไม่เคยมีสักครั้งเลยที่จะอ่อนโยนเฉกเช่นคราแรก มันทั้งเร่งรีบ เร็วแรง และหักโหม สัมผัสหยาบโลนของเดรัจฉานทั้งห้าพลันปรากฏขึ้นในหัวของโฉมงามอีกครั้ง ในคืนนั้นแม้ว่านางจะไม่สูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับเดรัจฉานพวกนั้น แต่ทว่าความเจ็บปวดที่นางพยายามจะลืมกลับถูกสัมผัสที่แสนดิบเถื่อนของมู่จิวซินกระตุ้นมันให้หญิงสาวจดจำมันได้อีกครั้ง เมื่อความเจ็บปวดจากการถูกบดขยี้กามราคะของบุรุษตรงหน้าปลุกให้หญิงสาวตื่นจากพิษผงลืมวิญญาณ ความน่ากลัวที่นางแสนจะเกลียดชังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “อ้ะ! กรี๊ด! ไม่นะท่านมู่ ได้โปรดปล่อย…ข้า…” เสียงกรีดร้องปริ่มจะขาดใจดังขึ้นท่ามกลางเพลิงราคะที่แสนรุ่มร้อน ในขณะเดียวกันร่างบอบบางของหลันจิวฮวาก็นอนแผ่หลารับแรงกระแทกกระทั้นจากเอวแกร่งของอีกฝ่ายด้วยความทรมาน “เจ้าต้องการเองไม่ใช่รึ? เหตุใดกลับหวาดกลัวสัมผัสจากข้าเล่า” ขณะที่มู่จิวซินเอ่ยใบหน้าของเขากลับยิ้มร่าราวกับปีศาจร้าย ดวงตาที่แสนเย็นชากลับแดงก่ำน่ากลัว “ข้าเจ็บ…ขอร้อง…อื้อ!” กลีบปากคู่งามช่างเย้ายวนเร้าใจชายหนุ่มยิ่งนัก ไม่รอให้สตรีใต้ร่างของเขาพูดมาก มู่จิวซินจัดการปิดปากนางทันที มือทั้งสองข้างจัดการอ้าขาเรียวเนียนให้แยกห่าง ก่อนจะหยัดกายแกร่งเข้าไปบดขยี้กลีบบุปผาที่แสนสวยอย่างไม่ทะนุถนอมเอาเสียเลย จังหวะเข้าๆ ออกดังแจ่บๆ ตามแรงเสียดสี แต่ละสัมผัสต่างปลุกเร้าตัณหาบาปให้รุกโชนโดยไม่อาจจะมอดดับ ทุกคราที่โฉมงามถูกคนแซ่มู่บดขยี้และทิ่มแทง นางรู้สึกเจ็บปวดระคนหวานล้ำแปลกๆ ทุกจังหวะ ทุกสัมผัส ช่างทรมานและเคี่ยวกรำจนหญิงสาวเจ็บระบม เสียงร้องขอของหญิงงามดังเพียงแผ่วกระซิบ หยาดน้ำตาใสราวหยาดน้ำค้างแรกแย้มไหลรินอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง แม้ว่านางจะเจ็บปวดและทรมาน แต่ทว่าความสุขสมกลับฉุดยื้อให้หลันจิวฮวามีสติอยู่กับการถูกครอบครองโดยไร้จุดหมาย… เวลาหนึ่งชั่วยาม* ผ่านไป จังหวะเคลื่อนไหวของคนดิบเถื่อนอย่างมู่จิวซินก็ค่อยๆ ชะลอลง ใบหน้างามสะคราญและนัยน์ตาที่แข็งกร้าวชองชายหนุ่มเริ่มกลับคืนมาสู่สภาวะปกติ จังหวะร้อนแรงที่แสนรัญจวนแปรเปลี่ยนเป็นเนิบช้าและค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป “ท่าน…ข้าขอร้อง…หยุดได้หรือไม่?” หลันจิวฮวาที่ตอนนี้สติเริ่มเลือนรางพยายามเอ่ยเบาๆ กับบุรุษตรงหน้านาง ความเจ็บปวดตรงกลางหว่างขาของหญิงสาวก่อนหน้า…บัดนี้หลงเหลือไว้แต่ความชาจนแทบจะไร้ความรู้สึก นางไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะครอบครองตนอีกนานเพียงใด แต่ในตอนนี้หญิงสาวรู้เพียงแค่อยากให้เขาหยุดเหลือเกิน แม้ว่าความบ้าระห่ำของเขาก่อนหน้านี้จะหายสาบสูญไปจากใบหน้าของเขาแล้ว แต่การกระทำของคนผู้นี้ในตอนนี้กลับหาได้หยุดมือไม่ หลันจิวฮวาแทบอยากจะขาดใจตายเสียให้สิ้น ความทรมานกับการถูกบุรุษผู้นี้เคี่ยวกรำช่างโหดร้ายและสุขสมในเวลาเดียวกันจริงๆ เมื่อได้สติเอวแกร่งที่กำลังหมุนวนกดคลึงบดขยี้บุปผางามพลันชะงัก ดวงตาที่เคยร้อนแรงก่อนหน้าพลันเยียบเย็นในทันที ดวงตาสีนิลก้มมองสตรีใต้ร่างนิ่ง แล้วชายหนุ่มก็ผงะเพราะร่างเปลือยเปล่าเบื้องล่างกำลังนอนหายใจรวยริน ตามเนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงๆ ทั่วเรือนกาย ทำให้ชายหนุ่มหมดอารมณ์ที่จะครอบครองนางในบัดดล “เจ้าพักเสียเถอะ” ร่างแกร่งหยัดกายลุกขึ้น แล้วพาร่างอรชรที่แสนบอบช้ำเข้าไปในห้องพักด้วยความรู้สึกผิด ดวงตาคู่งามค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับความรู้สึกโล่งอก เพราะตอนนี้นางได้พักเสียที… สายลมดังหวีดหวิวในยามรัตติกาล บุรุษอาภรณ์สีขาวนั่งโต้ลมอย่างเงียบเหงาบนหลังคาบ้านในตรอกรกร้างแห่งนี้ ข้างๆ กันนั้นมีเพียงไหสุราดอกท้อกับความเงียบงันที่ค่อยๆ กัดกินความรู้สึกของมู่จิวซินให้ด้านชา… “ผงลืมวิญญาณ…ใช่ว่าเจ้าจะเป็นผู้เดียวที่ถูกมันควบคุม” ดวงตาหม่นแสงมองตรงไปอย่างไร้จุดหมาย แล้วภาพในอดีตของเขาก็พลันสะท้อนขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่ามันจะผันผ่านไปสิบปีแล้วก็ตาม แต่อดีตของเขาก็ไม่เคยจะเลือนรางไปจากห้วงคำนึงเลยสักครา “ไป๋ลี่เซียน…นางอสรพิษ!” * 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชม.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD