บทนำ

1837 Words
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาเทียบท่าอาณาเขตโชติรส คนตัวบางในเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงนอนขายาวตัวเก่งรีบลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งพ่นลมหายใจทิ้งมาหลายพักวิ่งออกไปรับหน้าด้วยความดีใจ หญิงสาวชะลอความเร็วและหยุดยืนเก้กัง ทั้งยังชะเง้อมองเข้าไปว่าเหตุใดเจ้าของรถยนต์จึงไม่ยอมลงมาเสียที กระทั่งร่างสูงเจนตาออกมาพร้อมกับเสียงปิดประตูดังปัง ทว่าอาการโอนเอนของเขาทำให้หญิงสาวนึกเอะใจ แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากถามร่างบอบบางก็ถลาเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ที่ทำท่าจะล้มตึงลงไปไม่วินาทีใดวินาทีหนึ่ง... “คุณนนท์!” เสียงหวานที่อุทานด้วยความตกใจทำให้คนที่ ‘เมาแอ๋’ เขม้นตามองอย่างมึนๆ แต่เมื่อร่างนุ่มนิ่มของคนตัวเล็กกว่าโผเข้ากอดเอวหนาเพื่อประคองเข้าบ้าน คนเมาก็จำได้ซ้ำยังหัวเราะเบาๆ ออกมาอีก “อะไรกันมิ้น มากอดพี่ทามมาย พี่เดินไหวน่า...” คนบอกเดินไหวเลยถูกคนตัวเล็กกว่าค้อนขวับเสียที ทั้งยังเบ้หน้าหนีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งอบอวลไปหมด หนำซ้ำยังเซไถล จะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่รอมร่อ ยังจะมีหน้ามาปากดีบอกเดินเองไหวอีก... “เดินดีๆ สิคะคุณนนท์เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก...” เจ้าของเสียงหวานบ่นเมื่อคนตัวโตกว่ามากเดินเซไปเซมาหาทิศทางแน่นอนไม่ได้ อีกนานต่อมา ทั้งคู่จึงพากันโซซัดโซเซขึ้นมายังห้องนอนของคนเมาได้สำเร็จ “ฮื้อ ไปนอนไป๊ พี่ไม่เป็นไรหรอกน่า...” คนเมาบอกเสียงอ้อแอ้ ปัดมือเล็กที่ช่วยประคองแล้วทิ้งตัวล้มลงไปกองบนเตียงกว้างอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอีกต่อไป เป็นเหตุให้คนตัวเล็กในชุดนอนตัวเก่งต้องถอนหายใจเฮือก หญิงสาวมองซ้ายขวาแล้วตรงไปยังตู้เสื้อผ้าเดินเลยไปยังห้องน้ำ เพียงครู่ก็เดินตัวปลิวออกมา วางกะละมังลงบนโต๊ะเล็กแล้วบิดผ้าขนหนูจนหมาด ตรงไปยังร่างสูงที่นอนเหยียดยาวแล้วขยับเข้าไปนั่งใกล้ มองใบหน้าคมคายภายใต้ไฟสลัวบนหัวเตียงอย่างจดจำ ก่อนกดผ้าลงเช็ดใบหน้าเรียวได้รูปแต่เข้มคมด้วยอาการเบามือ คนเมาสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะเปิดตาขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกราวกับรำคาญ ทั้งยังยกมือหนาขึ้นปัดผ้าขนหนูหมาดน้ำออกห่างเสียอีก “อะไรเนี่ยมิ้น ไม่เอา พี่จะนอน เธอไปนอนเหอะ นี่ดึกแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวคุณแม่ก็ดุเอาอีกหรอก...” ว่าแล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ผู้หวังดี ปล่อยให้มือบางยกผ้าค้างอยู่อย่างนั้น และไม่อาจห้ามนัยน์ตากลมโตไม่ให้ค้อนแผ่นหลังกว้างได้ แม้จะรู้ว่าเขาทำไปเพราะเมามายก็ตามที “ก็คุณนนท์เมา มิ้นแค่จะช่วยเช็ดหน้าให้ แล้วก็ไปอาบน้ำด้วยสิคะ มานอนทั้งแบบนี้ได้ยังไง อี๋... เหม็นจะตาย คุณนนท์ ได้ยินมิ้นพูดไหมนี่?” ไม่ถามเปล่า มือเล็กเรียวยังเขย่าร่างหนาให้ลุกขึ้นมาทำตามที่บอก เป็นเหตุให้คนตัวโตที่กำลังต้องการพักผ่อนเต็มทีโวยออกมาจนคนเจ้ากี้เจ้าการตกใจหน้าตื่น “โอ๊ย! อะไรนักหนานะมิ้น? พี่จะนอน ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ถูกเอ็ดจากคุณแม่อีกหรอก” หน้ายุ่งๆ ของคนโวยวายทำให้มิ้นหรือมินตราเม้มปากแน่น นึกโกรธระคนน้อยใจที่อีกฝ่ายเอ็ดกลับทั้งที่หล่อนหวังดี อยากช่วยดูแลเขาแท้ๆ หนำซ้ำยังจำไม่ได้ด้วยว่าวันนี้มารดาและบิดาของเขาไม่อยู่บ้าน... “ฮึ! เมาจนความจำเสื่อมเลยหรือไง? วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่สักหน่อย” คิ้วหนาเข้มขมวดมุ่น พยายามใช้สติอันน้อยนิดที่มีอยู่นึกคิดถึงหน้าบิดามารดา... ‘พรุ่งนี้แม่กับพ่อจะไปเยี่ยมคุณลุงชาตินะ เห็นว่าเพิ่งเข้าโรงพยาบาลน่ะ โรคเดิมๆ นั่นแหละ นนท์ไม่ต้องไปก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนน้อง แม่กับพ่อว่าจะไปสักสองสามวัน ดูแลน้องด้วยนะ...’ เพียงเท่านั้น ดวงตาที่ริบหรี่ก็เบิกกว้างตามสติที่พอจะหลงเหลือมองคนตัวบางที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาสำนึกผิด “มิ้น... พี่ขอโทษนะจ๊ะ ขอโท๊ษ... ขอโทษ พี่ลืมสนิทเลย” คนสำนึกได้อ้อแอ้บอก ขยับเข้าใกล้คนเมินหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นบีบแขนเล็กเบาๆ อย่างเอาใจ หญิงสาวหันมองคนรู้ตัวว่าผิดแล้วถอนหายใจหนักๆ หล่อนเคยโกรธเขาได้นานเสียที่ไหนกัน ยิ่งสบตาและใบหน้าที่เจื่อนลงของคนมีเสน่ห์เกินร้อยหญิงสาวก็ใจอ่อนยวบ “ไม่เป็นไรค่ะ มิ้นไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากให้คุณนนท์อาบน้ำอาบท่าก่อน ดูสิ กลิ่นหึ่งเลย...” คนพูดทำจมูกย่น แสดงให้รู้ว่าหล่อนรู้สึกจริงตามที่พูด ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิดๆ แล้วก้มลงดมตัวเองพิสูจน์กลิ่น ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ก็กินเหล้ามา เหอะน่า... ตอนนี้พี่ไม่ไหวแล้ว ขอนอนก่อนนะๆ ซักแห้งสักคืนคงไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วคนดื้อก็ล้มตัวลงนอนอย่างแสนจะเกียจคร้าน พลางหาวหวอดเป็นการยืนยันว่าเขานั้น ‘เต็มที่’ แล้วจริงๆ มินตรา อัปสร จากเด็กสาวสู่สาวเต็มตัววัยยี่สิบสองปีเต็ม เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีมาหมาดๆ ค้อนควัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองคนตัวโตที่นอนยาวกับที่นอนด้วยแววตาที่แอบซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างมาเนิ่นนาน มินตราเป็นบุตรสาวของนางน้อยกับนายศร สองสามีภรรยาอดีตคนขับรถและสาวใช้ของโอบเอื้อและนัดดาบิดามารดาของณนนท์ ซึ่งทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุระหว่างกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ทำให้เด็กหญิงมินตราวัยเพียงสามขวบที่อาศัยอยู่กับยายต้องกำพร้าทั้งพ่อและแม่ในทันที โอบเอื้อและนัดดาทราบความจึงขอแม่หนูน้อยในเวลานั้นมาเลี้ยง ยายของมินตราซึ่งไม่ได้มีฐานะทางการเงินดีนักเห็นว่าเป็นบุญของหลานสาวจึงยกให้กับสองสามีภรรยาทั้งสอง ซึ่งนางเชื่อว่าทั้งคู่จะดูแลหลานรักได้ดีกว่านางแน่นอน ส่วนโอบเอื้อและนัดดาเมื่อรับเด็กหญิงมาอยู่ด้วยก็รักและเอ็นดูเหมือนลูกในไส้ ณนนท์ในยามนั้นวัยเพียงสิบเอ็ดปีเห็นเด็กหญิงแก้มป่องตัวเล็กนิดเดียวยืนกอดตุ๊กตาหมาเน่าท่าทางหวาดกลัวก็นึกเอ็นดู เขาเป็นลูกคนเดียวมาสิบเอ็ดปีแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมมีน้องให้สักที เด็กชายในยามนั้นจึงเต็มใจยอมรับเด็กหญิงเข้ามาในฐานะน้องสาวอย่างไม่มีข้อแม้ ส่วนมินตราเมื่อรู้ความจึงได้รู้ว่าตนนั้นมิใช่บุตรสาวของผู้มีพระคุณทั้งสองอย่างแท้จริง ทว่าบิดามารดาของหล่อนนั้นได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และรู้ว่าตนเป็นเพียงลูกคนขับรถกับสาวใช้จึงเจียมเนื้อเจียมตัวมาเสมอ ทั้งยังไม่เคยคิดตีเสมอกับผู้มีพระคุณ แต่สำหรับณนนท์แล้วหญิงสาวให้ความสนิทสนมกับเขามากกว่าใคร พี่ชายแสนดีที่รักและเอ็นดูหล่อนไม่เสื่อมคลาย จากพี่ชายอายุสิบเอ็ดปีบัดนี้สามสิบถ้วน วันเวลาผ่านไปสาวน้อยก็เริ่มรู้ตัวว่าหัวใจเริ่มไม่รักดี เมื่อรู้จักรักครั้งแรกก็ดันเกิดขึ้นกับคนตรงหน้า รู้สึกผิดบาปทุกครั้งที่เผลอมองเขาด้วยสายตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่มองผู้ชายคนหนึ่งหาใช่อย่างน้องสาวมองพี่ชาย... หากเขารู้คงรังเกียจหล่อนจนไม่อยากมองหน้า หญิงสาวต้องทนเก็บความรู้สึก ทั้งอึดอัดใจไม่กล้าเอื้อนเอ่ยบอกใครได้แต่เก็บไว้ในใจเพียงลำพัง เฝ้ามองชายที่รักมีคนรักอย่างปวดใจ... หญิงสาวเผลอทอดถอนใจยาว เฝ้ามองเรือนร่างแข็งแกร่งของพี่ชายต่างบิดามารดาด้วยแววตารักใคร่และเทิดทูนสุดหัวใจ แม้ทำได้เพียงแค่มองและแอบรัก ก็ยังเต็มใจที่จะทำ แม้รู้ว่ารักนี้เป็นรักอาภัพไม่มีวันสมหวังได้ แต่ใจยังดื้อดึง คนตัวโตหายใจสม่ำเสมอ หญิงสาวจึงจัดการดึงหมอนรองศีรษะจนเข้าที่เข้าทาง แล้วนั่งมองใบหน้าคมคายที่หลับตาพริ้มอยู่เช่นนั้น พลางคิดถึงสาเหตุการ ‘เมาปลิ้น’ ของอีกฝ่าย คงไม่มีเรื่องอะไรนอกเสียจากเรื่องของญาณี เขาและผู้หญิงคนนั้นรักกันมานานนับแต่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ จนกลับมาก็ยังรักกัน ทว่าไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าฝ่ายหญิงตีตัวออกห่างเพราะเจอที่หมายใหม่ ซ้ำยังเป็นถึงลูกชายท่านทูตอนาคตไกล หากเทียบกับณนนท์แล้วเขาก็เป็นเพียงแค่สถาปนิกออกแบบสิ่งปลูกสร้างธรรมดาๆ เพียงคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่หนุ่มสังคมเช่นชายคนใหม่ที่ญาณีกำลังปันใจคบ... ทั้งที่ความจริงนั้นครอบครัวของณนนท์มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ฐานะทางการเงินมิได้ยอบแยบ คนใหญ่คนโตหลายต่อหลายคนยังมาพินอบพิเทาบิดามารดาของเขาสม่ำเสมอ แต่ชายหนุ่มยังคงทำตัวสบายๆ ไม่ได้ฟู่ฟ่าอวดร่ำรวย ทั้งหน้าที่การงานมั่นคง ลูกค้าถึงกับจองตัวให้ออกแบบก่อสร้างอาคารให้ก็หลายรายนับไม่ถ้วน แต่รักที่ชายหนุ่มมีให้ญาณียังไม่พอ เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการหาใช่เพียง ‘เงินตรา’ แต่ยังต้องมี ‘หน้าตา’ ติดตามมาด้วย มินตราเคยคิดค่อนแคะญาณีเรื่องตาไม่ถึงของอีกฝ่ายอยู่ในใจ มีเพชรอยู่ในมือแต่กลับไม่รู้ค่า ทิ้งขว้างไปหาใครก็ไม่รู้ที่มีเพียงหน้าตาหากเบื้องหลังไม่ได้รู้เลยว่าฝ่ายนั้นเป็นเช่นไร แต่เมื่อคิดอีกทีก็ดีใจที่ไปได้เสีย เพราะหล่อนก็ไม่นิยมผู้หญิงที่จิตใจไม่ซื่อตรงและมั่นคงในรัก ณนนท์เป็นคนที่หล่อนรัก เป็นพี่ชายที่แสนดี หากเขาต้องร่วมหอลงโรงกับใครสักคนก็ขอให้เป็นคนที่ดีทั้งกายและใจ แม้จะเจ็บปวดที่ต้องมองเขารักกับคนอื่น แต่เพียงแค่นี้หญิงสาวก็สุขใจแล้ว... เสียงพลิกตัวของคนหลับทำให้หญิงสาวหลุบตามองหลังจากเหม่อมานาน และความง่วงเริ่มเข้าครอบงำแต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงจากเตียงเสียงครางของอีกฝ่ายกลับเป็นตัวฉุดให้หญิงสาวชะงัก “แยม... อย่าทิ้งผม ผมผิดอะไร แยม...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD