๔
คลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง...
“คุณมินตราเชิญที่ห้องตรวจค่ะ” พยาบาลสาวเอ่ยเรียกคนไข้ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หญิงสาวลุกขึ้นโดยมีร่างสูงลุกตามเตรียมประคองเข้าไปภายในห้องตรวจ โดยมีคนไข้และญาติอีกหลายรายที่มองตามทั้งคู่ด้วยสายตาชื่นชม
“ไม่ต้องค่ะคุณนนท์ มิ้นเข้าไปคนเดียวก็ได้”
“เดินจะไม่ไหวเดี๋ยวล้มไปพอดี” คนดื้อหรือจะสู้คนดื้อกว่า หญิงสาวถอนหายใจยาวเหยียด แต่ไม่ว่าอย่างไร หากผลออกมาอย่างที่หล่อนคิดไว้ต้องไม่ให้เขารู้เด็ดขาด!
“งั้นก็ตามใจเถอะค่ะ มิ้นพูดอะไรคุณนนท์เคยฟังเสียเมื่อไร” คนพูดคล้ายจะตัดพ้อในที ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจแต่ก็เดินตามไปอยู่ดี กระทั่งนั่งลงตรงหน้าแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
“นอกจากอาเจียน เวียนหัว แล้วคนไข้มีอาการอื่นอีกไหม ไหนลองบอกหมอหน่อยสิครับ” แพทย์ผิวขาวมีอายุ หน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติเอ่ยเสียงแบบคุณหมอใจดีทั่วไป
“เอ่อ คือ” มินตราอึกอัก เหลียวมองร่างสูงที่นั่งข้างอย่างอึดอัดใจไปหมด ณนนท์เห็นแล้วขัดใจจึงตอบออกไปเสียเอง
“หน้ามืด เวียนหัว เมื่อเช้าให้ทานข้าวแล้วก็อาเจียนอย่างที่คุณหมอทราบครับ” คุณหมอใจดีเหลือบมองคนตอบพลางยิ้มให้ทั้งสอง นึกรู้แต่ยังต้องตรวจให้แน่ชัดจึงจะตอบได้เต็มปากเต็มคำ
“อืม... ก็วินิจฉัยได้หลายอย่าง แต่ให้แน่หมอขอตรวจปัสสาวะคนไข้สักหน่อยก็แล้วกันนะครับ” คิ้วหนาที่พาดเฉียงเหนือลูกตาคมย่นจนยุ่ง ลุกขึ้นตามคนตัวบางเมื่อมีพยาบาลสาวเข้ามาแล้วนำหญิงสาวออกไปยังห้องน้ำด้านนอก ชายหนุ่มนั่งรออยู่สิบนาที หญิงสาวก็ออกมานั่งรออย่างใจเย็น เขาหลุบตามองคนตัวบางที่นั่งหน้าจ๋อยแล้วยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็กพลางถามเสียงเบา
“เป็นอะไร กลัวหรือไง” มินตราเงยหน้าขึ้นสบตาคู่คมที่มองลงมาอย่างอ่อนโยนแล้วอุ่นใจวาบ
“เอ่อ ก็ นิดหน่อยค่ะ แต่มิ้นคงไม่เป็นอะไรมากเท่าไร” บอกเขาก็เหมือนบอกกับตัวเอง พลางภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างเช่นที่คิด ณนนท์ยิ้มบางๆ อย่างให้กำลังใจ
“ไม่หรอก คนเก่งของพี่จะเป็นอะไรได้”
เมื่อได้ยินคำหวานหูจากอีกฝ่าย หัวใจที่เต้นช้ากลับเต็มตื้น ชายหนุ่มเลยชะงัก เมื่อถูกหญิงสาวจับจ้องด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะดึงมือของตนออกจากไหล่มน แววตาของหล่อนทำให้เขาต้องค้นคว้า แต่เจ้าหล่อนกลับหลุบตาลง จึงได้แต่ถอนใจยาว บอกตนเองว่าคิดมาก ทว่ายังขัดแย้ง เริ่มไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รู้ทำไมหลังๆ จิตใจเขาวอกแวกนัก เขาจำได้ว่าแม้แต่ญาณีเขาก็ไม่เคยต้องเอ่ยด้วยวาจาเอาอกเอาใจเช่นนี้ เพราะหากเป็นฝ่ายนั้น แค่มองตาก็รู้ไปถึงความต้องการ ไม่จำเป็นต้องอ่อนหวานหรือดูแลจนใครๆ ต่างมองราวกับเขาและหล่อนเป็นคู่รัก!
คู่รัก…
อืม… ไม่ใช่แล้ว
แต่ไม่วายกวาดตามองโดยรอบอัตโนมัติ แล้วก็จริง ใครๆ ต่างมองมายังเขาและมินตราด้วยสายตาสนใจ บ้างก็ยิ้มแล้วหันกลับไปซุบซิบ บ้างก็พูดให้ได้ยินก็มี
“เธอ เธอว่าคู่นั้นเป็นคู่รักหรือเปล่า ดูเหมาะสมน่ารักดีนะ”
ได้ยินเสียงแว่วมาจากสองสาวนั่น ฟังแล้วก็อดที่จะเหลือบมองคนตัวเล็กที่ดูจะไม่ได้ยินอะไรเพราะมัวแต่เหม่อลอยด้วยความครุ่นคิด มินตราเป็นเด็กหญิงกำพร้าที่เขาให้ความรักเอ็นดูนับแต่พบหน้าครั้งแรก เคยพาเที่ยวขี่คอมานับครั้งไม่ถ้วน มองหล่อนกี่ครั้งก็เหมือนมองเด็กหญิงตัวกลมเมื่อนานมาแล้วตลอด ทว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมาไม่รู้ทำไมหรืออะไรดลใจให้เขามองหล่อนด้วยสายตาที่แปลกไป จนรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว รับรู้ว่าหล่อนมิใช่น้องน้อยเช่นเดิมอีกแล้ว แต่มินตราคือสาวงาม หญิงสาวที่มีเรือนร่างน่าทะนุถนอม เหมาะให้ใครสักคนปกป้องคุ้มครอง...
แล้วใคร? ใครจะได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น
ความคิดหยุดชะงักลง เมื่อเสียงหวานของพยาบาลคนเดิมดังขึ้น ร่างกลมกลึงที่เขาเพิ่งบอกตนเองว่าน่าทะนุถนอมลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเขาลุกขึ้นตามหญิงสาวก็รีบห้ามไว้รวดเร็ว
“ไม่ต้องค่ะคุณนนท์ แค่เข้าไปฟังผล คุณนนท์รออยู่นี่เถอะค่ะ นะคะ” นัยน์ตาคู่สวยราวกับจะอ้อนวอนอยู่กรายๆ แล้วเขาหรือจะขัดใจหล่อนได้ แค่สบตาออดอ้อนเขาก็ไปไม่เป็นเสียทุกที...
“ก็ได้ พี่รอตรงนี้แล้วกัน” จึงได้รับยิ้มหวานเป็นการตอบแทน ชายหนุ่มยิ้มตอบแล้วมองตามร่างระหงจนหายเข้าไปในห้องตรวจ...
“เชิญนั่งครับคุณมินตรา”
“ขอบคุณค่ะ” มินตรานั่งลงแล้วก็จริง แต่หัวใจดวงน้อยกลับเต้นรัว นายแพทย์ขยับแว่นกรอบหนาแล้วยิ้มใจดี
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผลตรวจที่ออกมาไม่ได้มีอะไรร้ายแรง แต่ว่าเป็นข่าวดีมากกว่า...”
“เอ่อ แล้ว... หนูเป็นอะไรคะคุณหมอ?” กลั้นใจถามแล้วก็แทบจะกลั้นใจฟัง เมื่อคุณหมอค่อยๆ ตอบคำถาม หลังจากนั้น มินตราก็ไม่ได้ยินคำแนะนำที่คุณหมอบอกออกมาอีกเลย ไม่รู้ว่าตนเดินออกมาจากห้องตรวจได้อย่างไร รู้เพียงว่าเวลานี้เหมือนกำลังยืนอยู่บนพื้นเรือที่โคลงเคลง ขยับเพียงนิดก็มีสิทธิ์พลิกคว่ำ…
ความกังวลเพิ่มเป็นทวี มือเท้าเย็นเยียบ เดินเหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจมานั่งลงข้างร่างสูงที่จับตามองหญิงสาวด้วยสายตาเป็นห่วงปิดไม่มิด
“มิ้น เป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น คุณหมอว่ายังไงบ้าง?”
เสียงแว่วๆ ที่ดังข้างตัวทำให้สติที่หลุดออกไปในห้วงอากาศกลับคืนสู่พื้นผิวโลก หญิงสาวเหลียวมองคนเรียกแล้วน้ำตาเอ่อขึ้นมาวูบก่อนจะไล่ให้มันกลับลงไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่
“เอ่อ อะไรนะคะ เมื่อกี้คุณนนท์ว่าอะไรนะคะ?”
คิ้วหนาขมวดอีกกับความเหม่อลอยของคนข้างตัว
“นั่งอยู่ตรงนี้นะ พี่จะเข้าไปถามคุณหมอว่ามิ้นเป็นอะไรกันแน่!”
เท่านั้นเอง อาการเลื่อนลอยของมินตราก็ราวกับถูกปัดทิ้งไปสิ้น
“ไม่ต้องค่ะ!”
ดวงตาสีเข้มหรี่มองคนที่ร้องห้ามเขาด้วยความตกใจอย่างจับผิด
“ทำไม?” มินตราเพิ่งรู้ตัวว่ามีพิรุธจึงรีบแก้ต่างอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ผลตรวจออกมาแล้วไม่เป็นอะไร เอ่อ แค่ แค่อาหารเป็นพิษค่ะ ก็เลยมีอาการผะอืดผะอม คุณหมอสั่งยาให้มิ้นแล้ว เดี๋ยวก็คงจะหาย” ขณะที่มินตราพยายามอธิบายอยู่นั้น มือเล็กๆ ของหญิงสาวก็จับมือหนาเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน
“คุณมินตราเชิญรับยาด้วยค่ะ” เสียงพยาบาลเรียกชื่อ ขัดจังหวะการซักไซ้ไล่เลียงได้เป็นอย่างดี
“รอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวมิ้นไปรับยาก่อน”
“ทำไมต้องให้พี่รอ พี่ต้องเป็นคนจ่ายค่ายา” เขาถามอย่างไม่เข้าใจและเตรียมจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามที่ตนเอ่ย
“โธ่! คุณนนท์ ปล่อยให้มิ้นทำอะไรด้วยตัวเองบ้างเถอะค่ะ มิ้นโตแล้วนะคะ อีกอย่างแค่ค่ายาไม่กี่บาทมิ้นมีเงินค่ะ”
“คุณมินตราเชิญรับยาด้วยค่ะ”
เสียงพยาบาลสาวเรียกซ้ำ หญิงสาวจึงกดร่างหนาให้นั่งลงที่เดิม และรีบตรงไปยังเคาน์เตอร์จ่ายยาอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ณนนท์มองตามด้วยสายตางุนงงและจับผิด กระทั่งเข้ามานั่งภายในรถยนต์ ณนนท์ก็เอ่ยถามขึ้น
“หมอให้ยาอะไรมามั่ง” ถามพลางปรายตามองขณะขับรถ หญิงสาวหลุบตาลงมองห่อยาจากคลินิกแล้วกระชับแน่นแทนที่จะหยิบขึ้นมาอ่านให้อีกฝ่ายฟัง
“เอ่อ ก็ ก็มียาฆ่าเชื้อค่ะ มะ... มียา แก้อาหารเป็นพิษ ยาเคลือบกระเพาะ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันกับรายการยาสุดท้าย
“ยาเคลือบกระเพาะด้วยหรือ” เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยเริ่มซึมออกมาตามไรผม ทั้งที่เวลานี้ภายในห้องโดยสารเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ
“เอ่อ ค่ะ มีค่ะ ก็แหม... คุณหมอก็กันๆ มาน่ะค่ะ เพราะมิ้นบอกคุณหมอไปด้วยว่าแสบท้องบ่อยๆ” ณนนท์เหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ
“นี่ล่ะน้า ถึงเวลากินไม่ค่อยกิน พอกินก็กินยังกับแมวดม โรคกระเพาะถามหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีกอย่างกินอะไรต้องระวังด้วย ไม่งั้นจะเป็นแบบวันนี้รู้ไหม?”
มินตราลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่ติดใจซักถาม แล้วทิ้งศีรษะไปกับพนักพิง เมินหน้าออกไปอีกด้านหนึ่ง หลับตาลงครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกับตัวหล่อน...
ต่อไปนี้จะทำอย่างไรดี จะหลบเลี่ยงยังไงไม่ให้ทุกคนรู้ จะเลี่ยงได้ไง? อีกใจค้าน คิดพลางหลุบตามองยังที่ตั้งของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
‘เอ่อ แล้ว... หนูเป็นอะไรคะคุณหมอ?’
‘หมอต้องขอแสดงความยินดีกับคุณมินตราด้วยนะครับ ตอนนี้คุณมินตราตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์แล้ว’
ประโยคนั้นของคุณหมอยังคงดังก้องในห้วงสำนึก พลันมือเล็กกำห่อยาที่คุณหมอจ่ายมาแน่น
เดี๋ยวท้องก็โตขึ้นทุกวัน จะปกปิดมิดชิดได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ แล้วจะทำยังไง อีกใจก็ถาม นั่นสิ! จะทำอย่างไรดี...
ขณะที่ณนนท์ทำหน้าที่ขับรถ มินตรากลับว้าวุ่นไปตลอดทาง ดวงหน้างามหม่นหมอง คุณพ่อ คุณแม่คงผิดหวังในตัวหล่อน ท่านคงจะเสียใจไม่น้อยหากรู้ว่าหล่อนตั้งท้อง คนอื่นจะมองหล่อนด้วยสายตาดูถูก…
หล่อนจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี จะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่าอย่างไร หากท่านถามว่าใครเป็นพ่อของลูก…
มือเรียวงามวางทาบลงบนหน้าท้องแผ่วเบา เผลอลูบไล้ราวปลอบใจคนข้างในไปด้วย เรียกสายตาที่เหลือบมาให้มองอย่างครุ่นคิด