ตอนที่ 2

1300 Words
ลืมแล้วหรือว่าสัปดาห์แรกๆ ที่ผมกลับมาถึงบ้าน… ตอนนั้นเราแทบไม่อยากออกจากห้องนอนกันเลยทีเดียว… ตัวงี้ติดกันเป็นปลาท่องโก๋” เดวิดเท้าความถึงความหลังเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น “บ้า… คุณก็ พูดอะไรไม่รู้… เขินนะ” คำพูดจากปากของสามีทำให้ใบหน้าของภรรยาแดงก่ำไปด้วยความอาย เมื่อย้อนระลึกไปถึงความหลังครั้งวันวานระหว่างเธอกับเขาที่ยังคงหวานชื่นไม่สร่าง ไม่จืดไม่จางมาจนถึงทุกวันนี้ “ผมแค่อยากให้คุณเตรียมใจเอาไว้บ้าง” “เรื่องอะไรคะ…” “เรื่องลีโอน่ะสิ อย่าลืมว่าลูกไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะจ๊ะที่รัก ตอนนี้อายุอานามมันก็สามสิบกว่า สมควรที่จะมีครอบครัว มีลูกมีเมียเสียที… หรือว่าคุณไม่อยากอุ้มหลาน” เดวิดกล่าวให้ภรรยาได้คิด “เรื่องนั้นฉันไม่เถียงค่ะ แต่ว่า…” คนอยากอุ้มหลานทำหน้าหนักใจขึ้นมาทันที เมื่อสามีเอ่ยมาถึงตรงนี้ “แต่อะไรจ๊ะ…” เดวิดเดินเข้ามาสวมกอดภรรยาจากทางด้านหลัง จมูกโด่งเป็นสันกดลงข้างพวงแก้มเปล่งปลั่งของหล่อน “จั๊กกะจี้ค่ะ… ” เดวิดจูบอย่างเอาจริงเอาจังจนเส้นขนอ่อนๆ ที่ต้นคอของรสรินลุกซู่ แล้วสุดท้ายหล่อนก็หันไปจูบแสดงความรักต่อเขาเช่นกัน ในสายตาของเดวิดนั้นรสรินยังสวยไม่สร่าง ทั้งที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่าสามสิบปี หากแต่ความรักที่มีต่อหล่อนก็ไม่เคยจืดจางหรือเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา นับวันมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าทวี จึงเป็นเรื่องปกติที่สามีภรรยาคู่นี้มักจะแสดงความรักความหวานชื่นต่อกันอย่างเปิดเผย “ฉันอยากได้ลูกสะใภ้ก็ใช่ อยากอุ้มหลานอย่างที่คุณว่าก็จริง แต่บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบนาตาลีเอาเสียเลย รู้สึกไม่ถูกชะตายังไงก็ไม่รู้” พูดแล้วก็ส่ายหน้า แววตาขุ่นข้องของรสรินปรากฏขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในทุกครั้งที่ต้องเอ่ยถึง ‘นาตาลี’ ผู้หญิงรายล่าสุดของลูกชายที่คบหาดูใจกันมาได้พักใหญ่ๆ กับสามีที่อยู่กินกันมานานจนลูกชายโตเป็นหนุ่ม รสรินจึงกล้าเผยความในใจอย่างตรงไปตรงมา ด้วยสังเกตเห็นว่านาตาลีเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวเองมากเกินไป อีกทั้งกิริยามารยาทและรสนิยมการแต่งกายของเธอก็ออกไปทางเปรี้ยวจี๊ดจนบางครั้งก็แลดูโป๊ การพูดจาก็ดูจัดจ้าน จริตจกร้านบางอย่างที่รสรินสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณของมารดาผู้หวงลูกชายก็ทำให้หล่อนออกอาการ ‘คุณแม่ไม่ปลื้ม’ อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามออกไปตรงๆ เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ลีโอลำบากใจ แม้ว่ารสรินแอบตั้งความหวังว่าอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีครอบครัวเสียที แต่ก็ใช่ว่าจะคว้าเอาผู้หญิงที่ไหนก็ได้มาเป็นสะใภ้ของ    โดโนแวน และลีโอเองก็ยังสนุกกับการทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา บางครั้งก็ดูเหมือนผู้ชายรักสนุก ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหนสักที แต่ในรายของนาตาลีดูจะคบหากันนานเป็นพิเศษ หลายครั้งที่รสรินเคยเอ่ยถามลูกชายถึงการมีครอบครัว ด้วยอยากให้เขาคบหาใครสักคนอย่างจริงจัง เพราะอายุอานามของลีโอก็ย่างเข้าสามสิบสี่แล้ว หากแต่ลูกชายก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา โดยให้เหตุผลว่าภาระหน้าที่ภายใต้หน่วยงานที่ U.S. Army Rangers ที่เสี่ยงอันตรายเหมือนแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย ก็ทำให้เขาแทบไม่คิดถึงเรื่องคู่ครอง “แล้วคุณอยากได้สะใภ้แบบไหนล่ะจ๊ะ…”             เดวิดถามบ้าง ทั้งที่ก็พอจะคาดเดาได้ เพราะอยู่กินกันมานานจนล่วงรู้ความคิดหลายๆ อย่างของกันและกัน “ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากได้สะใภ้คนไทยค่ะ” รสรินเฉลยให้รู้ในที่สุด เรื่องนี้เดวิดเองก็รู้อยู่แล้ว ด้วยหลายๆ ครั้งที่นาตาลีแวะมาหาลีโอที่บ้าน รสรินก็มักจะแอบบ่นลับหลังกับเขาอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ชอบกิริยาการพูดจาของนาตาลีที่จัดจ้านจนขาดสัมมาคารวะในบางครั้ง ทั้งที่หล่อนเองก็ได้พยายามแล้ว ด้วยการเปิดใจ ทำใจยอมรับคนรักของลูกชาย ตามเหตุผลที่สามียกมาเอ่ยอ้างว่านาตาลีได้รับการอมรมเลี้ยงดูมาจากโลกตะวันตก ภายใต้สังคมอเมริกันที่มีอัตลักษณ์ในเรื่องของความเสมอภาคและเท่าเทียมกันชัดเจน ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าจะต้องเคารพนับถือกันตามระบบอาวุโสหรือเคร่งครัดในเรื่องสัมมาคารวะแบบสังคมไทย “ผมว่าเราอย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรจะดีกว่าไหม… อย่างที่ผมบอก ลีโอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ครู่ครองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของหัวใจ และเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าลูกเรารักใคร… เราก็ควรจะรักด้วยไม่ใช่หรือ?” เดวิดเอ่ยให้ภรรยาได้คิด “มันก็จริงค่ะ… เอาเป็นว่าฉันจะพยายามทำใจนะคะ” รสรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เดวิดมองภรรยาแล้วก็ยิ้มๆ ด้วยความเข้าใจในหัวอกของคนเป็นแม่ที่รักและแหนหวงลูกชายคนเดียวปานแก้วตาดวงใจ             ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ผับเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านซานฟราสซิสโก ลึกเข้าไปด้านในสุดของห้องสี่เหลี่ยมซึ่งไม่กว้างนัก ภายใต้บรรยากาศของราตรีกาลอันหม่นมัว ถูกย้อมเอาไว้ด้วยแสงสีสลัวๆ จากแสงไฟที่สาดมาจากเวทีขนาดย่อม แลเห็นนักร้องซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาว มีรอยสักรูปเปลวไฟสีแดงอยู่ที่ต้นแขน เขามีชื่อว่าริกกี้ พื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่รัฐเท็กซัสซึ่งเป็นถิ่นฐานคาวบอยเก่าแก่ของอเมริกา   I hear her voice, in the morning hour she calls to me  ฉันได้ยินเสียงเธอเพรียกหาฉันในยามรุ่งสาง Radio reminds me of my home far away  เสียงวิทยุย้ำเตือนให้ฉันคิดถึงบ้านเกิดที่พรากจากมาแสนไกล Driving down the road I get a feeling  ขณะขับรถไปตามถนนฉันรู้สึกได้… That I should have been home yesterday ว่าฉันควรจะกลับบ้านตั้งแต่เมื่อวันวาน               เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั้งผับ ภายหลังจากเสียงเพลง Take me home, country road  ในท่อนสุดท้ายของ จอห์น เดนเวอร์ เจ้าพ่อเพลงคันทรีชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับ ซึ่งริกกี้สามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงของเขาออกมาได้อย่างละมุนละไม กังวานเสียงไพเราะน่าฟัง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งกระจายอยู่ภายในร้าน นอกจากเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มมีสเน่ห์ของริกกี้และการพูดจาเอนเตอร์เทนลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ก็ทำให้มีลูกค้าเป็นแฟนประจำเนืองแน่นทุกคืน แทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือในวันที่มีคิวของริกกี้ขึ้นร้องเพลง เมื่อก้าวลงจากเวที ขณะกำลังจะเดินเข้าไปหลังร้าน บังเอิญสายตาของนักร้องหนุ่มเหลือบแลไปเห็นร่างรัดรึงของนาตาลี เธอกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว ในมุมแคบๆ ยิ่งทำให้ดูเปลี่ยวเหงา และกำลังมองมาที่เขาพอดี “สวัสดีค่ะ…” หญิงสาวส่งยิ้มทักทายเขาก่อน เมื่อเห็นริกกี้เดินตรงเข้ามาหา “ดูเหมือนว่าผมเคยเห็นคุณมาก่อน…” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD