ฉัตรพงษ์มองไปยังเครื่องดนตรีที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ทั้งไม่นึกว่าจะไพเราะจนกระทั่งต้องเดินตามหาต้นตอของเสียง
“เจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้เรียกว่าอะไรหรือพัดชา”
“จะเข้ค่ะพี่ฉัตร”
ชายหนุ่มมองสิ่งที่เรียกว่าจะเข้ด้วยความทึ่ง ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เพิ่งได้เห็นของจริงก็คราวนี้
“หญิงเคยฟังท่านอาทรงจะเข้หลายครั้งแล้วตั้งแต่เด็ก ท่านอาทรงดำริจะจับหญิงเล่นหลายครั้งแล้ว แต่หญิงว่ายากก็เลยไม่คิดจะหัด ไม่คิดว่าพัดชาจะเล่นได้และเล่นได้ไพเราะมากด้วยค่ะ” หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลมองเพื่อนใหม่ด้วยสายตาทึ่งแกมชื่นชม ส่วนท่านอาที่คุณหญิงนิ่มเอ่ยถึงคือหม่อมเจ้าอุณาโลม ซึ่งเป็นกนิษฐาของหม่อมเจ้าอลงกตผู้เป็นบิดา
คนถูกชมยิ้มแก้มปริ ไม่มีอาการเขินอายหรือถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย
“เพลงที่เล่นเมื่อกี้ชื่อเพลงอะไรหรือพัดชา พี่ขอฟังอีกสักครั้งได้ไหม” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ
“ชื่อเพลง “นางครวญ” ค่ะ พัดชาจะเล่นให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
พูดจบพัดชาก็ค่อยๆ ขยับกายไปยังจะเข้ที่ตั้งอยู่ ยกมือขึ้นไหว้แล้วหยิบไม้กลมปลายแหลมที่ทำจากงาช้างซึ่งวางอยู่บนจะเข้ขึ้นมาพันกับปลายนิ้วชี้ข้างขวา แล้วก็ลงมือดีด
ไม่นานเสียงกังวานของจะเข้ก็ดังขึ้นเป็นเพลง “นางครวญ” อันแสนไพเราะเพราะพริ้งอีกครั้ง ฉัตรพงษ์รู้สึกขนลุกในความเศร้าของท่วงทำนองเพลง ราวกับได้ยินเสียงของใครมาร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อมองคนเล่นที่ใส่อารมณ์ในการดีดอย่างเต็มเปี่ยมจากนิ้วที่พลิ้วไหวก็ทึ่งนัก
ตอนที่ฟังแบบไม่เห็นคนเล่นก็ว่าเพราะมากแล้ว ครั้นมาฟังตอนเด็กหญิงเล่นให้เห็นจะจะ ยิ่งเพราะกว่า เขาจึงอยากรู้ว่านอกจากจะปีนต้นไม้เก่ง มิหนำซ้ำยังเล่นดนตรีไทยได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งขัดกับบุคลิกแล้ว พัดชายังมีอะไรดีๆ อีกหรือเปล่า
“เพราะมากเลยจ้ะพัดชา”
ชายหนุ่มเอ่ยชมอย่างใจจริง อยากให้เพื่อนสนิทได้มาฟังด้วยนัก เมื่อนึกถึงอีกฝ่ายเขาก็นึกได้ว่าจุดประสงค์ที่ออกมาคืออะไร จึงหันไปทางน้องสาวของเพื่อน
“หญิงนิ่ม เรารีบกลับกันเถอะ ป่านนี้พี่ชายณุของหญิงคงด่าพี่ป่นปี้แล้ว เพราะหายไปทั้งคนตามคนถูกตามเลย ที่สำคัญ ไม่รู้ว่าหม่อมอาถามหาหรือยังนี่สิ”
สีหน้าของเด็กหญิงจากราชนิกุลม่อยลงทันที แต่ก็ต้องจำยอมเมื่อเห็นว่าตัวเองออกมานานโขแล้ว จึงหันไปทางเพื่อนใหม่ที่ชะตาต้องกันก่อนจะบอกเสียงละห้อย
“เดี๋ยวฉันจะหาโอกาสออกมาหาเธอนะพัดชา เธอต้องพาฉันไปช้อนปลาในคลองด้วยนะ”
“ฉันจะรอเธอนะหญิงนิ่ม” เด็กหญิงเจ้าถิ่นรับปากแล้วก็มองตามทั้งคู่ที่ค่อยๆ เดินหายลับไป รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป พลางคิดในใจว่าอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ไวๆ จัง
“อ้าว ทำไมทำหน้าห่อเหี่ยวอย่างนั้นล่ะลูก” อรสาถามยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางของบุตรสาวที่ส่งสายตามองชะเง้อไปยังรั้วกำแพงสูง
“ไม่รู้ว่าหญิงนิ่มจะได้ออกมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะจ๊ะแม่” เด็กหญิงบอกมารดาเสียงอ่อย นัยน์กลมโตดำขลับยังคงมองเข้าไปในรั้วดังกล่าว ราวกับมองทะลุเห็นภายในได้อย่างนั้นแหละ
“โถ พัดชา ลูกเพิ่งจะรู้จักหญิงนิ่มวันนี้เองไม่ใช่หรือจ๊ะ ทำท่าอย่างกับรู้จักกันมานานแสนนานเชียวนะ”
“พัดชารู้สึกอย่างที่แม่บอกจริงๆ จ้ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ทำไมถึงได้สนิทกันง่ายนักก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะเหงา นานๆ จะมีเพื่อนวัยเดียวกันสักคน”
อรสายกมือขึ้นจิ้มหน้าผากบุตรสาวอย่างเอ็นดูระคนหมั่นไส้
“เรื่องไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันน่ะแม่เห็นด้วย แต่ที่บอกว่าเหงาน่ะจริงหรือจ๊ะ เพราะแม่เห็นเราวิ่งตะลอนๆ ไปทั่ว ไม่เคยเห็นจะมีท่าทีเหงาหงอยเลยสักครั้ง แต่ที่สนิทกับหญิงนิ่มง่ายแม่ว่าเป็นเพราะดวงชะตาต้องกันมากกว่า”
“ดวงชะตาต้องกันยังไงหรือจ๊ะแม่” เด็กหญิงเอ่ยถามอย่างสงสัย พลางเงยหน้ารอคำตอบจากมารดาอย่างใจจดใจจ่อ
“ดวงชะตาต้องกันก็หมายถึงลูกกับหญิงนิ่มอาจจะเคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้แค่เจอกันก็รู้สึกรักใคร่สนิทสนม ก็เหมือนคนชะตาไม่ต้องกัน เจอหน้ากันครั้งแรกก็ไม่ถูกชะตา ไม่ชอบหน้ากันแล้วไงจ๊ะ”
คำพูดของมารดาทำให้หัวคิ้วเรียวสวยของเด็กหญิงขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกถึงคุณชายณุพี่ชายของเพื่อนใหม่ขึ้นมา แบบนั้นเรียกว่าชะตาไม่ต้องกันได้หรือเปล่านะ น่าจะใช่!
“คนเราถ้ามีวาสนาต่อกัน ชีวิตก็ต้องมาเกี่ยวข้องโยงใยกันอยู่แล้วจ้ะลูก ไม่ต้องวิตกกังวลหรอก” อรสาพูดย้ำเมื่อเห็นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของลูกสาว
“อ๋อ...จ้ะ พัดชาจะเชื่อแม่”
“เอ ใครหนอเล่นจะเข้ได้เพราะพริ้งเชียว ใช่พัดชาน้องสาวคนเก่งของพี่หรือเปล่าเอ่ย”
เสียงห้าวๆ ที่ดังขึ้นทำให้ดวงหน้าเด็กหญิง เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาทันควันราวกับปลาได้น้ำ ผุดลุกขึ้นกระโดดเข้าไปหาเจ้าของเสียงอย่างกับไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
“พี่เพชร”
หนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งผิวค่อนข้างขาวในชุดเสื้อยืดคอปกสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสีครีม ที่ถูกเด็กหญิงวิ่งโถมเข้าใส่ถึงกับเซไปข้างหลัง โชคดีที่ชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังมาคว้าตัวไว้ได้ทัน