“ยายน้อง วิ่งมาได้เกือบจะพากันล้มคว่ำไปทั้งคู่แล้วไหมล่ะ” พัชระเอ่ยปากบ่น ทว่าดวงหน้านั้นยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นยีศีรษะน้องสาวคนเดียวอย่างรักใคร่เอ็นดู
“ก็น้องคิดถึงพี่เพชรนี่จ๊ะ ทั้งวันเพิ่งจะเห็นหน้า” เด็กหญิงพูดพลางยิ้มจนตาหยี ผละจากพี่ชายแล้วโผเข้าหาผู้เป็นบิดาที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ป๊าจ๋าทำไมถึงเพิ่งมา แม่ทำข้าวต้มผัดไว้จนจะเย็นหมดแล้วนะจ๊ะ”
วิศาลยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวคนเดียว “นั่นสิ ป๊าก็ว่ากลิ่นอะไรหนอลอยตามลมไปจนถึงโรงสีโน่นเลย ที่แท้ก็กลิ่นข้าวต้มผัดของแม่อรนี่เอง เลยต้องพากันเดินตามกลิ่นมานี่แหละ”
เจ้าของคำพูดหยอกเย้าเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงกำยำ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้มกับกางเกงสีน้ำตาล ผิวค่อนข้างคล้ำแดด ใบหน้าซึ่งมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่ามีเชื้อสายจีน
“ป๊ากับพี่เพชรนั่งก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวพัดชาไปเอาน้ำฝนเย็นๆ มาให้ดื่ม”
เด็กหญิงตัวสูงพูดจบก็เดินตรงไปยังระเบียงอีกด้าน ใช้ขันเงินตักน้ำจากตุ่มที่รองน้ำฝนไว้ แล้วเดินมาส่งให้ผู้เป็นบิดาที่นั่งอยู่บนพื้นใกล้ๆ กับมารดา ส่วนพัชระนั้นล้มตัวนอนเอกเขนกอยู่ใกล้ๆ
“ขอบใจมากลูก น้ำอะไรก็กินแล้วไม่ชื่นใจเหมือนน้ำฝนบ้านเรา”
วิศาลพูดหลังจากดื่มน้ำฝนเย็นชื่นใจไปเกือบครึ่งขันแล้วก็ส่งที่เหลือให้บุตรชาย ซึ่งลุกขึ้นนั่งและรับไปดื่มอย่างกระหายจนหมดขัน แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อโดยใช้มือสองข้างรองศีรษะไว้
“สองพ่อลูกนี่ทำไมรีบดื่มน้ำแบบนี้ เดี๋ยวก็จุกตายกันพอดี” อรสาบ่นพึมพำ
“เพชรกับป๊าอุตส่าห์ไม่ดื่มน้ำที่โรงสีนะครับแม่ กะมาดื่มน้ำฝนที่บ้านเราอย่างเดียวเลย” ชายหนุ่มวัยสิบแปดบอกผู้เป็นมารดายิ้มๆ แล้วจึงหันไปทางน้องสาว “แล้ววันนี้นึกยังไงถึงเอาจะเข้มาเล่นได้ล่ะจ๊ะ ไหนเคยบอกพี่ว่าเล่นแล้วทำให้คิดถึงคุณน้าสิริมา”
พัดชายังไม่ทันได้ตอบ ผู้เป็นแม่ก็ตอบแทน
“จะนึกยังไงล่ะ ก็อยากเล่นอวดเพื่อนใหม่น่ะสิตาเพชร” พูดพลางมองบุตรสาวด้วยสายตาภาคภูมิใจ เพราะแม้อีกฝ่ายดูเหมือนจะเล่นซนไปวันๆ แต่ก็มีความสามารถที่ใครอาจคาดไม่ถึง
“เพื่อนใหม่? ใช่ผู้ชายในชุดเครื่องแบบสีขาวกับเด็กผู้หญิงแต่งตัวสวยๆ ที่เพิ่งเดินออกไปจากบ้านเราเมื่อกี้หรือเปล่าครับแม่” เพราะตอนเดินเข้ามาพัชระเหลือบเห็นสองคนที่พูดถึงพอดี
“ใช่จ้ะพี่เพชร หญิงนิ่ม เพื่อนใหม่ของพัดชากับพี่ฉัตร”
คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายของพัชระขมวดเข้าหากัน ชื่อของพี่ฉัตรที่น้องสาวพูดถึงไม่สะดุดหูเท่าชื่อของหญิงนิ่ม “ใครกันหญิงนิ่ม ชื่ออย่างกับเป็นพวกเจ้า แล้วมาเป็นเพื่อนกับเราได้อย่างไรหืมยายน้อง”
เด็กหญิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบครบทุกซี่เมื่อพูดถึงเพื่อนใหม่
“หญิงนิ่มเป็นเจ้าจริงๆ แหละจ้ะพี่เพชร ชื่อหม่อมราชวงศ์ฉัตรกมล บ้านอยู่ในรั้วกำแพงสูงโน่นไงจ๊ะ”
จากนั้นพัดชาก็เล่าที่มาที่ไปของเรื่องที่กลายเป็นเพื่อนกันให้ผู้เป็นบิดากับพี่ชายฟัง และตบท้ายว่า
“แม่บอกว่าน้องกับหญิงนิ่มคงเคยเป็นเพื่อนรักกันมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้แค่เห็นกันครั้งแรกก็ชะตาต้องกัน เหมือนกับรู้จักกันมานานทั้งที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกเองจ้ะ”
คนเป็นพี่ชายนอนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว
“หญิงนิ่มอะไรนั่นเป็นลูกเจ้าลูกนาย จะอยากมาคบกับเราจริงจังเหรอ คนในรั้วกำแพงสูงนั่นคงไม่อยากคบค้าสมาคมกับใครหรอกกระมัง ไม่งั้นจะทำรั้วใหม่จนสูงลิ่วอย่างนั้นเหรอ ตอนมิสเตอร์เจมส์กับคุณน้าสิริมาอยู่ ไม่เห็นต้องทำรั้วอย่างนี้เลย”
คนเป็นน้องส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน “พี่เพชรมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า หญิงนิ่มไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกจ้ะ”
“เราจะไปรู้อะไรล่ะยายพัดชา อย่างที่ป้าเคยบอก พวกคนในกำแพงสูงน่ะเย่อหยิ่งจะตาย ชอบมองเราอย่างเหยียดหยามดูถูก ป้าเคยเจอมาด้วยตัวเอง เราอย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นน่าจะดีกว่า อยู่แบบเราๆ นั่นแหละดีแล้ว”
นงนุชที่เพิ่งเดินเข้ามา ในอ้อมแขนมีสายบัวซึ่งถูกห่อด้วยใบตองหอบใหญ่พูดด้วยเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะวางสิ่งที่ถือลงบนพื้น
“คนเราไม่เหมือนกันทุกคนหรอกจ้ะป้านุช ไม่งั้นจะมีทั้งคนดีกับคนไม่ดีหรือจ๊ะ พัดชามั่นใจว่าเพื่อนใหม่ของพัดชาไม่เป็นอย่างที่พี่เพชรหรือป้านุชว่าอย่างแน่นอน”
เด็กหญิงเชิดหน้าบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ จนวิศาลที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ต้องพูดขัดจังหวะขึ้นมา
“ป๊าว่าเราอย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาเถียงกันเลย เอาข้าวต้มผัดฝีมือแม่มาให้ป๊ากับพี่เพชรกินไม่ดีกว่าหรือลูก”
“ได้จ้ะป๊า” พัดชารับคำแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบข้าวต้มผัดจากในถาด ก่อนจะยื่นให้บิดากับพี่ชายที่รีบลุกขึ้นนั่ง ทั้งคู่กินอย่างเอร็ดอร่อย สร้างรอยยิ้มดีใจให้คนทำเป็นอันมาก
“แล้ววันนี้แม่อรไม่เอาไปแจกชาวบ้านแถวนี้อีกหรือจ๊ะ”
คนเป็นสามีถามภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใครต่อใครอาจมองว่าเขาเป็นพ่อค้าที่เขี้ยวลากดิน คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่นั่นคือเวลาอยู่นอกบ้าน เพราะในบ้านสิ่งที่สำคัญสุดคือครอบครัวของเขาเท่านั้น
“ว่าจะเอาไปให้บ้านพี่เอิบกับบ้านพี่เชิดจ้ะเฮีย ครั้งนี้อรทำไม่เยอะมาก ไว้คราวหน้าค่อยเอาไปแจกใหม่ แล้วตอนนี้ที่โรงสีเป็นไงบ้างจ๊ะเฮีย”
เจ้าของโรงสีนั่งเหยียดแข้งเหยียดขาด้วยความเมื่อยขบ โดยมีบุตรสาวช่วยบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ จนคนเป็นพ่อต้องยกมือขึ้นยีศีรษะเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปตอบคำถาม โดยนงนุชที่ละมือจากการเด็ดสายบัวตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความสนใจ