ตำพริกกระเทียมจนละเอียด เทน้ำปลาใส่ส้มจี๊ดหรือส้มเปรี้ยวลงไปคนให้เข้ากันลองแตะมาชิมดู รสเปรี้ยวยังไปไม่สุดแต่กลิ่นหอมใช้ได้ จึงเติมน้ำส้มสายชูลงไปอีกเล็กน้อย คราวนี้ชิมใหม่พบว่าอร่อยต้องซู้ดปากว่าแซ่บ จนอาหมิงต้องมองหน้าว่านางเป็นอันใดอีกแล้ว
“น้ำจิ้มพร้อม คราวนี้ก็ถึงเวลาเผาพวกเจ้าแล้ว ฮะฮ่าฮ่า”
เห็นภรรยาพูดกับกุ้งและปูในถัง ผู้เป็นสามีกล่าวคำใดไม่ออกและไม่คิดจะกล่าว เขาเกรงว่านางจะจับตนขึ้นเตาเผาไปพร้อมกัน
“...” ทำไมนางถึงเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกขณะ
ฉ่า! ปุ๊ ๆ! เสียงน้ำที่หยดลงบนเตา หลังจากย่างเนื้อสัตว์น้ำจนเหลืองและทยอยสุก อาหมิงได้แต่มองตามการกระทำของภรรยาไม่วางตา ดูนางพลิกย่างไปมาอย่างชำนาญ เหนืออื่นใดที่ทำให้เขาไม่คิดจะลุกไปไหนก็สีและกลิ่นที่หอมของมัน ปกติไม่ต้มก็ผัดวันนี้ได้เห็นเอามาย่างไม่คิดว่าจะหอมยั่วน้ำลายขนาดนี้
“สามี เรามีข้าวหรือยัง ข้ามัวแต่ตื่นเต้นกับกุ้งเผาปูเผา ลืมเรื่องหุงข้าวไปสนิท”
เจ้าพวกนี้แม้จะตัวใหญ่และจับมาเยอะ แต่ถ้าไม่กินข้าวน่ากลัวกลางดึกจะหิวอีก และปกติชีวิตก่อนมักจะกินข้าวตามของทุกอย่างเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็อ้วนยาก เพราะทำงานหนักต้องใช้แรงกายแรงใจเยอะ
“วางใจ ข้าหุงเอาไว้มาก เดิมยังจะไปซื้อของมาเซ่นเจ้าที่หน้าหลุมศพ”
“ไม่ต้องเซ่นหน้าหลุมหรอก เซ่นตอนยืนหายใจอยู่ก็ได้ ข้าหิวจนจะกินหมีได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”
“ก็ดี เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะซื้อเนื้อหมีมาให้เจ้ากิน”
“ประชด! ข้าไม่กินเนื้อหมี เอาเนื้ออย่างอื่นมาแล้วกัน”
“ได้ แล้วนั่นสุกรึยัง ข้าหิวข้าว”
“ใกล้แล้ว เช่นนั้นท่านไปตักข้าวรอได้เลย”
“...” สามีเลิกคิ้วจ้องเมียเขม็ง นางชักกล้าใช้เขาตักข้าว
“ก็หิวไม่ใช่รึไง อยากกินไว ๆ ก็ต้องช่วยกันสิ นั่งรอแบบนี้จะได้กินตอนไหนเล่า”
“เหอะ! คำก็ใช้ สองคำก็ใช้ ตกลงข้าเป็นสามีเจ้าหรือเป็นบ่าวกันแน่”
“จะให้พูดมั้ยล่ะ กลางวันเป็นบ่าวกลางคืนเป็นสามี”
“เสี่ยวม่าน!”
“เจ้าคะ เจ้าขา จ๊ะจ๋า ท่านพี่”
“ฮึ่ย!”
อาหมิงสะบัดหน้าหันหลังให้ภรรยา เขารู้สึกปวดขมับเวลาถูกนางกวนประสาท แต่ก็รู้สึกชอบที่นางสดใส ไม่เอาแต่จ้องลากเขาเข้าห้องเหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มบาง ๆ จึงผุดขึ้นบนใบหน้าโดยที่เสี่ยวม่านไม่เห็น
“ซู้ด! อ่า”
“ซู้ด..! สุดยอด”
“เป็นอย่างไร รสชาติของพวกมันถูกปากมากใช่มั้ย”
“ใช่ ยิ่งได้กินกับน้ำจิ้มที่เจ้าทำ มันเผ็ดเปรี้ยวเค็มอร่อย วันนี้ข้ากินข้าวได้มากกว่าทุกวันเชียว”
“ไม่ใช่แค่กุ้งกับปูนะที่เผาแล้วอร่อย ปลาตัวโตทาเกลือหนา ๆ ย่างไฟจนสุก กินคู่กับผักสดและน้ำจิ้ม รับรองว่าอร่อยไม่แพ้กัน”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ตอนพัก ข้าจะกลับมากินข้าวที่บ้าน”
“แต่ปัญหาคือ.”
“เรื่องก่อไฟวางใจได้ เดียวข้าจะสอนวิธีใช้ตะบันไฟให้”
“ไม่ได้ถึงก่อไฟ แต่หมายถึงจับปลาตัวใหญ่ต่างหาก เจ้าพวกนี้มันอยู่ริมฝั่งบริเวณน้ำตื้น ข้าจึงจับได้ง่าย แต่ปลาไม่เหมือนกันพวกนั้นมันอยู่ในน้ำและว่ายเร็วมาก คิดว่าถั่วงอกหัวโตเช่นข้าจะมีปัญญาเอามันขึ้นมาจากน้ำหรือ”
“อืม เช่นนั้นตอนอาบน้ำข้าจะจับมาให้เอง จะเอากี่ตัวเล่า”
“หลายตัวหน่อย นอกจากจะเผากินวันพรุ่งนี้ ยังเอาไปทำอย่างอื่นได้ แล่กลางผ่าครึ่งทาเกลือพอเค็มแล้วตากไว้ทอดกินก็อร่อยนะ”
“เดี๋ยวนี้รู้จักหาของกินแล้ว แต่ก่อนเอาอะไรมาให้ล้วนส่ายหน้า”
“ข้าคนนั้นกับข้าตอนนี้ไม่เหมือนกัน เจ้าสรรหามาเถอะ ขอแค่มันอร่อยข้าล้วนกินทั้งนั้น แต่ว่าบางอย่างข้าก็ไม่กินนะ”
ถึงไม่อยากจะเลือกกิน แต่บางอย่างมันทำใจกลืนไม่ลงจริง ๆ อย่างเช่นเครื่องในหมูเครื่องในวัว พวกนั้นรู้หรอกว่ามันอร่อย แต่คนไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ชอบอยู่ดี
“ได้ อันไหนไม่กินก็บอกข้าจะได้ไม่สิ้นเปลืองซื้อมา ตัวข้ามีอะไรล้วนกินได้ทั้งหมด”
พ่อคุณทูนหัว คนอะไรจะแสนดีขนาดนี้ นับว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่ว่าง่ายคุยรู้เรื่องไม่ปลิ้นปล้อนกะล่อนหรือบ้าอำนาจ เห็นเขาเป็นเช่นนี้รู้สึกว่าระบบสุดจะน่ารัก ที่มอบเขามาเป็นสามี
“อะแฮ่มด้วยความยินดี”
“หือ?” เสียงระบบรึเปล่า ได้ยินแว่ว ๆ ไหนบอกปิดการดำเนินงานเพื่อล้างไวรัสกับปรับปรุงข้อมูลอยู่ไง
“มีอะไรหรือ”
“เปล่า แค่หูฝาด”
สองคนจึงตั้งหน้าตั้งใจแกะปูแกะกุ้งกินกับข้าวอย่างอร่อย อืมมันแซ่บที่น้ำจิ้มด้วยสินะ ซู้ด...!
นั่งรอย่อยสักพัก อาหมิงจึงหอบเสื้อผ้าไปอาบน้ำที่ลำคลอง เพราะที่บ้านไม่ได้ขุดบ่อน้ำ เนื่องจากบ้านของเขาอยู่ใกล้แหล่งมาก การจ้างคนมาขุดจึงรู้สึกว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ในบ้านจะมีตุ่มใส่น้ำเพื่อดื่มกินและใช้สอย แต่ถ้าจะอาบน้ำซักผ้าต้องไปที่คลอง
“ฮาร้อนจัง อุตส่าห์อาบน้ำแล้วแท้ ๆ แต่พอเข้าครัวตัวก็เหม็นเหงื่อ สงสัยต้องเดินไปอาบอีกรอบ”
เมื่อเห็นสามีกลับมาพร้อมหิ้วถังใส่ปลามาด้วย เสี่ยวม่านที่รอเขาอยู่จึงหอบเสื้อผ้าจะไปอาบบ้าง
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
“ไปอาบน้ำนะสิ ข้าเหม็นกลิ่นควันและก็เหนียวเหนอะร้อนไปหมด”
“แต่ตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้ว ไปอาบที่ข้างบ้านเถอะ”
“ไม่เอา น้ำแค่นั้นมันไม่พอหรอก แล้วอีกอย่างข้าขี้เกียจหาบน้ำมาใส่ แขนยิ่งไม่มีแรง”
“ตกลงเจ้าจะอาบหรือเจ้าจะแช่น้ำกัน แค่หิ้วน้ำยังเกียจคร้าน ชีวิตนี้ไม่คิดทำงานออกแรงเลยรึอย่างไร”
ไยเขาจะไม่รู้ว่าที่นางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ เพื่อให้เขาเป็นคนตักน้ำแทนนาง นับเวลาตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจนเดี๋ยวนี้นางหาเรื่องใช้เขาตั้งกี่หน
“อือ กำลังคิดอยู่ ไว้ข้ามีเงินมาก ๆ เมื่อใด ข้าจะหาสาวใช้และบ่าวมาทำงานแทน ส่วนตัวข้าจะนั่งชี้นิ้วสั่ง”
“เจ้า! เฮ้รีบไปรีบมาเล่า มืดแล้วจะเหยียบงู”
ว่าจะสั่งสอนนางต่ออีกหน่อย ตัวคนได้หอบเสื้อผ้าเดินออกนอกประตูรั้วไปแล้ว จึงอดตะโกนสั่งความไล่หลังเสียมิได้
“ไม่นานหรอก ไม่ต้องคิดถึงก็ได้”
“ข้าไม่ได้คิดถึง แค่ขี้เกียจทำศพเจ้าอีกรอบ!”
ตายแล้วฟื้นครั้งเดียวไม่เท่าไร แต่หากตายทีไรก็ฟื้นคืนมาตลอดเขาคงทนไม่ไหวแน่
เข้าบ้านเอาชุดที่ซักไปตากแล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง อาหมิงถึงกับขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมบางอย่างที่คล้ายกลิ่นกายของภรรยา เขาเดินดมตามกลิ่นนั้นไปและรู้สึกว่ากลิ่นจะออกมาจากตู้เสื้อผ้าของนาง ด้วยความสงสัยจึงเปิดออกดู
“ได้อย่างไรกัน นี่นางไปเอาเสื้อผ้าเหล่านี้มาจากไหน จะว่าออกไปซื้อมาคงไม่ใช่”
มองชุดที่เปลี่ยนไปของภรรยา อาหมิงถึงกลับมึนงง จึงหยิบออกมาคลี่ดู
“ผ้าพวกนี้! นางทำได้อย่างไรกัน”
หลังจากพลิกดูอย่างละเอียดจึงพบว่ามันเป็นชุดเดิมที่มีอยู่ นำไปย้อมและตัดเย็บใหม่ สีไม่ได้ฉูดฉาดเหมือนตอนแรก แต่ดูสบายตาอีกทั้งยังไม่ดูหนาเตอะรุ่มร่าม พับเก็บคืนที่เดิมแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ก็ยังดี ที่รู้จักเป็นผู้เป็นคน”
แต่ก่อนเห็นเมียแต่งตัวเหมือนนกแก้ว แล้วใช่ว่าเขาจะชอบใจ แค่หมดคำจะกล่าวออกมา
“นานป่านนี้ทำไมนางจึงยังไม่กลับมาอีก ไม่ใช่เป็นลมจมน้ำตายไปหรอกนะ”
อาหมิงที่นั่งอ่านตำราจบไปหลายบท เหลือบมองรอบ ๆ พบว่าฟ้าได้มืดสนิทแต่ไร้เงาของภรรยา จึงคิดว่าจะลุกไปตามนาง แต่เมื่อเดินออกไปหน้าประตูรั้วได้เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกำลังเดินมาเสียก่อน จึงหยุดมองเพราะคิดว่าน่าจะเป็นนาง แต่พอนางใกล้เข้ามาทำเขาตกใจจนต้องร้องตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ยผีหลอก!”
“ผีเผลอที่ไหน ข้าเอง”
“แล้วทำไมจึงหน้าขาวเหมือนคนตายเยี่ยงนี้เล่า”
“เขาเรียกว่าพอกหน้าต่างหาก นี่คือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ข้าเห็นว่ามันมืดเลยไม่ทันได้ล้างออกเพราะยังต้องรออีกนิด กะว่าเมื่อเดินถึงบ้าน จะได้เวลาล้างออกทันที”
“แล้วเจ้าไปเอาของเช่นนี้มาจากไหน”
“ก็หามาบดมาทำเองนะสิ ใบไม้ดอกไม้แถวนี้ อันไหนที่ข้าคิดว่าดีล้วนเอามาทำหมด เจ้าจะได้เลิกบอกว่าข้าน่าเกลียดเสียที”
“กลับมาก็ดี ไปล้างหน้าล้างตาเสีย พอกจนขาวขนาดนี้ข้านึกว่าอยู่กับผีเสียอีก”
“เชอะ! ถ้าข้าสวยขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่ามาสะกิดข้านะ”
“ฮาฮาฮา! เสี่ยวม่าน เจ้ายังคิดว่าลิงจะงามเหมือนนกยูงได้ด้วยหรือ”
นี่เมียเขากลายเป็นคนที่หลงตัวเองตั้งแต่เมื่อใด ดูเหมือนนางจะเพ้อไปไกลเหลือเกิน
“ฮึ่ย! เจ้าคอยดูนะ ใบหน้านี้จะต้องสวยขึ้น หน้าอกที่แบนราบจะต้องโตจนล้นมือ สะโพกข้าจะกลมแน่นเหมือนซาลาเปาน่าขย้ำ เอวจะคอดจนกำได้ ผิวจะขาวกระจ่างไม่ดำด่าง และข้าจะเป็นคนที่สวยที่สุดในหมู่บ้านนี้ รอดูต่อไปเถอะ” ใจก็อยากจะบอกว่างามเลิศในปฐพีแต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหมเอาเป็นสวยสุดในหมู่บ้านไปก่อน
เสี่ยวม่านมองค้อนเขา แล้วสะบัดหน้าเดินเข้าข้างในอย่างหงุดหงิด ฟังเขาสิ พูดจาไม่รู้จักเอาใจคนบ้างเลย ชมกันสักคำก็ไม่มี
“ยังไม่ทันได้หลับ นางก็ฝันเสียแล้ว”
อาหมิงหัวเราะขบขันให้กับความคิดของนาง อันใดคือสวยที่สุด แค่เจ้าดูดีขึ้นข้าก็สบายใจเวลาที่มองแล้ว