เสี่ยวม่านนั่งมองเงินที่แสดงผลอยู่เบื้องหน้า หากคนอื่นมองมาจะเห็นว่านางนั่งเหม่อ เพราะจอแสดงผลในบัญชีจะมีเพียงนางที่มองเห็นมัน
“เงินห้าตำลึงของที่นี่ หากเทียบกับโลกนั้นมันจะได้เท่าไหร่กันนะ”
“คิดแบบง่าย ๆ หนึ่งเหวินหรือหนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งบาทของที่คุณจากมา”
“แล้วหนึ่งตำลึงนี่มันได้กี่อีแปะล่ะ”
“ระบบถอนหายใจแป๊บ”
“เท่ากับหนึ่งพันอีแปะ หรือหนึ่งพันบาท แต่สิ่งของในยุคสมัยนี้ เว้นของฟุ่มเฟือย จะมีราคาถูก อย่างข้าวเปลือกหนึ่งชั่งหรือห้าร้อยกรัม จะอยู่ที่สามอีแปะ แต่ถ้าเป็นข้าวสารจะอยู่ที่เจ็ดถึงสิบอีแปะ ไม่ก็อาจสูงถึงยี่สิบอีแปะ หากมีการใส่สรรพคุณอันน่าเหลือเชื่อลงไป อย่างเป็นข้าวที่กินแล้วโชคดี กินแล้วรวยสวยได้สามีหล่อเป็นต้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณภาพและความพอใจของคนขาย”
“ตอบได้โดนใจมากเลยระบบ”
“ขอบคุณ”
“มีเงินอยู่ห้าตำลึงถือว่ามากของสมัยนี้ ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปสินะ อืม อืม อยากออกไปสูดบรรยากาศจัง แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากไปตอนที่ยังไม่สวย เอ่อขอถามอีกนิดนะเจ้าคะระบบ ผู้ถูกเลือกสามารถทำหรือห้ามทำอะไรบ้าง”
“ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นสร้างฮาเร็ม จะต้องรักและซื่อสัตย์ต่อสามี แต่สิ่งต้องห้ามทำร้ายแรงคือ อย่าเปิดเผยทุกอย่างเกี่ยวกับระบบรวมถึงที่มาของรางวัลที่ได้รับ หากฝ่าฝืน เตรียมกลายเป็นปุ๋ยได้เลย คุณจะไม่ได้รับการไต่สวน หรือยื่นอุทธรณ์ และไม่ต้องร้องขอทนาย มีแต่พิพากษาลงอาญาเท่านั้น”
“โห เขียนข้อกฎหมายเองด้วย ศาลเตี้ยนะเรา”
“อยากลองโดนศาลเตี้ยตัดสินโทษไหม”
“ไม่เอา! เค้าขอโทษ”
เพราะไม่รู้จะไปไหน แม้จะมีแผนที่รอบหมู่บ้านก็ตาม แต่คนที่ลืมตาตื่นมาก็ทำงาน ให้อยู่เฉยคงทำไม่ได้ จึงลุกขึ้นมาเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน ขนผ้าหอบเครื่องนอนที่ซักได้ซัก ที่ซักไม่ได้ตากแดด รวมถึงเสื้อผ้าของสามี เอาไปซักน้ำยาและปรับผ้านุ่มใหม่ทั้งหมด
แม้เขาจะขยันซักและไม่เคยถอดหมกไว้ แต่การจุ่มแค่น้ำเปล่าทำให้ผ้าแข็งและมีกลิ่นติด เดินไปเดินกลับจากบ้านกับลำคลองอยู่ครึ่งวันถึงเสร็จ
วันนี้แค่ทำความสะอาดและเก็บของไม่จำเป็นออกมากองไว้ข้างบ้าน ทำแล้วค่อยสบายตาขึ้นมา แต่ยังขัดใจกับห้องครัวและห้องสุขา อยากให้เป็นแบบใหม่จะได้ทำอะไรสะดวก
“ผ้าขาดขนาดนี้ทำไมไม่บอกนะ จะได้เย็บให้”
หลังจากผ้าแห้งแล้วจึงเก็บมาพับและได้เห็นว่าชุดเสื้อผ้าของสามี มีรอยขาดชำรุดหลายจุด จึงสนเข็มเย็บซ่อมให้เขา ด้วยฝีมือของช่างเย็บผ้าแน่นอนว่าซ่อมจนไม่เห็นว่าเคยมีรอยขาดมาก่อน
“เสื้อผ้างานบ้านก็สะสางจัดการเรียบร้อย ทีนี้ก็เหลือเล่นบทนักสำรวจ อยากรู้จังว่าในป่ามันจะมีอะไรบ้าง ลานบ้านมันโล่งเกินไปอยากมีสวนสวย ๆ ให้นั่งมองกับเขาบ้าง เข้าป่าดีกว่า”
เพราะอยากมีสวนสวยแต่ไม่รู้ว่าที่ไหนเขาขายต้นไม้หรืออุปกรณ์ตกแต่ง และต่อให้มีก็ไม่แน่ว่าจะขนมาส่ง มันไม่เหมือนยุคที่ตนจากมา แค่ใช้เงินปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลาย เมื่อไม่มีขายก็ต้องหาเอง
“ทำไมไม่มีต้นไม้ดอกไม้บ้างเลยนะ”
เดินเข้าป่ามาสักพักยังไม่เห็นอะไรที่พอจะนำกลับไปได้ นอกจากต้นไม้ใหญ่น้อย ไม่มีกล้วยไม้หรือดอกหญ้าสวย ๆ สักต้นเดียว
“เฮ้อ! ถ้าเก็บเอากรวดในลำคลองแต่ไม่มีต้นไม้ มันจะใช้ได้มั้ยนะ สวนสวยของข้า”
ขณะเดินวนหาดูอะไรไปเรื่อยหูพลันได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่คุ้นเคย ด้วยความอยากรู้ว่าใช่อย่างที่คิดรึไม่ สองขาจึงเดินย่องไปตามทิศทางนั้น
“อื้อส์! นั่นแหละดี”
“อ่าส์! ตรงนั้น”
“อิ๊ อิ๊ เร็วอีก!”
เสี่ยวม่านหลบหลังต้นไม้ ชะโงกหน้าแอบดูชายหญิงคู่หนึ่งทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันอย่างดุเดือด เห็นแบบนั้นนางเสียดายที่ไม่ให้สามีกลับมากินข้าวบ้าน จะได้ซ้ำให้เขา จะว่าไปยังไม่เคยโดนของจริงกับใครเลยนะ
“ไม่ไหว ไปดีกว่า” อยู่ไปก็รังแต่จะเลื้อยเพราะมันซาบซ่าน จึงหันหลังกลับ
“จะว่าไปสองคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ นะ สงสัยจะชวนกันมาเปลี่ยนบรรยากาศ”
นางคิดเอาเองว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่เข้ามาหาของป่าแล้วเกิดมีอารมณ์ ไม่ได้เอะใจว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ผัวตัวเมียกันจริง ๆ แต่นัดกันมาแอบแซ่บ ถึงจะจำได้ด้วยนิสัยของเสี่ยวม่านก็คงไม่ยุ่งไม่สนใจ หากไม่มาวุ่นวายกับตนก่อน
ตอนออกจากป่ามาอีกทางยังพอดวงดี เจอเห็ดกลุ่มใหญ่จึงเก็บติดมือมาด้วย ระบบได้บอกว่าเห็ดชนิดนี้สามารถกินได้ ขายดี จึงคิดจะนำไปทำอาหาร ระหว่างทางได้พบกับนางเจินเข้า อีกฝ่ายเห็นเสี่ยวม่านแล้วรู้สึกไม่พอใจ จึงพุ่งเข้ามาหาเรื่อง
“ว้ายแหก!” แต่พุ่งไม่ดูหรือเขาหลบทันก็ไม่รู้ จากที่คิดจะชนคนผอมให้ล้ม นางเจินกลับเป็นฝ่ายร่วงกระแทกพื้นเสียเอง
“อ้าว! ทำไมลงไปนั่งอยู่ตรงนั้น”
เมื่อครู่เสี่ยวม่าน รู้สึกเหมือนจะลืมอะไรบางอย่างจึงหันหลัง ว่าจะย้อนไปดู แต่ได้ยินเสียงร้อง พอหันกลับมาก็เห็นสตรีอายุมากกว่าเจ้าของร่างนั่งกองที่พื้น
“นี่เจ้า”
“อะไร?”
“เปล่า ข้าสะดุด เจ้าช่วยพยุงข้าลุกสิ”
“แค่สะดุดล้มนิดเดียวต้องให้พยุงด้วยหรือ แล้วไม่ดูตัวเจ้ากับตัวข้าบาง เจ้าสมบูรณ์ขนาดนั้น แต่ข้าผอมแห้งเช่นนี้ จะพยุงไหวได้อย่างไร หากลุกไม่ขึ้นเดี๋ยวจะไปตามคนมาช่วยให้”
“ไม่ต้อง! ข้าลุกเองก็ได้”
นางเจินเอ่ยอย่างขัดใจ พุ่งใส่ก็ไม่ได้ ว่าจะแกล้งกระชากให้ล้มก็ไม่ยอมเข้ามาพยุงอีก ขืนถ้าแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปว่าต้องการทำร้ายอีกฝ่าย ตนจะถูกผู้อาวุโสลงโทษ ทำได้เพียงกัดฟันลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปเสีย
“หึ! คิดว่าเจ้าจะโง่เสียอีก”
“พูดกับข้าหรือ?” ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้กำลังพูดเรื่องอะไร และไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน
“ดูเจ้าจะลืมเลือนทุกอย่างตามที่ผู้อาวุโสประกาศจริง ๆ สินะ ถึงจำไม่ได้ว่านางเจินชิงชังเจ้ามากเพียงใด”
“แล้วทำไมนางต้องชังข้าด้วย”
“จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ แต่อย่าประมาทเล่า ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะเจ็บตัวเพราะนางได้” ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับสามีเอ่ยเตือนนาง ก่อนเขาจะเดินผ่านไป
“เดี๋ยวสิ ข้าถามอะไรหน่อย” เสี่ยวม่านรีบหยุดเขาไว้
ไม่ใช่เพราะอยากถามตามที่พูด แต่เพราะทิศทางที่เขาจะไปเป็นทางเดียวกับที่สองคนนั้นกำลังเขย่ากันอยู่ เกรงว่าจะไปรบกวนคนโดยใช่เหตุ สวรรค์ได้ล่มกันพอดี
“ว่าอย่างไร”
“แถวนี้.. มีตลาดหรือไม่ ข้าอยากไปเดินเล่น”
“ย่อมมี แต่จะอยู่คนละด้านกับบ้านของเจ้า แค่เดินตามทางไปจนสุดจะเห็นตลาดของหมู่บ้าน แต่ว่าบ่ายแล้วคงไม่มีของให้ขายมากนัก”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณและขอตัวก่อน”
ต้าหู่พยักหน้าให้แล้วจึงหันเดินไปอีกทาง เสี่ยวม่านเห็นว่าเขาเบี่ยงทิศไปเส้นทางอื่นจึงไม่ถามอะไรอีก มุ่งหน้าเดินกลับบ้านทันที
“ภารกิจพิเศษ ให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องทำการบ้านแก่ผู้อื่น”
“เอ๊ะ! อะไรยังไง งง?”
“ช่วยด้วย! หมาหลุด จับไก่ให้ที”
“หา! หมาหลุดแต่ให้จับไก่หรือ”
“อ้าวอย่ายืนเฉยสิ จับไก่ให้ข้าเร็ว ไก่มันจะจิกหัวหมาแล้ว”
ตอนฟังว่างงแล้ว แต่ตอนเห็นหมาน้อยตัวสูงเท่าหัวเข่า กำลังวิ่งหนีแม่ไก่เอาเป็นเอาตายก็พลันเข้าใจ ที่แท้เจ้าลูกสุนัขคงจะไปเล่นซุกซนทำให้แม่ไก่โกรธ มันถึงได้กระพือปีกไล่ตีแบบนี้
หมับ! กระต๊าก ๆ! พรึบ
“หยุดดิ้น ถ้าเจ้าไม่อยากลงไปอยู่ในหม้อ ข้ายิ่งอยากกินไก่ต้มน้ำปลาอยู่” ตัวอ้วนเนื้อถ้าจะเยอะ หากเอาไปถอนขนต้มนะ ฮึ่ม!
“...” เจ้าไก่เหมือนจะรู้ พอได้ยินว่าหม้อมันหยุดดิ้นหนีทันที เห็นสายตามนุษย์ผู้นี้มองปานจะกลืนด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าขยับ
“แฮก ๆ เหนื่อย ขอบใจที่จับไก่ไว้ให้ โถ ๆ เจ้าหน้าด่างของข้า ดูสิกลัวจนสั่นหมดเลย” อุ้มเจ้าหมาน้อยหน้าซื่อที่มีน้ำตาคลอ ใครเห็นก็ย่อมสงสารมันทั้งสิ้น
“ห่วงแต่ลูกสุนัข แล้วไก่ตัวนี้เล่าไม่คิดจะอุ้มกลับไปหรือ”
“เหอะ! ไก่ตัวนี้เป็นศัตรูของข้า ข้าไม่คิดจะแตะแม้ปลายขนของมัน”
“เช่นนั้นก็.. ถอนขนต้มเลยดีไหม”
“ไม่ได้ มันเป็นไก่สุดรักของสามีข้า ขืนเอาไปต้มข้าได้ถูกเขาหย่าแน่”
“แค่ไก่ตัวเดียว จะถึงขั้นเลิกกันเชียว”
“มันไม่ใช่แค่ไก่นะสิ แต่เป็นของแทนใจผู้หญิงที่เขาเคยชอบ เพราะเขาเอาแต่คิดถึงนางคนนั้น จึงมองผ่านข้าไปตลอดเวลา เหมือนว่ากำลังมองหาอีกคน”
นึกถึงสิ่งที่สามีทำกับตนแล้วจินเหนียงอยากจะร้องไห้ แต่ไม่อาจปล่อยให้มันไหลออกมา นางไม่ควรเอ่ยเรื่องพวกนี้ต่อหน้าผู้อื่นให้คนขบขัน
“ในเมื่อเขาชอบผู้หญิงคนนั้นแล้วทำไมถึงแต่งงานกับเจ้า รึว่าจะเหมือนกันกับข้าที่เขาต้องรับผิดชอบ”
“ไม่ใช่ เพราะเหมยลี่นางได้พบคนที่ฐานะดีกว่า เหมาะที่จะฝากชีวิต ที่บ้านของนางจึงให้แต่งงานกับชายคนนั้น สามีข้าเขาโมโหมาก จึงมาสู่ขอข้าเพื่อประชดนาง”
“ชาติชั่ว! ไม่ได้รักไม่ชอบดันทุรังจะเอาชนะแล้วทำให้อีกคนต้องทรมานเนี่ยนะ มันน่าจับไปเชือด”
“ห้ะ! นี่เจ้าพูดอะไร อย่าเอ่ยปากออกมาแบบนี้สิ มันฟังดูน่ากลัว หากใครมาได้ยินเข้าเขาจะคิดว่าเจ้าบ้า”
จินเหลียนได้ยินเสี่ยวม่านด่าทอสามีตน ไม่ได้ไม่พอใจแต่รู้สึกตกใจและออกจะยินดีหน่อย ๆ หากเป็นคนอื่นมีแต่จะบอกว่าตนหาดีไม่ได้ ผู้ชายถึงเบื่อหน่าย นางจึงมองเสี่ยวม่านเสียใหม่ด้วยสายตาที่เป็นมิตร