“ก็มันจริง แต่เจ้าแต่งให้เขาเพราะอะไร หากไม่ใช่เขามาสู่ขอเจ้าเอง เอามาก็ต้องดูแลกันให้ดี ยกย่องใส่ใจให้เกียรติสิ อาหมิงแม้จะไม่รักไม่ชอบข้าเลย แต่เขาก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี นับว่าวาสนาข้าดีมาก”
“จริงอย่างเจ้าว่า ทุกคนในหมู่ต่างพูดตรงกันว่าอาหมิงเป็นยอดบุรุษ แต่ข้าอาภัพนัก ตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาอยู่บ้านสามี เขามักจะเฉยเมยต่อข้า พ่อแม่สามีก็ไม่ชอบข้า พวกเขาต่างบอกว่าข้าโง่ ไม่เหมาะสมกับลูกชายเขา จะมีก็แต่เจ้าหมาน้อยตัวนี้ ที่จริงใจและดีต่อข้า”
“...” เอาแล้ว หาคนคบไม่ได้เลยไปคบกับหมาว่างั้น
แต่ก็เข้าใจ หันไปทางไหนก็โดนปฏิบัติไม่ดีใส่ นางคงจะหมดทางเลือกแล้วจริง ๆ หากไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอาจทนไม่ไหวจนถึงขั้นคิดสั้นหนีความเจ็บปวดก็เป็นได้ หรือว่านี่จะคือเป้าหมายในการทำภารกิจพิเศษที่ว่า
“มีอะไร เจ้ามองหน้าข้าเช่นนี้คงตลกที่ข้าต้องคบหากับสุนัขสินะ” แววตาของจินเหนียงหม่นเศร้าลง แม้จะรู้สึกผิดหวังแต่นางก็คาดไว้อยู่แล้ว ใครเล่าจะอยากมาคบค้าเป็นสหายกับตน
“ข้ากำลังนึกชื่อของเจ้า แต่นึกไม่ออก เจ้าคงรู้แล้วว่าความทรงจำของข้ามันหายไปหมดเลย”
“ที่แท้เจ้ากำลังนึกชื่อข้าอยู่ ข้าก็หลงคิดว่า เจ้ามองข้าเป็นตัวตลกเสียอีก”
“หากเจ้าเป็นตัวตลกแล้วข้าจะนับเป็นตัวอะไร เห็นใบหน้านี้มั้ย ไหนจะสภาพเหมือนถั่วงอกแล้งน้ำนี่อีก เจ้ายังหน้าตาดี ดูได้กว่าข้าเสียอีก”
“ข้าชื่อจินเหนียง เป็นคนหมู่บ้านข้าง ๆ ที่แต่งเข้ามาได้ครึ่งปีแล้ว สามีข้าชื่อต้าหู่”
“ต้าหู่”
“อื้อ คนที่เจ้าคุยด้วยเมื่อกี้อย่างไร”
“อ๋อ! ตาคนหน้าแข็งเหมือนท่อนไม้นะหรือ โอ๊ยเจ้านี่! ก็ได้สามีหล่อแบบนี้เอง ถึงได้ถูกเขากดข่ม เอ่อจินเหนียงเจ้าว่างมั้ย”
“ว่าง งานใดในเรือนชาน ข้าล้วนทำเสร็จหมดแล้ว ทำไมรึ”
“ไปบ้านข้ากัน ข้ามีอะไรจะแนะนำเจ้า”
“แต่.. มันจะดีหรือ”
“ไปเถอะน่า ข้าไม่พาเจ้าไปขายหรอก” มีแต่ต้องพาไปบ้านเท่านั้น ถึงจะพูดคุยได้ ถ้าเป็นที่อื่นอาจถูกมองว่าพวกนางคิดทำเรื่องไม่ดี
“ก็ได้”
เพราะเจ้าไก่มันพยศมาก เสี่ยวม่านจึงโยนมันทิ้ง ปล่อยให้วิ่งตีปีกหนีกลับบ้านไป เจ้าลูกสุนัขที่ถูกเรียกว่าเจ้าด่าง เดินตามจินเหนียงไปที่บ้านของเสี่ยวม่านด้วย
“เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ข้าได้มาบ้านเจ้า”
“เอ๋! เมื่อวานเจ้าไม่ได้มาร่วมงานฝังข้าหรือ”
“ไม่ได้มาหรอก สามีข้าบอกว่ามาก็เกะกะ เขาไม่ชอบให้ข้าออกไปช่วยงานที่ไหน”
เสี่ยวม่านได้ฟังแล้วให้รู้สึกเห็นใจ ชีวิตของจินเหนียงไม่ง่าย นางเป็นลูกสาวคนกลางที่ไม่โดดเด่น บิดามารดาจึงไม่ให้ความสำคัญ พอถึงวัยพอจะแต่งงานก็รีบยกนางใส่เกี๊ยวแต่งมาบ้านต้าหู่ทันที
ไม่แม้จะถามไถ่สืบความเกี่ยวกับประวัติของฝ่ายชาย แต่ถึงรู้พวกเขาคงไม่สนใจลูกคนนี้เหมือนเดิม อาจเพราะถูกเลี้ยงมาแบบห้ามมีปากมีเสียง จินเหนียงจึงกลายเป็นคนขี้กลัวและขาดความมั่นใจ แต่นางเชื่อเหลือเกินว่าสหายใหม่ผู้นี้ต้องมีดีซ่อนอยู่ ไม่อย่างนั้นระบบคงไม่บอกให้ช่วยหรอก
“ว่าแต่ เจ้าเอาต้นหญ้าพวกนี้กับท่อนไม้ผุ ๆ มาทำไมกัน ข้าจะถามเจ้าตั้งแต่เมื่อกี้”
“เอามาทำสวนไว้ดูนะสิ”
“สวนหรือ ของแบบนั้นมีแต่คนรวยที่ชื่นชอบมัน”
“ไม่รวยก็ทำได้ มานี่ ข้าจะทำให้ดู ระหว่างนี้เราคุยกันพลาง ๆ”
“อืม”
จินเหนียงนั่งยอง ๆ มือค้ำคางดูเสี่ยวม่านเทเกลี่ยกรวดหินมุมกำแพง เห็นอีกฝ่ายใช้ท่อนไม้ผุมาจัดวาง ตอนแรกก็ดูไม่ออกแต่หลังจากจับนั้นวางนี่ไปสักพัก พอให้เป็นรูปเป็นร่างกลับดูสวยขึ้นมา พอลงต้นหญ้าข้างท่อนไม้ยิ่งดูงดงาม ทำให้เอ่ยปากชมไม่หยุด
“สุดยอดไปเลยเสี่ยวม่าน มันสวยเหมือนที่เจ้าว่า แค่เอาต้นหญ้ากับก้อนหินมาวางเรียงกันดี ๆ ก็งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ”
“สวนพวกนี้ก็เหมือนเจ้านั่นแหละ” เสี่ยวม่านยังคงก้มปลูกต้นไม้ที่เก็บมาจากข้างทาง ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองสหาย
“เหมือนข้าหรือ”
“ใช่ ของที่คนอื่นมองว่าไร้ประโยชน์ไร้ค่านั้น แท้จริงล้วนมีดีในตัวเอง คนอื่นอาจมองว่าเจ้าโง่ แต่ข้ามองว่าเจ้ารู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม เพียงแต่เจ้าหัดมีความกล้าขึ้นมาสักนิด ไม่แน่ว่าสามีเจ้าจะกล้าข่มเหงความรู้สึกของเจ้าอีก”
“เจ้าพูดอะไร จะให้ข้าแข็งข้อใส่เขา แบบนั้นได้ถูกเขาไล่ออกจากบ้านสิ ถ้าโดนหย่าขึ้นมาจริง ข้าจะไปอยู่ที่ไหนเล่า บ้านเดิมก็ไม่ต้อนรับ หากจะกลับไปก็ไม่ได้แล้ว”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าไม่ได้ชอบต้าหู่สินะ ที่แต่งงานกับเขาก็เพราะผู้ใหญ่ให้แต่ง หากว่าเจ้ามีที่ไป หรือมีคนที่ยินดีดูแลรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของเจ้า จะยังอยู่กับผู้ชายอย่างต้าหู่ไหม”
“ถ้ามีอย่างเจ้าว่า ข้าจะไม่คิดมากเลย จะหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับเขาทันที”
“อืม ด้วยหน้าตาของเจ้า ถือว่าสวยระดับหนึ่ง คงไม่ยากที่จะมีคนใหม่มาชอบ แต่นิสัยที่ขี้กลัวและขาดความมั่นใจของเจ้า จะทำให้ถูกมองว่าเป็นของตาย”
“ของตายคือสิ่งใด ทำไมเจ้าจึงเปรียบข้าเช่นนั้น”
“ของตายหมายถึงคนที่ไม่ว่าเราจะทำร้ายให้เจ็บช้ำ หรือทำเลวด้วยสักเท่าไรก็ยังคงไม่หายไปไหน เสมือนคนตายที่ยังรออยู่ที่เดิม เจ้าก็เป็นเช่นนั้น”
จินเหนียงได้ยินแล้วรู้สึกจุกในอก จริงดังที่เสี่ยวม่านพูด นางเหมือนคนตายที่หันมากี่ครั้งก็ยังอยู่ตรงนั้น
“แล้วข้าควรทำเช่นไร”
“ก่อนจะให้คนอื่นเห็นค่า เจ้าต้องรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด”
“อย่างไรล่ะ”
“เรื่องนั้น เขาทำมันปกติหรือไม่”
“เรื่องไหน รึเจ้ากำลังหมายถึง.” จินเหนียงหน้าแดงข้นสี เมื่อพอเข้าใจว่าเสี่ยวม่านเอ่ยถึงเรื่องใด
“จะอายไปทำไม เราล้วนเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว เจ้าอาจคิดว่ามันไม่ควรพูด แต่!”
“อย่าลืมว่าบุรุษมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ และขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาเล็กหาน้อยไปเรื่อยหรือ รึว่าเจ้าใจกว้างยอมให้เขาไปหาคนอื่น แบบนั้นสักวันเขาคงเบื่อเจ้าและทิ้งไปหาคนอื่น”
“เขาทำมันบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจข้านัก”
“แล้วเจ้าได้ตอบสนองเขาบ้างมั้ย หรือว่าแค่นอนนิ่ง ๆ”
“เจ้าพูดเหมือนไม่รู้ ผู้หญิงอย่างเราทำได้แค่นอนเฉย ๆ ไม่ใช่รึไง”
“ถ้าอย่างนั้นข้ารู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่พอใจเจ้า จินเหนียงผู้หญิงอย่างเราไม่ใช่ท่อนไม้ที่จะนอนนิ่ง เราต้องรู้จักกระตุ้นกำหนัดของสามี และทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเสมอ หากเจ้าทำได้ละก็ ต่อให้ไม่รักไม่ชอบก็ย่อมมองเจ้าดีขึ้นกว่าแต่ก่อน และถ้าเจ้าพลิกแพลงเอาใจเขาจนอยู่หมัด คราวนี้เขาจะขาดเจ้าไม่ได้แน่นอน”
“เสี่ยวม่าน เจ้าช่วยแนะนำข้าด้วยนะ”
จินเหนียงเชื่อหมดใจว่าเสี่ยวม่านต้องมีเคล็ดลับดี ๆ เพราะอาหมิงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างให้เกียรติ
“ได้สิ แต่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจอย่างหนึ่ง ด้านได้อายอด จะสำเร็จหรือไม่มันขึ้นอยู่กับความกล้าของเจ้า”
“ตกลง ข้าจะทำให้ได้ รีบบอกมาเร็วว่าต้องทำอย่างไร”
“อะแฮ่ม เจ้าต้องเด้งสวน”
“หา! เอ่อ แบบไหน ข้า คือข้านึกภาพไม่ออก”
“ก็เวลาเขาแหย่มันเข้ามา ยกสะโพกรับบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นอนหลับตา”
“ดะได้”
“เฮ้อ ดูเจ้าสิ พูดแค่นี้ก็หน้าแดงแล้ว ถึงเวลาจะสู้เขาหรือ”
“ข้าสู้! เจ้าสอนต่อ ข้าจะตั้งใจฟัง”
“ดี ต่อไป เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอยู่บน”
“หือ?”
“ให้นึกว่าตนเองเป็นแม่ทัพ ส่วนเขาเป็นยอดอาชาให้เจ้าควบขี่ หากเจ้าสามารถทำให้เขาอ่อนปวกเปียกในตอนนั้นได้ เจ้าจะชนะ”
“อันนี้ฟังดูเข้าท่าดีนะ”
เสี่ยวม่านยิ้ม ดูเหมือนจินเหนียงจะใจสู้กว่าที่คิด นางจึงกล่าวสอนถึงท่วงท่าต่าง ๆ ตามที่เคยเห็น เคยอ่าน เคยศึกษา แม้จะไม่ได้ภาคปฏิบัติ แต่ทฤษฎีมีมากหลายตำรา แรก ๆ สหายใหม่รู้สึกขวยเขินมาก แต่ตอนหลังกลับตั้งใจฟังเป็นอย่างดีมัน
สอนกันจนจัดสวนเสร็จ จึงชวนกันไปจับกุ้งปูมาไว้ทำกิน ตอนที่จินเหนียงกลับไปจะได้ไม่ถูกตำหนิว่าเอาแต่เที่ยวเล่น และได้สอนให้ทำน้ำจิ้มรสเด็ด โดยการสาธิตตำปรุงรสให้ดู กับให้ลองชิม ปรากฏว่าสหายของนางชอบมาก ส่วนเรื่องย่างคงไม่ต้องสอน คนทำครัวเขารู้ดี
ส่งสหายใหม่กลับบ้านไปแล้ว แต่ระบบยังคงไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าจะได้รับรางวัลก็ต่อเมื่อภารกิจสมบูรณ์ มองท้องฟ้าที่ยังสว่างจ้า จึงคิดว่าจะออกไปเดินดูแถวตลาด ค่อยกลับมาเผาปลาทีหลัง อย่างไรก็ทำน้ำจิ้มไว้แล้ว
“ดูสิ นางม่านออกมาเดินด้วยล่ะ อุ๊ย! พอตายแล้วกลับมาใหม่ หนังหน้าดูดีขึ้นนะเนี่ย”
“หากพี่สาวเห็นว่าตายแล้วดี เช่นนั้นเจ้าก็ลองตายอย่างข้าบ้างสิ”
“จะบ้ารึไง จู่ ๆ มาบอกให้กันไปตาย”
“อ้าว! ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าพอข้าตายไปรอบหนึ่งแล้วหนังหน้าข้าดีขึ้น”
“ถูกของนาง เจ้าพูดมันเองกับปาก”
เสี่ยวม่านยิ้มหน้าแป้น ดูไร้เดียงสาจนสตรีนางนั้นกระอักกระอ่วน คนอื่นได้ฟังจึงไม่มีใครเอ่ยทักเช่นนั้นอีก
“แล้วนั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใด ไปตลาดหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าว่าจะไปเดินเล่น”
“ยามเย็นเช่นนี้ ไม่น่าจะมีอะไรขายแล้ว แต่หากเจ้าอยากไปเดินเล่น ถัดจากตลาดจะมีเพิงขายน้ำชาเล็ก ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ที่นั่นเป็นจุดผ่านเข้าออกระหว่างหมู่บ้านเรากับหมู่บ้านอื่น”
“ขอบคุณท่านป้าที่แนะนำเจ้าค่ะ ยามนี่ในหัวของข้านั้นว่างเปล่า จำต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ”
ดีมาดีกลับ ร้ายมามีสวน เสี่ยวม่านคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม