Double : 01

3851 Words
@คอนโด XS ขาเรียวก้าวลงจากรถยนต์ฮอนด้าสีขาวแสนน่ารักทันทีที่จอดรถเสร็จ ฉันหันไปมองลูกรักที่มีบีเอ็มดับเบิลยูกับแลมโบกินี่สุดหรูรุ่นล่าสุดจอดอยู่ข้างๆแล้วก็ได้แต่ส่งกำลังใจไปให้ ไม่เอานะลูกฮอนด้าน้อยของแม่ อย่าเพิ่งน้อยใจไป ยังไงเราก็สวยน่ารักปุ๊กปิ๊กกว่าตั้งเยอะ เหอะ! “แล้วเขาอยู่ชั้นไหนล่ะเนี่ย…” พอเข้ามาในลิฟต์ฉันก็หยิบคีการ์ดขึ้นมาดูชั้นอีกครั้ง ก่อนจะแตะไปทั่วลิฟต์ ก่อนจะเห็นว่าเป็นชั้นบนสุด แถมเหมือนชั้นนั้นยังมีไม่กี่ห้องอีกต่างหาก จะว่าไปฉันก็รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ เหมือนกันแฮะ เพิ่งเคยมาที่พักหรูหราขนาดนี้เป็นครั้งแรกด้วยสิ ให้ตายเถอะ ไม่รวยจริงอยู่ไม่ได้นะเนี่ยชั้นบนสุดเนี่ย! ติ๊ง! ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกฉันก็ยืนมองดูหมายเลขห้องด้านหน้ากับหมายเลขบนคีการ์ดตาปริบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง พอเห็นว่าตรงกันก็จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูเรียบร้อยกว่าเดิม ก่อนจะจิ้มนิ้วชี้ไปกปุ่มออดด้านข้างบานประตูห้องเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท แต่กดตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิดสักทีเลยต้องใช้คีการ์ดที่ได้มาให้เป็นประโยชน์โดยการเปิดเข้าไปเองซะเลย และพอเข้ามาภายในห้องฉันถึงกับตกตะลึงในความสวยงามกับการตกแต่งสไตล์ผู้ชายเท่ๆ ที่เข้ากันอย่างลงตัว มันเป็นการตกแต่งที่แตกต่างจากคอนโดฯ ทั่วไปที่ฉันเคยเห็นมากเลยทีเดียว “ห้องนอนอยู่ไหนล่ะเนี่ย?” ฉันรวบรวมสติแล้วสอดส่ายสายตาไปจนทั่วห้อง จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูที่คิดว่าคงเป็นห้องนอนออกแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็น เห็นร่างกายสูงใหญ่กำลังนอนแผ่สบายใจอยู่บนเตียงอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉันเดินดุ่มๆ ไปยืนข้างเตียงนอนแล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูสดใสสุดๆ “นี่คุณเอริคคะ ไปทำงานได้แล้วค่ะ” “ใคร” เสียงทุ้มเข้มแหบต่ำเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด ฉันขมวดคิ้วแล้วพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมจนร่างสูงที่นอนอยู่ชะงักเล็กน้อย “ไปทำงานได้แล้วค่ะ!” พรึ่บ! “หนวกหู” “อ๊ะ… ปล่อยฉันนะ อุ๊บ!” ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจที่จู่ๆ ฝ่ามือหนาก็จับข้อมือบางแล้วดึงฉันเข้าไปใกล้จนตัวฉันล้มลงไปนอนบนเตียงข้างเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นเขาก็เอามืออีกข้างมาปิดปากฉันไว้พร้อมกับท่อนแขนแข็งแรงกอดล็อกรอบเอวฉันแน่น ว้อท?! นี่มันอะไรกันเนี่ย?!! “อื้อ อ่อยอั้นอ้ะ!” ฉันดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนแข็งแรงที่กำลังกอดรัดเอวบางไว้แน่นทันทีที่ตั้งสติได้ ก่อนจะตะโกนบอกเขาเสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ตะโกนเท่าไหร่มือหนาก็ยังคงปิดปากฉันไว้เหมือนเดิม หมับ! “หนวกหู จะนอน” เอริคจับตัวฉันพลิกหันหน้าไปทางเขาจนริมฝีปากอิ่มแตะไปบนแผงอกกำยำเปลือยเปล่า ฉันกะพริบตาปริบๆ เมื่อ สายตามองเห็นรอยสักรูปราชสีห์ที่อยู่ตรงอกข้างซ้ายยาวขึ้นไปถึงหัวไหล่แกร่ง ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับไหลพร้อมคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด แต่มันกลับไม่สามารถทำให้ความหล่อของเขาลดลงสักนิดเดียว ให้ตายเถอะ เขาดูเท่กว่าเดิมซะอีก เดี๋ยวนะ… ฉันสะบัดหัวเพื่อควบคุมสติของตัวเองแล้วใช้มือดันหน้าท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อซิกแพคแน่นๆ ให้ออกห่าง “คะ… คุณเอริคคะ ไปทำงานค่ะ!” “...” เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับอะไรใดๆทั้นสิ้น มีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังออกมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่จางๆ จากร่างสูงที่ยังคงนอนกอดฉันไว้แน่น ฉันเลยต้องออกแรงและพยายามดันตัวเขาออกอีกครั้ง ก่อนฉันจะบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างขุ่นเคืองหน่อยๆ “หลับอยู่ก็จริงแต่ทำไมถึงกอดแน่นขนาดนี้เนี่ย!” ฟุ่บ! “อืม” “คุณเอริค!” หมับ! “อะ… ไอ้” จู่ๆ เอริคพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างฉันไว้ด้วยความรวดรวดเร็ว ฉันอ้าปากพะงาบๆ ตกใจจนพูดไม่ออก อยากจะตะโกนด่าออกไปดังๆ แต่เสียงมันกลับหายลงไปในลำคอ พอก้มลงมองก็เห็นมือหนากำลังจับหน้าอกฉันแล้วบีบเค้นอย่างสนุกเหมือนมันเป็นของเล่น ฉันขมวดคิ้วพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นด้วยความโกรธเคือง ใจเย็นโมนา… เพื่องานและเงินเดือนมากมายนั่น ท่องไว้สิยะ! “นิ่มจังวะ” เสียงเข้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นโดยที่เขายังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ฉันกำมือไว้แน่น ตัวสั่นหน่อยๆ ด้วยความโมโหแล้วพอสายตาไปพบว่าเขาใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวบางเส้นความอดทนของฉันก็ขาดผึ่งทันที ไม่ทงไม่ทนมันแล้วโว้ยยย! ผลั่ก! ตุบ! “ไอ้ลามก!” “อึก… อะไรวะ!” เอริคลืมตาแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนหลังจากที่ฉันออกแรงถีบเข้าไปที่หน้าท้องที่มีซิกแพคแน่นๆ นั่นด้วยความโมโหปนขุ่นเคืองไม่หายจนเขาล้มลงไปบนพื้นข้างเตียง จากนั้นฉันก็รีบลุกไปยืนข้างเตียงใหญ่ จัดเสื้อหน้าหน้าผมที่ฟูไม่เป็นทรงของตัวเองให้ดูเรียบร้อยมากกว่าเดิม แล้วหายใจสูดเอาอากาศเข้าปอดเพื่อข่มอารมณ์เดือดปุดๆ ในหัวออก ก่อนจะเงยหน้าบอกเขอีกครั้ง            “ไปทำงานได้แล้วค่ะ!” “เธอเป็นใคร?” สายตาคมจดจ้องมองใบหน้าฉันนิ่ง เอริคเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำราบเรียบอย่างไม่สบอารมณ์ คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนฉันแทบจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว แต่ถึงเขาจะน่ากลัวยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้เลยเชิดหน้าแล้วตอบเขาด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านกลับไปเหมือนกัน “ฉันเป็นเลขาคนใหม่ค่ะ รู้แล้วก็รีบไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ… คุณเอริค” “เลขาคนใหม? เธอชื่ออะไร” เสียงเข้มที่ต่ำลงกว่าเดิมทำให้ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังอดทนไม่ให้โมโหมากเกินไป ฉันกลืนน้ำลายลงคอออึกหนึ่งเพื่อรวบรวมสติจากนั้นก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย   “โมนาค่ะ… โมนา ดีแลนด์” “หึ โมนา เมื่อกี้เธอถีบฉันงั้นเหรอ” “กะ… ก็คุณ” เอริคยกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ ส่วนฉันก็ตอบรับตะกุกตะกักอย่างหวั่นๆเพราะท่าทางของเขาดูจะโมโหจริงๆ แต่มันช่วยไม่ได้นี่! เอริคอยากมาทำแบบนั้นกับฉันก่อนทำไมกันล่ะ! “ฉันทำไม?” “คุณจับ… จับ“ “จับอะไร?” ร่างสูงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามฉันด้วยความสงสัย ฉันกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น มองสบกับสายตาคมดุดันด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโพล่งออกไปอย่างหมดความอดทน “คุณจับหน้าอกฉันไงล่ะ!” “...” เสียงตะโกนของฉันทำให้เอริคหยุดเดินเข้ามาใกล้ทันที เขามองใบหน้าฉันนิ่ง สักพักก็ไล่สายตาคมลงมาที่หน้าอกของฉันอย่างไม่ปิดบัง จนฉันต้องรีบยกแขนขึ้นมากอดอกไว้แล้วถลึงตาจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “ลามก!” ฟุ่บ! “จะนอนต่อ กลับไปซะ” แต่จู่ๆ เอริคก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่อีกครั้ง โดยที่ฉันได้แต่ยืนมองเขาตาปริบๆ ด้วยความงุนงง อะไรของเขาน่ะ คิดจะนอนต่อก็นอนแบบนี้เลยเรอะ! “แต่คุณต้องไปทำงานที่บริษัทนะคะ” “อย่ากวน” พรึ่บ! “ลุกได้แล้วค่ะ!” ฉันเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มออกแล้วตะโกนบอกเสียงดังเพื่อให้เขาลุกจากเตียงนอนสักที เอริคลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับคิ้วเข้มขมวดมุ่นมากกว่าเดิมแล้วจ้องมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างน่ากลัว “รู้มั้ย ถ้ากวนเวลาฉันนอนจะเป็นยังไง” “ไม่รู้ค่ะ ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องพาคุณเข้าไปทำงานที่บริษัทให้ได้” แต่ถึงสายตาคมที่จ้องมองใบหน้าฉันอยู่มาจะน่ากลัวขนาดไหน ฉันก็จะไม่มีวันยอมแพ้เรื่องนี้เป็นอันขาด! เงินเดือนที่มากมายและงานเลขาที่นี่ฉันต้องได้มันมา! หมับ! ตุบ! “ถ้าอยากให้ไปบริษัท ก็ทำให้ฉันพอใจสิ” “นี่คุณ!” ฉันเบิกตาโพลงเมื่อฝ่ามือหนาจับข้อมือบางแล้วดึงตัวฉันเข้าไปใกล้จนฉันขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนซิกแพคของเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาอีกข้างก็จับต้นขาฉันไว้แน่น กระโปรงทำงานที่ยาวเลยเข่ามานิดหน่อยตอนนี้มันเลื่อนขึ้นมาสูงแทบจะเห็นกางเกงในสีแดงของฉันหมดแล้ว ให้ตายสิ! “หึ” “ปล่อยฉันนะคุณเอริค!” ฉันจิ๊ปากแล้วเอ่ยบอกเขาด้วยความขุ่นเคือง พยายามดึงข้อมือออกจากฝ่ามือหนา แต่เอริคกลับจับเอาไว้แน่นมากกว่าเดิมซะอีก “อยากให้ฉันไปบริษัทไม่ใช่รึไง โมนาดีแลนด์” “แล้วจะให้ฉันทำยังไง… คุณถึงจะยอมไป” ฉันจ้องใบหน้าหล่อเหลาด้วยความหงุดหงิด พลางหายใจแรงเพื่อควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง อดทนไว้โมนา ถึงแม้ตอนนี้มันจะอดได้ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม แต่ใจเย็นไว้ ท่องไว้… เพื่องานและเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นตั้งสองหมื่นเชียวนะยะ! “ฉันหิว ไปทำอะไรมาให้กินหน่อย” “เอ๊ะ… อะไรนะคะ?!” ฝ่ามือหนาปล่อยข้อมือบางออก แต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่บนซิกแพคแน่นๆ ด้วยความงุนงงไม่หาย ให้ตายสิ ฉันตามอารมณ์ของเอริคไม่ทันแล้วนะ จู่ๆ ก็บอกให้ฉันไปทำอะไรให้กินงั้นเหรอ?! บ้าชะมัดเลย! “หรือที่ยังนั่งอยู่นี่… จะให้กินเธอแทนใช่รึไง” เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกเรียบนิ่งพร้อมกับสายตาคมดุดดันมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันกัดริมฝีปากล่าง แล้วรีบกระโดดลุกออกจากการนั่งคร่อมตัวเขาไปยืนบนพื้นข้างเตียงใหญ่ด้วยความรวดเร็ว “งั้นรอสักครู่ค่ะ!” พอหันไปกระแทกเสียงบอกเอริคจบ ฉันก็เดินออกจากห้องนอนของเขาไปทางห้องครัวทันที บ้าจริง นี่ตกลงฉันมาสมัครเป็นเลขาหรือแม่บ้านกันแน่เนี่ย! ฉันวางจานออมเล็ตไว้บนโต๊ะทานข้าวหลังจากทำเสร็จจนดูอร่อยส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัว ก่อนจะเดินไปตักสลัดผักใส่จนเต็มชาน เอริคอยากหิวมากดีนัก! กินมันให้หมดชามนี่แหล่ะ คอนโดฯ เขาก็ออกจะหรูโทรสั่งอาหารง่ายกว่าใช้ให้ฉันทำให้กินไหมยะ! “ทำไมข้าวเยอะ” “หิวไม่ใช่เหรอคะ ฉันกลัวคุณไม่อิ่ม” ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที เอริคก็เดินเข้ามาในครัวพร้อมกับการอาบน้ำแต่งตัวที่ดูดีกว่าตอนแรก เขาเลิกคิ้วมองจานออมเล็ตที่ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำนิ่งๆ ฉันยักไหล่แล้ววางชามสลัดอีกชามลงบนโต๊ะทานข้าว “ออมเล็ตเนี่ยนะ?” “ทำไมคะ คุณทานไม่ได้?” “เปล่า แค่ไม่คิดว่าเธอจะทำเป็น” เอริคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้งนั่งลงบนเก้าอี้พลางตักออมเล็ตขึ้นมากิน ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวมองเขานิ่งๆ สักพักสายตาคมก็เหลือบมาทางฉันทันทีที่เขากลืนออมเล็ตลงคอ ฉันยืนเม้มปากอย่างลุ้นๆ ว่าเขาจะพูดว่ายังไงบ้าง แต่เอริคกลับไม่พูดอะไรแล้วหันไปกินอาหารในจานของตัวเองต่อ บ้าชะมัด แล้วที่เขามองหน้าฉันนี่มันหมายความว่ายังไงกัน… ตกลงอร่อยหรือไม่อร่อยกันแน่ เหอะ! และหลังจานที่เอริคกินอาหารอิ่ม ฉันก็ต้องมายืนล้างจานให้เขาต่อ ให้ตายสิ ฉันจิ๊ปากอย่างขุ่นเคืองหน่อยๆ แต่ก็ล้างจานต่อไปเพราะไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเอริคจะทำให้ฉันประสาทเสียมากไปกว่านี้ ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “แล้ววันนี้คุณจะเข้าบริษัทกี่โมงคะ?” “ฉันมีนัด” ”มีนัด? นัดอะไรคะ ตารางงานคุณที่ฉันได้รับวันนี้มันไม่มีนัดอะไรหนิ…“ “นัดกับเพื่อนไว้” เอริคเอ่ยบอกสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ส่วนฉันก็วางจานใบสุดท้ายที่เพิ่งล้างเสร็จไว้บนชั้นวางแล้วหันมายืนกอดอกมองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจทันที “นี่คุณเอริค ไหนคุณบอกฉันว่าจะเข้าบริษัทไง” “ไม่เข้า ไปล่ะ ฝากล็อกห้องด้วย” “นี่ เดี๋ยวสิคะ!” ฉันรีบเดินดุ่มๆ ไปหาเอริคที่กำลังเปิดประตูออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว แต่เขาไม่ฟังที่ฉันพูดเลยสักนิดเดียว แถมยังตีมึนทำหูทวนลมอย่างหน้าตาเฉยอีกต่างหาก บ้าจริง! หมับ! “อะไรอีก” เอริคหันมามองมือบางที่คว้าหมับจับชายเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่น ก่อนจะเลื่อนสายตาคมดุดันมามองใบหน้าฉัน และคิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความหงุดหงิด “คุณจะไปไหนน่ะ?” “ไปหาเพื่อนไง” “ฉันไปด้วย” ฉันบอกออกไปด้วยความมุ่งมั่นพร้อมกับมองเอริคอย่างไม่ย่อท้อ เขาขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม แต่ฉันก็ทำเป็นโนสนโนแคร์ไม่สนใจว่าเขาจะหงุดหงิดขนาดไหน เหอะ งานนี้โมนาเอาจริงบอกเลย! “เธอจะไปทำไม ล้างจานเสร็จก็ฝากดูดฝุ่นด้วย ไปล่ะ” “ฉันเป็นเลขานะ ไม่ใช่แม่บ้าน!” “แต่ฉันไม่ได้รับเธอเข้าทำงาน” เอริคหันมาจ้องฉันด้วยสายตาคมดุดันอย่างน่ากลัวหน่อยๆ จนฉันแอบสะดุ้งเล็กน้อยพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ถึงเขาจะทำท่าทางยังไงใส่ฉันก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด… “ท่านประธานจ้างให้ฉันมาเป็นเลขาคุณ ยังไงฉันก็ต้องทำตามหน้าที่” เพื่อเงินเดือนที่อัปขึ้นอีกสองหมื่น แต่ฉันไม่พูดออกไปหรอก บ้าเหรอจะพูด เหอะ! ฉันไม่ได้เห็นแก่เงินนะ ทำตามหน้าที่จริงๆ “พ่อฉันจ้างก็ไปเป็นเลขาพ่อฉันสิ” “แค่เข้าไปที่บริษัทเองนะคะ” ฉันมองสบสายตากับเอริคอย่างขุ่นเคือง เขามันน่าโมโหชะมัด แค่การเข้าไปทำงานที่บริษัทมันยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือไงกัน ทำไมเขาต้องดื้อด้านขนาดนี้ด้วยเนี่ย! “ฉันไม่ชอบทำงานที่บริษัท วุ่นวาย” “แต่ว่า..” “หยุดพูดสักที เสียเวลา” คิ้วเข้มของเอริคขมวดเข้าหากันจนจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว ก่อนเขาจะเปิดประตูเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว ฉันที่กำลังยืนงุนงงเลยรีบก้าวฉับๆ ตามไปโดยไม่ลืมล็อกประตูห้องตามที่เขาบอก จากนั้นฉันก็วิ่งไปยืนข้างรถยนต์คันหรูสีเทาของเอริคทันที ให้ตายสิ แค่พาลูกชายท่านประธานไปบริษัทคิดว่าจะง่าย แต่กลับยากเย็นและน่าโมโหกว่าที่ฉันคิดซะอีก เอริคดื้อด้านชะมัดเลย! “รอก่อนค่ะ” ”มาทำไม” “ก็บอกแล้วหนิคะว่าฉันจะไปด้วย” เอริคหันมามองใบหน้าฉันนิ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ คล้ายกับเหนื่อยหน่ายที่เห็นว่าฉันไม่ยอมเลิกพยายามเอาตัวเขาไปทำงานที่บริษัทสักที เหอะ เสียใจด้วยนะคะ ให้ตายยังไงฉันก็ต้องลากคุณไปบริษัทด้วยกันให้ได้ คอยดูเถอะเอริค! “หึ งั้นก็ตามใจ” ฉันเดินตามเอริคเข้ามาในบาร์หรูแห่งหนึ่ง เนื่องจากร้านยังไม่เปิดเพราะตอนนี้แค่บ่ายสองกว่าๆ แต่การตกแต่งภายในร้านกลับดูดีจนฉันต้องหันไปมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของผู้ชายที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดชั้นสองเอ่ยทักเอริคอย่างเป็นกันเอง “มาแล้วเหรอวะ” “เออ” “แล้วนั่นมึงพาใครมาด้วย?” “ฉันโมนา เป็นเลขาคุณเอริคค่ะ” “ผมออสตินครับ” ฉันฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรกลับไปให้เขา ถึงแม้ว่าเอริคดูไม่สนใจจะแนะนำฉันให้เพื่อนเขารู้จักก็ตาม ออสตินยกยิ้มตอบ จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาจับทักทายฉันกับฉัน แต่จู่ๆ เสียงเข้มต่ำก็เอ่ยแทรกด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่หายจนฉันแอบเบ้ปากใส่เขาไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้ เหอะ เอริคแกล้งทำเป็นเมินฉันสินะ กวนประสาทที่สุด! “แล้วมึงเรียกกูมาทำไม” “กูว่าจะให้ช่วยดูแผงเครื่องให้หน่อย” พอออสตินพูดจบ ฉันกับเอริคก็เดินตามเขาขึ้นมาในห้องทำงานชั้นสอง แล้วออสตินก็เดินไปหยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมากางบนโต๊ะ ฉันได้แต่ยืนมองข้อมูลที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจขั้นสุด จากนั้นพวกเขาสองคนก็คุยอะไรกันไม่รู้อยู่นานจนฉันเริ่มเมื่อยเลยเดินมานั่งรอบนโซฟาอีกด้านแทน ว่าแต่… กระดาษนั่นมันคืออะไรน่ะ? ดูแล้วน่าปวดหัวชะมัด… “เรื่องแค่นี้จะเรียกกูมาทำไม ฝ่ายช่างมึงก็มี” ผ่านไปไม่นาน เอริคก็หยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟาข้างฉันด้วยความสบายอกสบายใจ สายตาคมเหลือบมองฉันที่หันมองรอบห้องตาปริบๆ แล้วเขาก็ยกยิ้มมุมปากพลางยักไหล่อย่าไม่ใส่ใจ “ถ้าพนักงานกูรู้ กูจะเรียกมึงมาทำไมไอ้เอริค” “เอ่อ ว่าแต่… นั่นคืออะไรคะ?” และหลังจากที่ฉันนั่งฟังพวกเขาสองคนคุยกันอยู่นานสองนานเลยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย ออสตินยิ้มบางแล้วอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ก่อนเขาจะเหลือบไปมองเอริคที่นั่งข้างอยู่ฉันเล็กน้อย “ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ เลยต้องให้วิศวะการบินอย่างไอ้เอริคมันมาช่วย” “เอ๊ะ…” ทันทีที่ออสตินพูดจบ ฉันก็หันขวับไปมองเอริคที่นั่งพ่นควันบุหรี่ข้างๆ อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก… เอริคน่ะเหรอเป็นวิศวะการบิน?! ให้ตายเถอะ ฉันก็คิดว่าเขาเป็นนักธุรกิจซะอีก เหอะ ถึงว่าทำไมชอบทำนิสัยห่ามๆ ใส่ฉันตลอด แต่จะว่าไปฉันคิดว่าวิศวะบางคนก็ไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นทุกคนหรอกนะ คงเป็นเพราะนิสัยของเอริคเองมากกว่าที่ชอบกวนประสาทใส่ฉันน่ะ คิดแล้วก็น่าหงุดหงิดชะมัด… “มองอะไร” เสียงเข้มต่ำที่เอ่ยถามทำเอาฉันถึงกับสะดุ้งตกใจ สายตาคมจ้องมองฉันพร้อมกับคิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย ฉันเลยได้แต่กระพริบตาปริบๆ ตอบกลับเขาไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน “ปะ… เปล่าค่ะ” “แล้วนี่โมนามาตามตัวไอ้เอริคไปบริษัทงั้นเหรอ?” “ทำไมคุณออสตินรู้ล่ะคะ” ฉันเลิกคิ้วถามออสตินด้วยความงุนงงปนอึ้งหน่อยๆ ที่เขารู้เรื่องนี้โดยที่ฉันหรือเอริคยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ออสตินหัวเราะแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน ก่อนเขาจะยักไหล่และหยิบแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่มอึกหนึ่ง “เลขาที่พ่อมันส่งมาไม่เคยมีใครพามันไปบริษัทได้สักคน ไอ้เอริคมันไม่ยอมไปง่ายๆหรอกครับ คนอย่างมันไม่เข้ากับสูทนักธุรกิจหรอก” “แต่… ไม่ลองก็ไม่รู้หนิคะ” ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองเอริคอีกครั้ง ดูจากนิสัยและท่าทางของเขาแล้วคงไม่เหมาะกับนักธุรกิจจริงๆ นั่นแหละ เกิดเอริคโมโหแล้วไปต่อยปากหุ้นส่วนแตกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ แต่ในเมื่อฉันรับปากว่าจะพาเขาเขาไปทำงานบริษัทให้ได้ ก็ต้องทำให้ได้น่ะสิ! “ถึงยังไงผมก็เอาใจช่วยนะครับ ถ้ามากับมันที่นี่ได้ก็ถือว่ายังมีหวังอยู่ อีกอย่าง… เรียกแค่ชื่อผมก็พอนะ” ออสตินส่งยิ้มกว้างส่งมาให้ฉันอย่างขี้เล่นและไม่ถือตัวอะไร ฉันนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกลับไปให้เขาเช่นกัน “ก็… ก็ได้ค่ะ” “เธออย่าเสียเวลาเลย ยังไงฉันก็ไม่เข้าบริษัท” แต่จู่ๆ เอริคก็เอ่ยแทรกแล้วหันมามองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมกริบนิ่งๆ ฉันหันขวับและจ้องหน้าเขากลับอย่างมุ่งมั่น แววตาเป็นประกายเอาจริงเอาจังพลางเชิดหน้าเล็กน้อย เหอะ! ฉันจะทำทุกทางจนกว่าเอริคจะยอมไปทำงานที่บริษัทให้ได้เลยคอยดู! “งั้นวันนี้ฉันจะยอมทำตามที่คุณต้องการทุกอย่างจนกว่าคุณจะพอใจ และถ้าฉันทำได้… วันนี้คุณต้องเข้าบริษัท ตกลงมั้ยคะ?”   “ฮ่าๆๆ น่าสนใจดีหนิไอ้เอริค” ออสตินหัวเราะเหมือนกำลังสนุกที่ได้เห็นฉันกับเอริคต้องมาทำอะไรแบบนี้ ส่วนเอริคก็เลิกคิ้วพลางยกยิ้มมุมปากอย่างท้าทายส่งมาให้ฉันไม่ต่างกัน “แล้วถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะ?” “คุณก็ไม่ต้องไปที่บริษัทไงคะ แล้วฉันก็จะ… ลาออกเองค่ะ” ฉันตอบเขาด้วยความมั่นใจ และถึงแม้ว่าฉันจะส่งยิ้มหวานไปให้เอริคก็ตาม แต่ในใจกลับนึกถึงแค่เงินเดือนสองหมื่นที่เพิ่มขึ้นมาจนไฟลุกโชน ฉันต้องทำให้ได้… โมนาดีแลนด์จะต้องลากตัวเอริคไปที่บริษัทให้ได้ค่ะท่านประธาน! “หึ เธอพูดแล้วนะ โมนา”            “คุณจะให้ฉันทำอะไรบอกมาได้เลยค่ะ” ฉันพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับถามเอริคด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ สีหน้าจริงจังเพื่อการทำงานเต็มที่ นาทีนี้เขาจะให้ฉันไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนฉันก็จะทำ เหอะ รู้จักคนอย่างโมนาน้อยไปหน่อยซะแล้ว ฉันไม่เคยย้อมแพ้อะไรง่ายๆ นะบอกไว้ก่อน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD