บทที่ 1 ‘หักอกก็แค่ผิดหวัง แต่หักหลังมันรับไม่ได้’ EP.1

1184 Words
บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลาง ที่แม้จะแทรกตัวอยู่ท่ามกลางร่มเงาแมกไม้ใหญ่ แต่สีชมพูที่โดดเด่นสะดุดตาก็สามารถทำให้มองเห็นได้อย่างเด่นชัด เรียกสายตาผู้ผ่านไปมาให้หันกลับมามองซ้ำได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ตัวบ้านยังมีบริเวณค่อนข้างกว้างกว่าหลังอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันและยังเป็นหลังที่อยู่มุม โดยรอบตัวบ้านเต็มไปด้วยร่มเงาของไม้ดอก ไม้ประดับ จำพวกต้นโมก ต้นแก้ว ที่กำลังผลิดอกขาวสะพรั่ง ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจโชยมาเป็นระยะ นอกจากพันธุ์ดอกหอมๆ ที่ปลูกอยู่โดยรอบ ยังแซมด้วยต้นหมากเขียวหลายต้น ซึ่งมีไว้สำหรับให้ร่มเงาและบังแดดได้เป็นอย่างดี กลิ่นหอมระรินของดอกสายหยุดกับดอกนมแมวที่โชยมาตามลม แม้จะหอมแรงจนฉุนเตะจมูก แต่ก็กลับส่งผลให้อารมณ์ขุ่นมัวของอิงลดาที่กำลังนอนเอนซบอยู่บนชิงช้าสีขาวตัวใหญ่ข้างตัวบ้าน ค่อยๆ ทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับ น่าเสียดายที่ไม้หอมๆ เหล่านี้มักจะส่งกลิ่นแค่ตอนเย็น พอสายหน่อยก็จะหมดซึ่งความหอม ร่วงโรยและเหี่ยวเฉาลงตามกาลเวลา ดูไปแล้วช่างน่าสงสารนัก! อิงลดามองไปยังต้นมลุลีกับต้นราชาวดีที่กำลังชูช่อล้อลม เชิดหน้าท้าทายไม้พันธุ์อื่นอย่างสง่างาม โดยมิหวั่นเกรงต่อสายลมที่กำลังพัดไหวหรือแสงแดดที่แผดกล้า ทั้งยังส่งกลิ่นหอมได้ทั้งวันทั้งคืน หญิงสาวเหลือบมองดอกคัดเค้าสีขาวที่ลักษณะดอกคล้ายคลึงกับดอกมลุลีมาก จนมักจะจำสับสนอยู่บ่อยครั้ง เธอไม่นึกแปลกใจ ว่าเหตุใดคนเราจึงมักจะตั้งชื่อผู้หญิงตามชื่อของดอกไม้ เหตุผลหลักคงมาจากชื่ออันแสนจะไพเราะเพราะพริ้ง ฟังแล้วอาจทำให้นึกถึงความสวย หรือความหอมของดอกไม้เหล่านี้ก็เป็นได้ โบราณมักจะเปรียบผู้หญิงกับดอกไม้ เช่นกุหลาบหรือกล้วยไม้ แล้วตัวเธอเล่า จะเหมือนกับดอกอะไรดี! หญิงสาวขยับกายลุกขึ้นนั่งจากท่านอนเอนซบหมอนใบนุ่ม มีหนังสือนิยายโรมานซ์ที่ยืมมาจากอินทิราผู้เป็นอาสาวถืออยู่ในมือ ทว่ามิได้ถูกเปิดอ่านแต่อย่างใด ดวงตาทั้งคู่เหม่อมองไปยังหลังคาด้านบนของตัวชิงช้าที่ถูกถักพันไว้ด้วยเถาเฟื่องฟ้าสีขาวสลับม่วง จนกลายเป็นซุ้มห้อยระย้าลงมาคลุมตัวชิงช้าไว้อย่างสวยงาม นับเป็นผลงานของธรรมชาติที่เสกสรรปั้นแต่งจนดูคล้ายฝีมือของมนุษย์กระทำขึ้นมาก็มิปาน แต่วันดีคืนดีก็มีเพื่อนไม่ได้รับเชิญอย่างงูเขียวขึ้นไปเลื้อยพันอวดโฉมอยู่ด้านบน แต่ก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเกิดความเกรงกลัวแต่อย่างใด นั่งบนชิงช้าแห่งความหลังตัวนี้ครั้งใด อิงลดาก็อดหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะปกติในเวลานี้จะต้องมีร่างของจักรพงษ์นั่งเคียงข้างอยู่แทบทุกครั้ง...แต่วันนี้เธอกลับนั่งอยู่เดียวดายเพียงลำพัง เพราะตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด สองหูจึงไม่ได้รับรู้หรือได้ยินเสียงรถยนต์ของอาชวินที่แล่นเข้ามาจอด แม้เจ้าตัวเดินมาจนใกล้จะถึงตัว ก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวแต่อย่างใด “น้ำอิง” เสียงเรียกของเพื่อนที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและยังคงปกคลุมไปด้วยความเหงาแวดล้อมตัวเธอ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ สะดุ้งโหยงจนเกือบจะพลัดตกชิงช้า ครั้นหันไปพบร่างสูงเพรียวจากเจ้าของเสียงยืนอยู่ด้วยสีหน้ารื่นรมย์ จึงหันไปต่อว่าเพื่อนเสียงขุ่น “ไอ้บ้านิก มาเงียบๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำเอาฉันเกือบตกชิงช้า” “เงียบที่ไหนกันเล่า ตกลงแกไม่ได้ยินเสียงรถฉันเลยรึไงน้ำอิง ถ้าขโมยเข้าบ้านแกจะรู้ตัวมั้ยเนี่ย” อาชวินเอ่ยปากบ่นเพื่อนก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างๆ “ก็ ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่เลยไม่ได้ยิน” อิงลดาตอบเสียงอ่อย เรียกสติที่ล่องลอยจากการคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ ให้กลับคืนมาโดยเร็ว คนเป็นเพื่อนหรี่ตามองร่างอรชรของผู้เป็นเพื่อนที่ยังใส่เสื้อยืดสกรีนคำว่า ‘หักอกก็แค่ผิดหวัง หักหลังมันรับไม่ได้’ อยู่ แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ตกลงแกสั่งทำเสื้อแบบนี้มาเป็นโหลรึไงวะน้ำอิง” คนถูกถามพยักหน้ารับแกนๆ “อืม เอาไว้ใส่ตอกย้ำความทรงจำ คิดแล้วยังแค้นใจไม่หายนะนิก มันปั้นหน้าหลอกฉันมาได้ตั้งสี่ปีเต็มๆ ไอ้เบื๊อกเอ๊ย” คำด่าที่หลุดจากปากของเพื่อนทำให้อาชวินมองอย่างขบขัน “ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่แกอกหักด่าเป็นไฟแลบเชียวนะน้ำอิง” คนถูกว่าอกหักตาเขียวเสียงขุ่นขึ้นมาทันที “แกอย่ามาว่าฉันอกหักนะนิกกี้ มันเป็นคำที่แสลงใจฉันมาก ฉันรับไม่ได้!” คำเรียกขานด้วยชื่อนิกกี้ที่หลุดออกมาจากปากของอิงลดา แสดงให้รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธ ก่อนเจ้าตัวจะข่มความรู้สึกดังกล่าวลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นไม่หาย “ถ้ามันมีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง ฉันคงแค่อกหักอย่างที่แกบอก ซึ่งไม่นานก็คงหาย แต่นี่มันเหมือนถูกหักหลังนะนิก มันเสียความรู้สึก ผิดหวังและเสียหน้า รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น ถูกผู้ชายแย่งแฟน” “ตกลงแกเสียความเชื่อมั่นที่ไอ้แจ๊คมีแฟนใหม่เป็นผู้ชาย มากกว่าเสียใจที่ถูกบอกเลิกว่า งั้นเถอะ” อาชวินถามเพื่อนเสียงกลั้วหัวเราะ เขายังจำดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำของอีกฝ่ายวันที่ถูกบอกเลิกได้ดี แต่ทว่าวันนี้แทบไม่เหลือร่องรอยของความโศกเศร้าทิ้งไว้ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย “นั่นสินิก วันนั้นฉันยังคิดว่าจะต้องเจ็บปวดรวดร้าวไปอีกนาน แต่ก็แปลกที่ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าฉันเจ็บแค้นมากกว่า” อิงลดาพูดด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คนเป็นเพื่อนเอนกายพิงพนักชิงช้าอย่างสบายอารมณ์ “แกลองคิดใคร่ครวญดีๆ แล้วกันน้ำอิง ที่แกบอกปาวๆ ว่ารักไอ้แจ๊คน่ะ ตกลงเป็นความรักหรือความเคยชินที่มีมันอยู่ข้างกายกันแน่ บางทีแกอาจไม่ได้รักมันเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่งั้นความรู้สึกที่ว่า มันคงไม่จางหายได้รวดเร็วอย่างนี้หรอก” คำพูดของเพื่อนนั้นจี๊ดโดนใจอิงลดาอย่างแรง ทว่าสมองของเธอตอนนี้ยังไม่พร้อมจะยอมรับความจริง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD