บทที่ 1 อยากได้เงินเพิ่มก็บอกตรงๆ

2461 Words
ทั้งที่ยืนอยู่ในอาคารขาเข้าของสนามบิน อารยากลับรู้สึกได้กลิ่นลมทะเลทราย หญิงสาวหันซ้ายแลขวาไม่มองหาคนที่จะมารับเธอแต่ดวงตาสีดำดุจนิลกลับมองหาที่มาของกลิ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เดินทางมาต่างประเทศและเป็นครั้งแรกที่มาเยือนดินแดนที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทราย แต่เธอแปลกใจที่ตัวเองมั่นใจว่าสิ่งที่สัมผัสได้คือสายลมแห่งทะเลทรายทั้งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอเดินวนไปมาเหมือนเด็กหลงทางแล้วร่างบางก็ต้องสะดุ้งเมื่อแขนเล็กถูกจับเบาๆ อารยาหันไปทันทีเธอจ้องมองชายร่างสูงใหญ่ในชุดดำทั้งชุดอายุราวสามสิบห้าปี แม้ริมฝีปากจะกระตุกยิ้มน้อยๆ แต่เธอก็รู้สึกว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง หญิงสาวถึงกับผงะถอยหลังแต่มือใหญ่ยังคงจับแขนเอาไว้  แม้เขาจะออกแรงไม่มากแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าน้ำหนักมือเขามากพอดู             “คุณอารยาใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขาพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้เธอดู  อารยารับมาดูอย่างหวาดๆ กระดาษแผ่นนี้นอกจากจะมีรูปถ่ายของเธอแล้วยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอและตำแหน่งหน้าที่ที่ทำให้เธอต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ “ผมชื่อกีวอน ท่านคาร์ดัลให้ผมมารับคุณอารยาครับ” “สวัสดีค่ะ” อารยายกมือไหว้แบบไทยๆ ทำให้อีกฝ่ายทำหน้างงๆ “ขอโทษที่แสดงกิริยาไม่สุภาพออกไป ดิฉันตกใจค่ะ”  เธอตอบเขาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วยิ้มอย่างโล่งอก อีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับและช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางไปที่รถลีมูซีนที่จอดคอยอยู่ หญิงสาวนั่งชิดกระจกรถพยายามองสองข้างทางของเมืองบาฮาเนีย ทั้งตื่นเต้นที่ได้นั่งรถหรู และยังได้เห็นบ้านเมืองที่แตกต่างไปจากบ้านเกิด “จะเปิดกระจกก็ได้นะครับ” กีวอนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ความจริงเขากลั้นหัวเราะ ไม่คิดว่าเธอจะแสดงสีหน้าและตื่นเต้นออกมาชัดขนาดนี้ “ได้หรือคะ” อารยายิ้มกว้าง กีวอนกดปุ่มอัตโนมัติกระจกเลื่อนลงจนสุดปล่อยให้สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าสวยหวานของหญิงสาว             “นี่เป็นเมืองหลวงของบาฮาเนียชื่อ เอล บาฮา” กีวอนอธิบาย  “ผู้หญิงแห่งทะเลทรายจะต้องมีผ้าคลุมหน้า ตั้งแต่บาฮาเนียนเปิดประเทศทำธุรกิจกับต่างชาติมากขึ้น เราก็ไม่ค่อยเคร่งครัดนัก แต่ถ้าเป็นไปได้คุณอารยาก็ควรจะมีผ้าคลุมหน้าของตัวเอง” “ค่ะดิฉันเข้าใจ” อารยาตอบทั้งที่สายตายังมองไปที่สองข้างทางที่รถแล่นผ่าน “ไม่เห็นทะเลทรายเลย เอ่อ...คือดิฉันอ่านในคู่มือว่าบาฮาเนียเป็นเมืองที่อยู่กลางทะเล”             กีวอนหัวเราะเปิดเผย แต่ก็ยังไม่ทิ้งมาดเข้มของตัวเอง  “ทะเลทรายอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณ ร้อยยี่สิบเจ็ดกิโลเมตร คุณอารยาไม่ต้องห่วงยังไงคุณต้องได้เห็นทะเลทรายแน่ๆ หรือบางทีคุณอาจจะไม่อยากนึกถึงมันเลยก็ได้”             “เป็นเมืองที่ดูสงบและเรียบง่ายจังเลยนะคะ”                 “แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละครับ”  กีวอนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดมากกว่าปกติ  “คุณอาจต้องใช้เวลาปรับตัวหน่อยกว่าจะรับความเป็นเมืองแห่งทะเลทรายนี้ได้”             ‘จะปรับตัวได้หรือไม่ได้ ยังไงฉันก็ต้องอยู่ที่นี้สองปี หรือไม่ก็หาเงินสองล้านไปคืนคุณคาร์ดัล’             อารยาแอบถอนหายใจเบา ๆ เธอมาทำงานใช้หนี้เงินสองล้านที่จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลแม่บุญธรรมของเธอ หญิงสาวทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เธอเคยเรียนการนวดแผนไทยจับเส้นคลายจุด เธอเชื่อว่าภูมิปัญญาชาวบ้านเหล่านี้จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานที่เธอทำอยู่ได้ แต่มันกลายเป็นว่าโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ไม่ยอมรับความคิดของเธอ และยิ่งรู้ว่าเธอไปบีบนวดจับเส้นให้ชาวบ้านที่ยากจนในวันหยุดของเธอ อารยาไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอายตรงไหน และยิ่งไม่เห็นว่ามันทำลายภาพพจน์ของโรงพยาบาลได้อย่างไร เธอกลับโดนบีบบังคับแทบทุกทางจนเธอต้องเป็นฝ่ายยื่นใบลาออก จนต้องระเห็จมาทำงานที่อนามัยเล็กๆของชุมชนที่เธออยู่ จากเงินเดือนหลักหมื่นเหลือหลักพัน แต่เพราะมีรายได้จากการนวดแผนโบราณที่เธอได้เรียนรู้มานั้นแหละที่เพิ่มรายได้ให้เธออีกทางหนึ่ง แต่อะไรก็ไม่ทำให้เธอลำบากใจเท่ากับที่ถูกเรียกว่า ‘หมอนวด’ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ใช่คนชอบดูถูกดูแคลนคนอื่น แต่เธอก็ไม่ชอบใจที่บางครั้ง คนบางคนก็มีความคิดต่ำ ๆ ว่าเธอใช้ร่างกายเข้าแลกเงิน             ‘ถ้าฉันสวยจริง ๆ คงไปเป็นดารานางแบบแล้วละ’             อารยานึกขำความคิดของตัวเอง เธอย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อน เธอเข้ากรุงเทพในเย็นวันศุกร์และพักกับเพื่อนไม่ไกลจากที่ทำงานนัก เพื่อนของเธอเปิดร้านสปาและมีบริการนวดแผนโบราณ อารยาจะทำงานพิเศษที่นี่อาทิตย์ละสองวัน        บ่ายวันเสาร์วันนั้น ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานพูดภาษาอังกฤษแต่สำเนียงแปร่งหูเหมือนชาวอาหรับ ไม่มีพนักงานกล้าตอนรับนัก ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษไม่คล่องแต่เพราะชายคนนี้มีบอดี้การ์ดมาร่างใหญ่เหมือนยักษ์วัดแจ้งมายืนคุ้มกันถึงหกคน             “ยาจ๋าช่วยไปดูหน่อยซิ” เปรมวดี หรือ แป๋ม เพื่อนสนิทของเธอเข้ามาขอร้อง             “ไม่เป็นไร ยาไปเอง” อารยายิ้มรับไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรอาจเพราะเคยชินกับลูกค้าวีไอพีที่เคยมารักษาตัวที่โรงพยาบาล             อารยาในชุดไทยมิดชิดเดินเข้าไปห้องพิเศษ แอบกลั้นหัวเราะที่เห็นบอดี้การ์ดหกคนยืนคุ้มกันเจ้านายที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอนเตี้ยๆ ห้องนี้เป็นห้องที่เปิดโล่งมองเห็นน้ำตกจำลองใกล้ๆ และต้นไม้สีเขียวขจีที่ถูกจัดให้เป็นสวยย่อมน่ารัก             “ขออนุญาตนะคะ”      อารยายกมือไหว้ก่อนที่จะลงมือกดจุดตามที่ร่ำเรียนมา  กล้ามเนื้อที่ไม่เคยถูกบีบนวดหรือกล้ามเนื้อที่มีความเครียดสะสมสูงจะแข็งและเกร็งมากทำมือเล็กต้องออกแรงมากกว่าปกติ  ขณะที่ไล่นิ้วมือไปตามแผ่นหลัง เธอก็เห็นรอยแผลเป็นหลายแห่ง   เธอไม่ได้รู้สึกหวาดหลัวหรือขยะแขยงแผลเหล่านั้น แต่บรรจงคลึงเพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น “สงสารฉันหรือไง” “เอ๊ะ!” อารยาสะดุ้งกับคำถาม “ท่านว่าอะไรนะคะ”  “สำเนียงอังกฤษเธอดีเหมือนกันนี่” “เอ่อ...ขอบคุณคะ”            อารยาไม่ค่อยชอบคุยกับลูกค้านัก เปรมวดีบอกว่าเขาลูกค้าต้องการนวดคลายเครียดหนึ่งชั่วโมง แต่เธอดูว่า...อาการเครียดสะสมของเขาน่าจะสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าจะให้ดีต้องใช้เท้าเหยียบด้วย แต่ก็นั้นแหละ! ขนาดว่าคนไทยด้วยกันเอง บางทีก็ถือเรื่องใช้เท้านวดแทนมือโดยเฉพาะผู้ชาย “ถ้ามีเวลาท่านน่าจะนวดต่ออีกสักชั่วโมงนะคะ โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้า” อารยาแจ้งให้ลูกค้าทราบ “หึ หึ ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็บอกตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีหรอก” อารยาฉุนกึก นี่ไม่ใช่ครั้งที่ถูกลูกค้าพูดจาแบบนี้ เธอถอนหายใจหนักๆ ระบายความหงุดหงิดในใจ  “ดิฉันต้องขออภัยแค่พูดไปตามอาการของท่าน แผลที่โดนกระสุนนั่น ดูท่าจะถูกละเลยไม่ใส่ใจจึงเป็นแผลเป็นเป็นก้อนนูนอย่างนั้น แล้วไตของท่านก็ทำงานหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และท่านยังมีความเครียดสะสมทำให้เป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ท่านยิ่งสมควรจะต้องดูแลสุขภาพมากกว่านี้” มือเรียวเล็กของอารยากดจุดตรงกลางฝ่าเท้าเพื่อทำการเปิดลมให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้คนถูกนวดถึงกับเผลอครางออกมาเบาๆ “แค่นวดเท่านั้นทำไมถึงรู้สึกดีจริง” “ร่างกายของคนเราบ่งบอกความเจ็บปวดได้ค่ะ การนวดแผนโบราณเป็นการบำบัดรักษาชนิดหนึ่ง คนไทยใช้วิธีควบคู่ไปกับการกินยามานานหลายร้อยปีแล้วค่ะ การกินยาอย่างเดียวไม่ได้ช่วยรักษาโรคได้เสมอไป” “เธอพูดเหมือนเป็นหมอ” “ฉันเคยทำงานในโรงพยาบาล ก็เลยติดพูดจาประสาหมอไปหน่อยค่ะ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เธอเองก็รู้สึกว่าเขาผ่อนคลายเพราะไว้ใจเธอมาก “เธอทำอะไรในโรงพยาบาลหรือ?” “เป็นนักกายภาพบำบัดค่ะ แต่อย่าถามนะคะว่าทำไมตอนนี้มาทำงานแบบนี้  เรื่องมันยาวค่ะ คุณอาจจะต้องเพิ่มอีกสองชั่วโมงก็ได้” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ “วันนี้ฉันไม่สะดวกแต่อีกสองวันฉันจะมาหาเธออีก” “ฉันมาทำงานเฉพาะเสาร์กับอาทิตย์ วันธรรมดาฉันต้องอยู่ที่อนามัย แต่พนักงานคนอื่นนวดกดจุดให้ท่านก็ได้นะคะ” “แต่ฉันว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความรู้เท่ากับเธอ” น้ำเสียงราบเรียบจนฟังคล้ายจะเป็นคำสั่ง  อารยาจำได้ขึ้นใจเป็นอย่างดี หลังจากเสร็จงานเธอไม่ได้สนใจลูกค้าคนนี้นัก เธอยังทำงานเป็นปกติเหมือนเดิม จนเปรมวดีโทรศัพท์มาหาเธอว่าลูกค้าอาหรับคนนั้นต้องการเรียกเธอไปบริการโดยเฉพาะ “ก็ฉันต้องทำงานที่อนามัยไปไม่ได้หรอกยัยแป๋ม” “แกเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเราไม่ได้เหรอ นี่ลูกค้าวีไอพีเชียวนะ เค้ายอมทุ่มไม่อั้น แกอาจจะได้ทิปมากกว่าเงินเดือนที่อนามัยแกอีกนะยะ” “ยิ่งพูดแบบนี้ฉันก็ยิ่งไม่อยากไป แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากไปทำงานที่สปาแกนักหรอก ถ้าฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ฉันก็ไม่ยอมเสียงานที่ฉันรักไปหรอกยะ”    อารยาวางหูโทรศัพท์ลงโดยไม่สนใจว่าเพื่อนรักจะพูดอะไรต่อ ใช่...เธอต้องเงิน เงินก้อนใหญ่เสียด้วยเพราะแม่บุญธรรมของเธอป่วยเป็นมะเร็ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ถูกสั่งสอนจนขึ้นใจว่าให้รักศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าชีวิตตัวเอง อารยาคิดว่าเปรมวดีคงโกรธเธอถึงขนาดตัดชื่อเธอออกจากบัญชีของความเป็นเพื่อน แต่ปรากฏว่า อีกสามวันหลังจากนั้น เปรมวดีก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอถึงที่อนามัย และข้างๆกันนั้นมีชายชาวอาหรับคนนั้นยืนอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังแต่เธอก็พอจะมองออกว่าเขากำลังยิ้มให้เธอ “งานที่นี่น่าสนุกแบบนี้นี่เอง คุณถึงไม่ยอมเข้าไปกรุงเทพ” เขาชวนคุยด้วยภาษาอังกฤษ คนรอบข้างเธอต่างงุนงงและแตกตื่น แต่มันยิ่งตอกย้ำความคิดในแง่ร้ายของคนบางคนว่าเธอหมอนวดประเภทเอาตัวนาบ “สงสัยเราจะคุยกันยาว เชิญที่ห้องพักดิฉันเถอะค่ะ”            อารายเดินนำไปที่ห้องพักของเธอซึ่งอยู่ที่ปีกขวาของอนามัย จะเรียกห้องพักก็ไม่ถูกนักเพราะมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้ นอกนั้นก็เป็นตู้เก็บเอกสารและหนังสือต่างๆที่เธอต้องใช้เป็นประจำ แต่มันก็ทำให้คนที่เข้ามารู้ได้ในทันทีว่าเธอเป็นคนสมถะเพียงใด “แกอย่าโกรธฉันนะ  เค้าขอร้องให้ฉันพามา” เปรมวดีกระซิบบอกเพื่อนเบาๆ “แน่ใจว่าเค้าขอร้อง ไม่ใช่ขู่บังคับ” “บ้าสิ ถ้าขู่จริงฉันไปหาตำรวจไม่ดีกว่าเหรอไม่มาหาแกแบบนี้หรอก” ดูเหมือนชายอาหรับจะไม่เข้าใจภาษาไทยที่สองสาวกระซิบกระซาบกัน เขานั่งนิ่งๆ แต่สายตามองไปรอบๆ เหมือนถูกใจที่ได้เห็นสภาพที่พักเธอเป็นแบบนี้ “ขออนุญาตแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ คาร์ดัล ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมประทับใจการบริการของคุณอารยาเป็นอย่างยิ่ง   คุณมีความรู้และความสามารถในวิชาชีพของคุณอย่างท่องแท้ และจากที่ผมสืบประวัติของคุณมา คุณมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ ‘ท่าน’ ต้องการ ผมในฐานะตัวแทนของ ‘ท่าน’ มีความสนใจจะเชิญคุณอารยาไปทำงานเป็นพยาบาลพิเศษให้ ‘ท่าน’ ที่เมือง เอล บาฮา ประเทศบาฮาเนีย ” เปรมวดีอ้าปากค้าง แต่อารยายังคงสงบนิ่งแม้ว่าจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินก็ตามที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด  เธอแทบไม่เคยได้ยินชื่อประเทศอะไรที่เขาเอ่ยมาเลยสักนิด “คุณสืบประวัติดิฉัน” อารยาทำเสียงสูงไม่ค่อยพอใจนัก  “ดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเท่าไหร่นัก แล้ว ‘ท่าน’ ของคุณเป็นใครกันค่ะ” “ท่านเป็นนายเหนือหัวของผม ตอนนี้ ‘ท่าน’ ป่วยเกี่ยวกับหมอนกระดูก ผมเคยได้ยินมาว่าการนวดแผนโบราณอย่างถูกวิธีจะสามารถบำบัดอาการเจ็บปวดจากโรคนี้ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และถ้าข้อมูลที่ผมได้รับมาไม่ผิดพลาดคุณเองก็พยายามจะเสนอทฤษฎีนี้แก่โรงพยาบาลที่คุณทำงานอยู่  แต่ถูกปฎิเสธจนคุณต้องมาทำงานที่อนามัยแห่งนี้  แต่ที่ต้องไปทำงานที่สปาของคุณเปรมวดีเพราะต้องการนำเงินมารักษาแม่บุญธรรมใช่มั๊ยครับ” ดวงตากลมโตของอารยาเบิกโตอย่างตกใจ  ไม่คิดว่าเขาจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอได้มากขนาดนี้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน “ผมมีค่าตอบแทนให้อย่างงามหากคุณอารายายอมไปดูแล ‘ท่าน’ ให้ผม ค่าตอบแทนที่คุณจะได้รับมันมากพอที่จะรักษาแม่บุญธรรมของคุณได้สบายๆ เลยทีเดียว  ผมสามารถมอบเงินสดให้คุณได้ในทันทีที่คุณตกลงใจไปทำงานกับผมที่บาฮาเนีย” ทั้งเปรมวดีและอารยามองหน้ากันอย่างงุนงง ค่าแรงที่มากพอสำหรับเป็นค่ารักษาให้แม่บุญธรรมได้นั้น  มันช่างมากจนน่าตกใจเสียจริง อารยาลังเล ระหว่างคำสอนที่ว่า ‘ต้องรักศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าชีวิตตัวเอง’ กับ ‘ตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ’ อย่างไหนจะสำคัญกว่ากัน.    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD