EPISODE 02.02 เพื่อนคุย

2537 Words
EPISODE 02.02 เพื่อนคุย ครืดดด ขณะที่ทยากรกำลังจมดิ่งกับความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันไปมา โทรศัพท์ก็ขึ้นแจ้งเตือนว่าฐากูรส่งข้อความมาหาเขาผ่านทางอินสตาแกรม พอกดเข้าไปอ่านข้อความแรกที่ส่งมาก็ยิ่งสร้างความงุนงงเข้าไปใหญ่ thakun_ttsg : ผมถึงบ้านแล้วนะ มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจว่าบอกทำไม แต่เพื่อมารยาทหลังจากเปิดอ่านข้อความแล้วก็ควรจะตอบกลับไปบ้าง thayakorn_toy : ครับ นอกจากคำตอบที่สั้นและกระชับนี้ ทยากรก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรกลับไปเช่นกัน เขาไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมารายงานตัวว่าถึงบ้านแล้วมาก่อน ไม่เข้าใจด้วยว่าบอกทำไม ในเมื่อต่างคนต่างก็โตแล้ว การกลับถึงบ้านได้มันก็ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นจนต้องบอกคนอื่นนี่นา thakun_ttsg : ส่งรูปภาพ thakun_ttsg : นาฬิการุ่นนี้ใช่ไหมที่คุณตามหาอยู่ ฐากูรเปิดหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจจนทยากรตาเบิกโพลง นาฬิกายี่ห้อดังที่ผลิตออกมาแค่เก้าเรือนในโลกประจักษ์ต่อสายตาเขา ความรู้สึกตอนนี้เหมือนทั้งคู่ได้คุยกันต่อในเรื่องของสะสมหลังจากที่คุยกันระหว่างมื้ออาหารไปบ้างแล้ว พวกเขาสะสมนาฬิกาเหมือนกัน thayakorn_toy : สวยมากกกกก ผมตามหามาทั้งปีก็ยังไม่ได้เลยครับ ของคุณฐาเป็นเรือนที่เท่าไหร่เหรอ? thakun_ttsg : เรือนที่ 9 ครับ เลขสวย เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้ครอบครองในสิ่งที่เขายังไม่มีก็ทำให้ทยากรรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย บางอย่างมีเงินอย่างเดียวก็ซื้อมาไม่ได้จริง ๆ thakun_ttsg : ผมมีเรือนอื่นอีกนะ คุณว่างคุยไหมล่ะ เดี๋ยวผมเอาให้ดู thayakorn_toy : ตอนนี้ก็ว่างนะครับ thakun_ttsg : งั้นผลัดกันดูนะ ผมก็อยากเห็นของคุณเหมือนกัน thayakorn_toy : ได้ครับ thakun_ttsg : Video Call ทยากรตกใจที่ฐากูรวิดีโอคอลมา เขาคิดว่าจะแลกกันดูภาพถ่ายนาฬิกาเสียอีก แต่ถ้าโทรมาขนาดนี้จะไม่กดรับสายมันก็ยังไงอยู่เพราะเพิ่งบอกไปว่าว่าง ซึ่งการคุยกันผ่านวิดีโอคอลครั้งนี้จะต้องไม่ให้เห็นหน้าเด็ดขาด ถ้าเห็นว่าแก้มเขาบวมตุ่ยจากการถูกตบคงจะดูไม่ดีนัก หลังจากกดรับสายแล้วจึงได้เห็นหน้าของฐากูรเต็ม ๆ ต่างจากทยากรที่เปิดกล้องหลังแล้วฉายไปเบื้องหน้าพลางเดินจากหน้ากระจกไปยังโซนห้องแต่งตัวที่เป็นส่วนเก็บสะสมนาฬิกาของเขา “ผมขอดูของคุณฐาก่อนแล้วกัน มีเรือนไหนแรร์ไอเทมแบบหายากสุด ๆ ไหมครับ” “ก็มีหลายเรือนนะครับ เดี๋ยวผมเอาให้ดู” ปลายสายพลิกกลับไปเป็นกล้องหลังก่อนจะถ่ายนาฬิการาคาแพงแถมหายากให้ทยากรดู ซึ่งเขาก็ตั้งใจดูแต่นาฬิกาจนไม่ทันได้ระวังตัวว่ากล้องฝั่งตัวเองนั้นสะท้อนกับกระจกในห้องแต่งตัว แถมเห็นใบหน้าฝั่งที่บวมแดงนั้นเต็ม ๆ “โอ๊ะ ขอดูเรือนที่สายสีน้ำเงินหน่อยครับ ผมไม่เคยเห็นเลย” “แดงจัง” “ครับ?” “อ้อ จะดูเรือนนี้ก่อนใช่ไหมครับ ได้เลย” ฐากูรเห็นแล้วว่าใบหน้าสวยนั้นได้รับบาดเจ็บที่แก้มข้างหนึ่ง เขาค่อนข้างตกใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ดีหน่อยที่กดพลิกกล้องเป็นกล้องหลังแล้ว หากกล้องสลับมาเป็นกล้องหน้า ทยากรคงได้เห็นว่าเขามีสีหน้าตื่นตระหนกแค่ไหน ที่ตกใจไม่ใช่เพราะเป็นห่วงหรืออยากรู้เรื่องส่วนตัวอะไร เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจจะตรงกับภาพที่เขาเห็นตอนจับมือกันเป็นครั้งที่สองก็ได้ คนเราจะใบหน้าบวมแดงขนาดนั้นได้อย่างไรหากไม่ถูกทำร้าย แล้วภาพที่ฐากูรเห็นว่าทยากรโดนใครสักคนตบก็ฉายวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง หากไล่เรียงภาพที่เห็นกับรอยที่แก้มมันก็กลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเพิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเดี๋ยวนี้เองว่าภาพแปลก ๆ ที่เห็นนั้นมันคือลางบอกเหตุล่วงหน้า และมันจะเกิดเฉพาะตอนกุมมือกันเท่านั้น เรื่องนี้พิสูจน์มาแล้วเพราะตอนที่ใช้เวลาช่วงเย็นอยู่ด้วยกันก็มีถูกเนื้อต้องตัวกันเล็กน้อยแต่ก็ไม่เห็นภาพอะไร “คุณฐา เอ่อ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ จู่ ๆ ก็เงียบไป” “เปล่าครับ” “ผมขอดูเรือนสีทองหน่อยได้ไหมครับ รุ่นนี้ผมก็มีนะแต่หน้าปัดคนละสี ของผมสีเงิน” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มหลังจากได้ยินเสียงร่าเริงจากปลายสาย รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยต่อให้ทยากรจะเจอเรื่องใดมา เขาก็คงปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้หลังจากได้คุยกันในเรื่องที่ผ่อนคลาย และเรื่องเดียวที่พวกเขาคุยกันโดยไม่ขัดแย้งคือเรื่องนาฬิกาที่ต่างฝ่ายต่างสะสมกันอยู่ ทุกอย่างดูลื่นไหลแถมเข้าถึงกันและกันง่ายขึ้นมาก “แล้วคุณทอยมีเรือนนี้หรือยัง ผมว่าผมจะปล่อยแหละ” กล้องเบนไปยังนาฬิกาเรือนหนึ่งที่มีหน้าปัดเป็นวงกลมขนาดสี่สิบมิลลิเมตร ด้านในใช้เลขโรมันแทนหน่วยกำกับชั่วโมง อีกทั้งยังมีหน้าปัดเล็ก ๆ อีกสองวงที่บอกทิศทางและอุณหภูมิ ส่วนสายเป็นสายหนังที่ด้านนอกสีดำ ด้านในสีน้ำตาล เรือนนี้ฐากูรเพิ่งได้มาไม่นานนัก แต่วางแผนจะขายออกแล้วไปสะสมรุ่นอื่นแทน “สวยออก คุณฐาจะขายเท่าไหร่ครับ?” “เรือนนี้ราคาตลาดยังไม่แรงนะครับ แบรนด์เขาเพิ่งประกาศ Sold Out ไปเมื่อต้นปีเอง ผลิตมาหนึ่งพันเรือน ผมปล่อยที่เจ็ดแสนครับ แต่อนาคตราคาขึ้นแน่นอน” “งั้นผมเอาครับ เจ็ดแสนใช่ไหม เอาเลขบัญชีมาเลย” “ถ้าคุณทอยรับไปดูแลต่อ ผมลดให้อีกหน่อยแล้วกัน ผมเอาห้าแสนพอ” “ลดเยอะจังครับ เยอะเกินไป เจ็ดแสนผมก็จ่ายได้นะ” ทยากรคิดว่าอีกฝ่ายลดราคาให้เพราะเกรงว่าเขาจะไม่มีเงินจ่าย ซึ่งไม่ใช่เลย ต่อให้ราคาแพงกว่านี้เขาก็จ่ายไหว “ราคามิตรภาพน่ะครับ ตกลงตามนี้แหละ งั้นผมขอดูนาฬิกาที่คุณทอยสะสมบ้างสิครับ อยากเห็นจัง” บทสนทนายังคงลื่นไหลต่อเนื่อง พวกเขาโชว์นาฬิกาที่สะสมให้กันและกันดูอย่างเป็นมิตร การวิดีโอคอลหากันครั้งนี้ถือว่าฐากูรโทรมาถูกจังหวะมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรง บางทีทยากรก็ต้องการใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องปลอบโยนเขาด้วยคำหวานก็ได้ ขอแค่มีใครที่ชวนเขาคุยเรื่องอื่นไปได้เรื่อย ๆ ให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก็พอ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ชักนำไปในทางที่เกินเลยแน่นอน ทั้งคู่มองกันและกันเป็นเพื่อนใหม่ อีกทั้งยังสะสมของประเภทเดียวกันจึงคุยกันถูกคอ เรื่องอื่นคุยกันอย่างสนุกสนานได้หมดยกเว้นเรื่องงานจริง ๆ ที่ไม่ว่าใครจะหลอกถามอะไรอีกฝ่ายก็จะทำเสียงเข้มใส่กันเสียทุกครั้ง หากเป็นคนอื่นก็คงจัดสถานะได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนรู้จักกันที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจ ก็คงไม่ต่างจากทายาทตระกูลอื่นที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ส่วนมากก็จะรู้จักกันห่าง ๆ พอคุยกันได้ แต่นี่คือทายาทตระกูลคู่แข่งที่ฟาดฟันกันมานานถึงสามสิบปี อีกทั้งยังมีเรื่องภาพในหัวที่เห็นว่าอีกฝ่ายประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม ทว่าต่างฝ่ายกลับไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริง เลยอยากขัดขวางทุกทาง ซึ่งจะขัดขวางได้ก็ต้องสนิทกันมากกว่านี้จนรู้เขารู้เราเสียก่อน ฐากูรจึงต้องคิดแผนการนัดรับนาฬิกาเรือนที่ทยากรขอซื้อไปดูแลต่อให้ได้ในเร็ววันนี้ เขาอยากใช้เวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกันผ่านการกินข้าวอีกสักมื้อเพื่อหลอกถามเรื่องงาน แต่ทยากรเหมือนจะรู้ทันจึงตอบปัดไป เขาต้องการดูเชิงอีกฝ่ายก่อนเพราะไม่รู้เลยว่าฐากูรจะมาไม้ไหน “ผมก็ไม่รู้ว่าจะว่างวันไหนเหมือนกันครับ พอดีงานที่บริษัทเยอะมาก” “งั้นเอาที่สะดวกก็ได้ครับ ว่างเมื่อไหร่ก็ทักมานะ เดี๋ยวผมไปหา” “ปกติคุณฐาใจดีแบบนี้กับทุกคนไหมครับ แบบนี้พนักงานในบริษัทรักตายเลย ถึงว่าบริษัทเจริญเอา ๆ” “ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละครับ แต่ก็ไม่เคยวิดีโอคอลให้ใครดูนาฬิกาแบบนี้หรอก” พวกเขาโชว์นาฬิกาของตัวเองจนหมดทุกเรือนที่มีแล้ว บทสนทนากำลังเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแทน ทยากรค่อนข้างสบายใจที่จะคุยต่อจึงเดินกลับมาทิ้งตัวนอนที่เตียง ปล่อยกล้องให้เงยขึ้นบนเพดานทั้งที่ฐากูรก็สลับมาถ่ายหน้าตัวเองแล้ว “นี่ ผมถามหน่อยสิ คุณฐาว่าผู้ใหญ่จะคิดยังไงที่พวกเรารู้จักกัน” “บ้านผมไม่มีปัญหานะ ผมเล่าเรื่องคุณให้พ่อกับแม่ฟังแล้วด้วย” “เล่าว่าอะไรครับ มีอะไรให้เล่าในเมื่อเพิ่งเคยเจอกันวันแรก” “ก็บอกไปว่าคุณทอยเป็นคนน่ารักมาก คุยกันถูกคอมาก ๆ ด้วย พ่อแม่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บ้านผมไม่ได้ยึดติดว่าห้ามข้องเกี่ยวกันกับตระกูลคุณน่ะ ทุกคนให้อิสระกันและกัน” “...” คำตอบของฐากูรที่เป็นคำโกหกเกือบทั้งหมดทำให้ทยากรคิดตาม ความเป็นจริงคือเขาไม่ได้เล่าเรื่องวันนี้ให้ผู้ใหญ่ฟังเลย ที่บ้านตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ว่าครอบครัวจะไม่ว่าอะไรหากรู้ว่าเขากับทยากรรู้จักกัน สิ่งที่ฐากูรทำอยู่ตอนนี้คืออยากรีบตีสนิทให้เร็วที่สุด อยากรู้จัก อยากให้ทยากรเปิดใจจนพูดคุยกันเรื่องอื่นได้มากขึ้น ถ้าความสัมพันธ์ดำเนินไปจนถึงจุดนั้นจริงก็คงหลอกถามเรื่องงานได้ไม่ยากนัก การได้รู้เรื่องงานคือเป้าหมายที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก “คุณทอยเงียบแบบนี้แสดงว่าที่บ้านไม่โอเคสินะครับ ผมเข้าใจพวกผู้ใหญ่นะ แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ทำไมเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้” “ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ วันหนึ่งเราสองคนอาจทำตัวไม่ดีใส่กันก็ได้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่โทรมาคุยเป็นเพื่อนนะครับ” “ขอบคุณทำไม ผมอยากโทรไปเอง แล้วก็...ฟังจากเสียงเหมือนคุณทอยจะมีเรื่องไม่สบายใจ ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่อยากบอกว่าขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนะครับ ขอให้หาทางออกเจอโดยเร็ว ถ้าไม่รังเกียจอัลฟ่าอย่างผมก็ทักมาปรึกษาได้ตลอดเลยนะ จะเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน ผมช่วยเหลือได้หมด” ฐากูรสาดความใจดีใส่เสียจนทยากรเกือบซึ้งใจ แต่พอเรียกสติได้ ริมฝีปากบางก็เบะคว่ำลงเล็กน้อยด้วยท่าทางเย้ยหยัน เขาดูออกว่าอีกฝ่ายพยายามตีสนิทอย่างมาก ซึ่งทยากรก็เต็มใจเปิดทางให้เข้ามาเพื่อที่จะได้สนิทกันไว้ อนาคตข้างหน้าเขาก็อยากรู้ความเป็นไปในองค์กรคู่แข่งเหมือนกัน เผื่อจะสนิทถึงขั้นเล่าสู่กันฟังได้ “คุณฐาก็เหมือนกันนะครับ ถ้ามีเรื่องอะไรอยากระบายหรืออยากปรึกษาก็ทักมาได้ ผมพร้อมรับฟัง” “เอาเป็นว่าถ้าว่างวันไหนก็ทักมาบอกนะครับ จะได้เอานาฬิกาไปให้” “ได้ครับ” “อย่าลืมทักมานะ” “ครับผม” “ไม่มีธุระก็ทักมาคุยได้นะครับ” “อ้อ ครับ บายครับ” ทยากรเป็นฝ่ายกดวางสายก่อน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าตัวเองเผลอพูดเรื่องส่วนตัวออกไปบ้างหรือไม่ ยิ่งอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวก็ยิ่งควบคุมไม่ค่อยได้ แต่ถึงแม้ว่าทยากรจะไม่ได้พูดในสิ่งที่ฐากูรอยากรู้ออกมา ทว่าเขากลับได้ข้อมูลของอีกฝ่ายมากขึ้น ฐากูรได้รู้ว่าทยากรเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน สังเกตจากการที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ มันมีหลายอย่างที่บ่งบอกได้ว่าภายใต้บุคลิกหยิ่งยโสนั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้พิษภัยคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้รู้ว่าห้องนอนของทยากรนั้นตกแต่งแบบไหน ชอบสีโทนไหน สะสมนาฬิกาสไตล์ไหน ที่สำคัญคือรู้ว่าความสัมพันธ์ของทยากรกับที่บ้านไม่ค่อยดีนัก หรืออาจจะไม่ดีมาก ๆ เลยก็ได้ ดูจากใบหน้าที่บวมแดงและบทสนทนาก่อนวางสายคงมีต้นเหตุมาจากคนที่บ้าน เรื่องนี้ฐากูรยกให้เป็นจุดอ่อนจุดใหญ่ที่เขาหาเจอจากอีกฝ่าย วันหน้าอาจจะใช้เป็นข้อต่อรองอะไรได้บ้าง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเชิดชูเรื่องนี้มาเป็นข้อได้เปรียบเสียทีเดียวถ้ามันต้องแลกด้วยการที่ทยากรโดนทำร้าย ‘ไหนว่าเป็นทายาทคนสำคัญไงวะ ใครกล้ามาตบเขาแบบนั้น’ ในใจของฐากูรอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ การได้รู้จักกับทยากรเพียงหนึ่งวันนำพาความคิดหลากหลายมาให้เขาปวดหัวได้ตลอดเวลา นี่ยังไม่รวมที่ต้องจัดการภาพในหัวที่เห็นตอนจับมือกันนั่นอีก เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมถึงเป็นแค่กับโอเมก้าคนนี้คนเดียว ‘ชื่อทอยที่แปลว่าของเล่นใช่ไหม งั้นก็มาเล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้กำลังเหงาเลย’ เขาคิดในใจด้วยความรู้สึกเหนือกว่าทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทยากรเองดูเกมออกตั้งแต่แรก เพียงแต่พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครรู้ว่าต่างฝ่ายก็ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน เห็นภาพแปลกในหัวเหมือนกัน และต้องการขัดขวางเหตุการณ์ภาพแรกที่ได้เห็น พวกเขารู้ว่าการจะทำให้อีกฝ่ายคายข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรออกมาคงไม่ง่าย แต่ก็ต้องทำให้ได้แม้จะยุ่งยากแค่ไหนก็ตาม ฐากูรต้องการให้ทีทีเอสกรุ๊ปเป็นที่หนึ่งตลอดกาล และทยากรก็อยากพาพีซีเคปิโตรเลียมขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งเหมือนกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD