“ยัยเฟย์มาแล้วค่ะคุณย่า” เสียงหวานใสดังขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทเดินนำผู้เป็นอาเข้ามาบริเวณห้องนั่งเล่นที่ทุกคนกำลังนั่งเล่น นั่งคุย กันอยู่
เคเซียวิ่งเข้าไปคล้องแขนเพื่อนสนิทก่อนจะจับจูงพาเดินเข้าไปหาประมุขหญิงของบ้านที่นั่งอยู่บนโซฟาหลังใหญ่
“สวัสดีค่ะคุณย่า สวัสดีค่ะ...” นาฬิริณทร์ยกมือไหว้คุณหญิงอำภาด้วยท่าทางนอบน้อม ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่คนอื่นๆ ตามที่เคเซียเป็นคนแนะนำ รวมทั้งคุณภูมิและคุณจารวี พ่อแม่ของเคเซียด้วยซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะเคยพบกันหลายครั้ง เมื่อได้คุยเคยกันเรื่องสนทนาก็มีให้พูดให้คุยให้ถามกันจนเวลาล่วงเลยสักพัก
ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาบอกเวลาใกล้จะห้าโมงเย็น เขาจึงเอ่ยขัดบทสนทนาของผู้เป็นแม่กับหลานสาวที่ขยันพูดขยันถามถึงชีวิตส่วนตัวอื่นๆ ของนาฬิริณทร์ บางเรื่องที่เคเซียรู้อยู่แล้วก็แสร้งถามทำเป็นอยากรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“จะเย็นแล้ว ยังจะอยากไปเดินเล่นอยู่ไหม” ประโยคคำถามที่ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษทำให้ทุกคนในห้องต่างพากันเงียบกริบ และหันมาสนใจชายหนุ่มที่นั่งเงียบอยู่ไม่ไกลจากภูมิและจารวีมากนัก เพราะสายตาของพุฒิภาคย์นั้นจับจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นพรมราคาแพงข้างหลานสาวของเขา
“เอ่อ...อยากค่ะ”
“งั้นดีเลย พาน้องเขาไปเดินเล่นก่อน พอดีล่ะกลับมาจะได้ทานข้าวเลย” คุณหญิงอำภาเห็นดีเห็นงามด้วยทันที เพราะส่วนลึกถูกใจหญิงสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย ยิ่งหลานสาวสุดที่รักการันตีก็ยิ่งชอบใจ ยิ่งเอ็นดูมากขึ้น แม้อายุจะห่างจากลูกชายของเธอมากเกินไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายหรือน่าเกลียดอะไรนัก พื้นฐานครอบครัวก็ดีพ่อแม่เป็นข้าราชการ มีธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัวทำหลังเกษียณ ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ก็ถือว่าพอมีฐานะใช้ได้
พุฒิภาคย์ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถกอล์ฟพานาฬิริณทร์ชื่นชมความยิ่งใหญ่และงดงามของทิวทัศน์และบรรยากาศโดยรอบที่ถูกตกแต่งไว้อย่างลงตัวบนเนื้อที่กว่าสามสิบไร่ ทั้งสวนดอกไม้ น้ำตกจำลองขนาดย่อม รวมไปถึงบึงสระบัวขนาดใหญ่ ที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางให้คนในครอบครัวและคนในปกครองได้พักผ่อนหย่อนใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอได้ตระหนักรู้ว่าคนในครอบครัวของพุฒิภาคย์จะมีบ้านเดี่ยวเป็นของตนเองมีสัดส่วนของใครของมันเพราะคุณหญิงอำภาอยากให้ลูกหลานได้อยู่ใกล้ชิดกันไม่ห่างเหินกันจนเกินไปแต่ก็มีความเป็นส่วนตัวจึงทำให้ทุกบ้านมีลักษณะคล้ายกับโครงการจัดสรรซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของครอบครัวศาตนันท์
ชายหนุ่มพาเธอนั่งรถชมจนทั่วก่อนจะมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังใหญ่สามชั้นตกแต่งสไตล์โมเดิร์น รอบๆ บริเวณบ้านถูกล้อมกั้นด้วยรั้วต้นไม้สูงเกือบท้วมศีรษะช่วยบดบังสายตาได้ไม่มากก็น้อย
“คุณอยากจะเข้าไปดูในบ้านของผมมั้ย”
“ค่ะ เฟย์อยากดู” ได้ยินคำตอบเขาจึงลุกเดินนำเธอเข้าไปด้านในตัวบ้าน ซึ่งเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปด้วยการตกแต่งที่เน้นแบบเอิร์ธโทนเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูสงบ เรียบง่าย
“บ้านอาภาคย์น่าอยู่จังเลยค่ะ มีต้นไม้เยอะด้วย ไอเดียอาภาคย์ตกแต่งเองทั้งหมดเลยหรอคะ” เขากวาดสายตามองรอบๆ บริเวณภายในบ้านที่เขาไม่ค่อยได้มาอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ที่เพนท์เฮาส์เสียมาก ทุกครั้งที่กลับมาก็จะไปนอนที่บ้านหลังใหญ่กับคุณแม่ของเขา
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำเพียงสั้นๆ นัยน์ตาสีนิลมองไปยังโซฟาหนังแท้สีน้ำตาลอ่อนที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขกด้วยใบหน้านิ่งขรึมเมื่อได้ระลึกคิดถึงใครบางคนที่ทำให้เขาต้องคิดถึงทุกครั้งเมื่อหวนกลับเข้ามาในบ้างหลังนี้
“ห้องครัวน่ารักจังเลยค่ะอาภาคย์ มีอุปกรณ์ครบเลย อาภาคย์ทำขนมเป็นด้วยหรอคะ” หญิงสาวที่กำลังเดินอยู่บริเวณห้องครัวสะดุดกับอุปกรณ์มากมายสำหรับทำขนม รวมทั้งตู้เตาอบขนาดใหญ่ทำให้เธอนึกสนใจว่าชายหนุ่มร่างกำยำคนนี้สนใจการเข้าครัวทำขนมด้วยอย่างนั้นหรือ
“ผมให้คนเขาจัดเตรียมไว้เฉยๆ ไว้สำหรับในอนาคตน่ะครับ เผื่อผมมีครอบครัวแล้วภรรยาผมเขาชอบทำขนม”
“อ่อค่ะ” จู่ๆ หัวใจก็เต้นระรัวเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากเขา ไม่แน่ใจว่ามันจะมีความหมายแอบแฝงหรือไม่ แต่หล่อนกลับใจเต้นแรง รู้สึกขวยเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น แก้มนวลระเรื่อแดงขึ้น ไม่กล้าหันไปสบตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ทั้งๆ ที่ประโยคเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายถึงเธอเลยสักนิดแต่หล่อนก็ยังอดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้
“คุณชอบทำขนมหรือเปล่า” ประโยคคำถามง่ายๆ แต่กลับทำให้ใจคนฟังใจกระตุก วูบไหวอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากนึกเข้าข้างตนเอง แต่เธอก็รู้สึกแบบนั้นไปเสียแล้วสิ
“ค่ะ เฟย์ชอบทำขนม ชอบทำขนมไทย เบเกอรี่ก็ชอบค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา แสร้งมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ด้านนอกที่มองเห็นการตกแต่งที่เน้นธรรมชาติทั้งน้ำตกจำลองขนาดเล็กกับสระน้ำที่มีสีสวยหลากหลายขนาดแหวกว่ายอยู่ พลางนึกจินตนาการไปถึงหากว่าเธอได้มาทำขนมหรืออาหารที่นี่คงเพลินและมีความสุขมากแน่ๆ เพราะมีทิวทัศน์ด้านนอกที่น่ามอง บ้านก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ อาหารที่ทำคงจะรสชาติอร่อยเพิ่มขึ้นเป็นแน่
“คิดอะไรอยู่หรอครับ” เสียงทุ้มที่ดังจากด้านหลังทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะหัวใจดวงน้อยแทบจะหยุดเต้นเมื่อเจ้าตัวหมุนกลับไป จมูกของเธอชนเข้ากับแผงอกกว้างที่มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังจนเกือบชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อุ้ย!!! ขอโทษค่ะอาภาคย์ ทำไมมายืนอยู่ใกล้จังคะ”
อาภาคย์ไม่รู้ตัวเลยหรือไง ว่าทำแบบนี้คนมันไหวหวั่นนะ
หล่อนนึกค่อนขอดเขาอยู่ในใจ ทั้งรูปร่าง หน้าตาดีหุ่นก็ดี สูงใหญ่กล้ามแน่น แบบนี้ใครอยู่ใกล้จะไม่หวั่นไหวบ้างล่ะ นิสัยก็ยังสุภาพ เรียบร้อย พูดน้อยแต่น่าฟัง มันทำให้เธอไม่อยากเดินออกไปไหน อยากจะหยุดอยู่ตรงนี้กับอาภาคย์ให้นานๆ เสียแล้ว
“เมื่อกี้ผมเรียกแล้วคุณไม่ได้ยิน เรามีเรื่องต้องคุยกันจำได้ไหมนาฬิริณทร์”
“จะ...จำได้ค่ะ อาภาคย์ก็ถอยออกไปหน่อยสิคะ ยืนใกล้แบบนี้จะคุยได้ยังไง” ชายหนุ่มถือวิสาสะจับมือหญิงสาวเดินไปนั่งยังชุดเก้าอี้รับแขก มองหน้าเธอนิ่งนานอยู่หลายนาที
“คุณรู้ไหมว่าทำไมวันนี้เซียลถึงชวนคุณมาทานข้าวที่บ้าน”
“ไม่รู้ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“คุณแม่ผม จะให้ผมแต่งงานกับคุณ”
“เอ่อ...อะไรนะคะ”
“แล้วผมก็คิดไว้แล้วว่าผมควรรับผิดชอบคุณด้วยการแต่งงาน”
“เอ่อ...คือ แต่เรา....เอ่อ ยังไม่เคยคบกันเลยนะคะ ถึงขนาดจะต้องแต่งงานเลยเหรอ”
“วันนั้นผมไม่ได้ป้องกัน แล้วคุณก็ไม่ได้กินยาใช่ไหม” หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ พยายามคิดย้อนไปถึงวันนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มือเล็กเผลอจับไปที่หน้าท้องของตนเองทันที
“แม่ผมท่านไม่ยอม ท่านกลัวว่าคุณจะท้อง วันสองวันนี้ท่านอาจจะเข้าไปคุยกับพ่อแม่คุณ ผมอยากให้คุณเตรียมใจไว้ก่อน”
“มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอคะ”
“ไม่มีแล้วครับ ผมรู้นิสัยแม่ผมดี แต่ถ้าคุณไม่อยากแต่งงาน ลองคิดทบทวนดูก่อนก็ได้นะ ผมเองก็ไม่อยากบังคับคุณ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมพร้อมรับผิดชอบคุณ”
“การรับผิดชอบไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากได้ยินหรอกคะอาภาคย์ เอาแบบนี้ได้ไหมคะ อาภาคย์รังเกียจเฟย์ไหมคะ”
“ไม่ครับ” เขาตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด
“อาภาคย์คะ” นาฬิริณทร์เอ่ยเรียกชื่อเขาหลังจากได้ยินคำตอบแล้วนิ่งไปนานร่วมนาที หล่อนพยายามคิดไตร่ตรอง ก่อนที่จะเอ่ยออกไป
“ครับ”
“เอ่อ...ถ้าเราต้องแต่งงานกัน งั้นตอนนี้เราสองคน...เอ่อ มีสถานะแบบไหนหรอคะ”