ปี้น!
เสียงแตรรถดังลั่นเรียกให้คนเพ้อตื่นจากฝันกลางวัน
รถซูซูกิสวิฟท์สีแดงเลือดหมูขับปาดหน้า แล้วเข้าซองจอดที่กำลังเล็งไปต่อหน้าต่อตา พัชระหน้ามุ่ยก่อนจะตบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย ฮอนด้าซีวิคของเขาจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ตั้งใจจะรอดูหน้าของคนขับรถไร้มารยาท ทั้งแซงทั้งปาดจนเกือบจะชนรถเขาเสียหน่อย
เมื่อได้เห็นหน้าเจ้าของรถก็อดขำไม่ได้ ชุดที่เธอคนนั้นใส่คล้ายกับตุ๊กตาบาร์บี้ ชายกระโปรงทิ้งระย้าทับซ้อนกันไม่รู้ตั้งกี่ชั้น ดูเหมือนว่าแฟชั่นแปลก ๆ จะหวนกลับมาฮิตอีกครั้ง
คิดว่าใส่ชุดโลลิต้าแล้วน่ารักมากมั้ง เขาอดที่จะเหน็บไม่ได้ ถึงจะหน้าตาดี แต่หักลบกับมารยาทแล้วคะแนนเหลือแค่ศูนย์ เธอคนนั้นไม่หันกลับมามองหน้าของพัชระเสียด้วยซ้ำไป
“เด็กอะไรไม่มีมารยาท” เขาต่อว่าด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่น มองตามร่างเล็กสวมชุดฟูฟ่องเดินหายเข้าไปในล็อบบี้ คาดเดาว่าถ้าไม่ใช่คนเพิ่งได้ใบขับขี่มา ก็คงพวกเด็กน้อยอายุไม่เกินยี่สิบปี
พัชระพ่นลมหายใจขณะวนหาที่จอดใหม่ เป็นถึงหมอแต่จะให้มามีเรื่องเพราะที่จอดรถก็อย่างไรอยู่ เจ้าตัวให้อภัยอย่างเสียไม่ได้ แอบคาดโทษในใจว่าหากเจอแม่เด็กคนนี้ทำนิสัยแบบเดิมอีก รับรองว่าเขาไม่จบเท่านี้แน่
ทางบ้านของพัชระเป็นตระกูลเก่าและมีฐานะค่อนข้างดี พ่อแม่ไม่ชอบใจเพื่อนสาวคนสนิทของลูกชายนัก พวกเขามองว่าอาชีพนักแสดงเป็นพวกเต้นกินรำกินและไร้ความมั่นคง มธุรดาขาดคุณสมบัติของสะใภ้ที่ช่วยเชิดหน้าชูตาให้วงศ์ตระกูล
มธุรดาอายุสามสิบสาม มากกว่าพัชระตั้งสามปียิ่งไม่คู่ควรใหญ่ ได้เมียแก่ไม่ว่า ตอนนี้มธุรดาใกล้จะสามสิบห้าปีแล้ว หากมีลูกก็สุ่มเสี่ยงไม่สมบูรณ์ ดีไม่ดีไข่ของเธออาจจะฝ่อ หรือมดลูกอาจแห้งไปแล้วก็ได้
พัชระเคยออกตัวแรง อยากแนะนำเธอให้ครอบครัวรู้จัก แต่ถูกพ่อกับแม่เบรกหัวทิ่มก่อน จากนั้นมาจำต้องรักษาระยะห่างเพราะครอบครัวไม่เห็นด้วย ได้แต่หวานอมขมกลืนไม่กล้าสารภาพรัก เขาไม่อยากให้มธุรดาเสียความรู้สึกและตัดขาดความเป็นเพื่อนไป
คำพยากรณ์ของหมอดูยังคงตามหลอกหลอน มธุรดาคิดไม่ตก ทำงานเกือบวันละยี่สิบชั่วโมงแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่อยผู้ แถมไอ้เรื่องที่ว่าจะได้เงินเพราะผู้ชาย ก็ไม่เคยมีอยู่ในสมองเธอแม้แต่น้อย
มธุรดาเดินลากสังขารเข้ากองถ่ายไปด้วยความหดหู่ ภาวนาขอให้วันพรุ่งนี้มีช่องทางหาเงินมาจ่ายหนี้สิบกว่าล้านนั่นด้วยเทอญ
ณ โรงพยาบาลอัศวิเวชน์
นายแพทย์ปรมะยืนสูดอากาศผ่านก้นกรองราคาแพงเข้าปอดจนเต็มที่ กำลังจะถึงวันหยุดของผู้บริหารอย่างเขาแท้ ๆ แต่กลับต้องมาปวดหัว ทั้งยังแบกความกดดันเพราะเรื่องไร้สาระ
‘โอ๊ย! หัวจะปวด’
นี่มันพ.ศ.ไหนเข้าไปแล้ว เขากำลังจะถูกจับคลุมถุงชน คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้มาบอกโดยตรง แต่ แสงจันทร์ แม่บ้านประจำคฤหาสน์อัศวิเวชน์ ผู้คอยดูแลบุพการีที่เริ่มแก่ชราของเขา ทำหน้าที่เป็นสายสืบคอยรายงานให้ทราบ ล่าสุดสองสามีภรรยาหารือกันจับใจความได้ว่า ปรมะคงจะรอดจากการจับแต่งงานได้ยาก เธอเลยแอบบันทึกคลิปเสียงแล้วส่งมาให้ ตอนนี้คุณหมอหนุ่มเลยต้องคิดแผนการรับมืออย่างเร่งด่วน
ปรมะร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัยเบียดเบียน ทว่าวันนี้เหมือนจะความดันขึ้น เขาตีเนียนทำไม่รู้ไม่ชี้แต่แอบหาลู่ทางชิ่งหนี เพราะดูจากสถานการณ์วันนี้ อาจต้องโดนจับหมั้นอย่างไม่คาดคิดแน่นอน
บริเวณห้องประชุมที่จัดงาน ผู้คนเริ่มเนืองแน่น เพราะคนกลุ่มนั้นได้รับบัตรเชิญ เพื่อมาเป็นสักขีพยานในงานหมั้นของเขา
คนเป็นหมอนั่งอัดควันบุหรี่เข้าปอดหนัก ๆ สมองที่เคยได้รับคำชื่นชมมากมายว่าเป็นยอดอัจฉริยะ ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้กลับหัวตื้อคิดสิ่งใดไม่ออก เขาต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถเอาตัวรอดจากการถูกมัดมือชกในครั้งนี้ได้ คุณพ่อกับคุณแม่คงกะไม่ให้เขามีทางหนี
ติ๊ง! ติ๊ง! ไลน์!
‘แต่งตัวเสร็จหรือยัง’ คุณชนาภา หวานใจของนายแพทย์ปฐมเดช ผู้เป็นพ่อและเป็นผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ ส่งข้อความมากดดัน
ปรมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขากำลังคิดอะไรกันแน่ มัวแต่ห่วงเรื่องจะไม่มีทายาทเพื่อไว้สืบทอดกิจการโรงพยาบาล จนถึงกับต้องวางแผนบังคับกันแบบนี้
‘เรียบร้อยแล้วครับ’ เขาจำใจพิมพ์ตอบ
‘ไหนถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ แม่อยากแน่ใจว่า ป้องใส่เสื้อผ้าที่แม่ได้เตรียมเอาไว้ให้’
‘แม่ครับผมไม่ใช่เด็กๆ ๆ ที่จะต้องให้แม่มาคอยจับแต่งตัว ถ้าแม่อยากจะจับใครแต่งตัว ตอนนี้ต้องเป็นยายน้ำอิงแล้ว’ เขาพาดพิงไปถึงน้องสาวที่เป็นเน็ตไอดอล ชอบแต่งตัวสวยๆ ทำคอนเทนต์ร้องคัฟเวอร์เพลงของนักร้องทั้งไทยและเทศ
‘ทำไมต้องว่าน้อง’ แม่ถามเสียงเข้ม คุณชนาภารักลูกสาวดั่งแก้วตาดวงใจ อิงธาราหรือน้ำอิง ลูกหลงที่ถือกำเนิดในท้องของคุณแม่ตอนที่ปรมะอายุได้สิบห้าปี
‘ผมเปล่าว่ายายน้ำอิงนะครับ’
‘แม่ไม่อยากเถียงกับแกหรอก ไหน ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ’ ปรมะรู้แล้วว่าแม่กำลังมีน้ำโห ประเดี๋ยวก็จะโวยลั่น หรือไม่ก็ต้องให้คนมาตามเขาถึงที่นี่ หมอหนุ่มจึงได้จัดการตั้งกล้องในมือถือให้จับเวลาแล้ววางไว้ ก่อนจะเดินไปไกลหน่อย ยกห้านิ้วเพื่อให้กล้องจับสัญลักษณ์มือ ตัวเลขบนหน้าจอเริ่มนับถอยหลัง
บันทึกภาพเรียบร้อยแล้วก็รีบกดส่งรูปนั้นไป คนเป็นแม่ส่งสติกเกอร์หัวใจกลับมาให้ลูกชายแบบรัว ๆ ปรมะถึงกับถอนหายใจอีกครั้ง เเจ้ากรรมนายเวรของเขามาในรูปแบบคู่หมั้นหรืออย่างไรกัน
แค่คิดถึงคนที่แม่จะจับให้มาเป็นคู่หมั้นเจ้าตัวก็ถอนใจเฮือกโต เขามอง ก้อยหรือเกวลิน เลิศปรีชา เป็นเหมือนน้องสาวอีกคนเท่านั้น ไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่แบบชายหญิงแต่อย่างใด สองครอบครัวไปมาหาสู่กันยิ่งกว่าญาติสนิท เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย นั่นยิ่งทำใจยอมรับไม่ได้
พ่อกับแม่ก็เหลือเกิน ไม่คิดให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจ คนไม่รักกันจะไปรอดได้อย่างไร ปรมะเคยเห็นมาหลายคู่ ตอนแรกคบดูหวานชื่นจนคนพากันอิจฉา แต่พอได้แต่งงาน อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว บางคู่กลับต้องเลิกราเพราะเข้ากันไม่ได้
มุมมองเรื่องแต่งงาน เขาอยากได้ใครสักคนที่มีไลฟ์สไตล์เข้ากันได้มาเป็นคู่ชีวิต แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็จะหาจ้างผู้หญิงที่อยากได้เงิน ไว้เพื่อผลิตทายาทโดยตรงของอัศวิเวชน์ เมื่อเธอคลอดก็ขอให้จากไป
รู้ว่าความคิดนี้เข้าข่ายค้ามนุษย์ แต่เขามองว่าอยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจเสียมากกว่า ทายาทไม่จำเป็นต้องมาพร้อมความรัก
“ก้อยเอ๊ย พี่ไม่ได้รักเธอซะหน่อย” เขาเอ่ยในใจ ยังหาหนทางหลีกหนีเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเกวลินจะรู้เห็นเป็นใจกับพวกผู้ใหญ่ด้วยหรือเปล่า
หากผู้หญิงที่พ่อแม่เลือกให้ เป็นคนอื่นคนไกลเขาอาจยินยอม ไม่ใช่แค่เห็นอีกฝ่ายเป็นน้องสาว แต่พิจารณาจากไลฟ์สไตล์และทัศนคติแล้ว หลายอย่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังไม่มีความรักเป็นพื้นฐาน หากตบแต่งกันไปชีวิตคู่คงพังไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน
ถ้ารู้ว่าต้องล้มเหลว ก็ไม่รู้จะเริ่มไปทำไมให้เสียเวลา