วันแรกของการทำงาน ก็เริ่มต้นด้วยบรรยากาศเคร่งเครียดซะแล้ว…
ณ ห้องสัมมนาขนาดใหญ่ภายในชั้นสามของอาคารวิจัย โต๊ะเลคเชอร์สีขาวสะอาดตาเรียงต่อกันเป็นทางโค้งยาวจากฟากหนึ่งถึงอีกฟากและซ้อนกันเกินสิบแถวขึ้นไปเป็นขั้นบันได ลักษณะไม่แตกต่างจากโรงภาพยนตร์สมัยใหม่เท่าไหร่นัก ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้มากกว่าสองร้อยชีวิต
แต่ปัจจุบัน มีอยู่ไม่ถึงครึ่งของจำนวนเก้าอี้ด้วยซ้ำ ต่างพากันนั่งกระจัดกระจายไปคนละมุม น้อยนักที่จะรวมตัวกันมาแบบได้พวกเรา เพราะล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกมาจากคนละมุมโลก ซึ่งคนไทยจริงๆ มีอยู่ไม่ถึงสิบ และที่เหลือมาจากโครงการอื่นๆ ภายใต้การควบคุมดูแลของดอกเตอร์ซอซะส่วนมาก
เวลาดำเนินไปกว่าสามชั่วโมง ในการนั่งฟังบรรยายหลักการ ข้อปฏิบัติและรายละเอียดมากมายของ RVS จากศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง อีกทั้งยังมีภาพประกอบให้เห็นชัดเจนขึ้นจากจอโปรเจคเตอร์ด้านหน้า บวกกับชีทเล่มหนาที่กางอยู่ตรงหน้า อย่างหนึ่งที่เด่นชัดเกี่ยวกับวิจัยลับนี้คือ การคิดค้นยาต้านไวรัสชนิดใหม่
แต่ความผิดปกติมันอยู่ที่ เขาบอกว่าเป็นการสร้างล่วงหน้า โดยที่ยังระบุแน่ชัดว่าไวรัสนั้นคืออะไร ซึ่งมันแปลก…
“แปลกมาก” จู่ๆ คำในความคิดก็ผุดออกมาจากปากนายแพทย์หนุ่มที่นั่งถัดไปฝั่งขวา ฉันอดไม่ได้ที่จะลอบมองปฏิกิริยาของคนที่มีความเห็นตรงกัน เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมสลับเปลี่ยนขาขึ้นไขว่ห้าง สายตาจ้องมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างมุ่งมั่น ก่อนปากกาจะถูกยกขึ้นมาหมุนควงด้วยมือข้างเดียวอย่างคล่องแคล่วขณะใช้ความคิด
และดูเหมือนท่าทางเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดี เริ่มที่ฝั่งซ้ายมือใกล้ๆนี่ก่อนเลย ฉันส่งข้อศอกไปกระทุ้งแขนเพื่อนรักหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติแล้วชี้ไปที่บุคลากรผู้บรรยายอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นจุดประสงค์ในการมานั่งรวมกันอยู่ตอนนี้
จากนั้นจึงกวาดสายตามองโดยรอบ เกิดเสียงแค่นหัวเราะในลำคอทันที ที่เห็นทั้งสาวน้อยสาวใหญ่พากันจับจ้องอดีตพี่ชายที่อยู่ข้างๆ แบบไม่ละสายตา เหมาะกับตำแหน่งของพวกเราที่อยู่กึ่งกลางห้องพอดิบพอดี
“ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย” เสียงพึมพำของพี่พลอยใสที่นั่งคนสุดท้ายติดกับเฮียไวน์ เรียกให้พวกเราทั้งสามลากสายตาไปหาเจ้าของประโยคได้โดยพร้อมเพรียง นั้นจึงเป็นตอนที่เธอเริ่มพูดต่อจริงจัง “การคิดค้นยาโดยไม่รู้ว่าโรคคืออะไร เป็นไปได้เหรอ”
“ไม่ได้” คำตอบมั่นใจจากผู้มากประสบการณ์ในด้านของยาและการรักษาเป็นอย่างดี
“แล้วถ้าเขาบอกเราไม่หมดละ” ทันทีที่ฉันแสดงความคิดเห็น รีแอคชั่นของทุกคนก็เปลี่ยนไป นอกจากโฟกัสมายังผู้พูดตามมารยาทแล้ว เครื่องหมายคำถามยังปรากฏเด่นชัดผ่านสีหน้าและแววตา
“มึงกำลังจะบอกว่า…”
“โรคมันต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่เปิดเผย” ฉันพูดขึ้นในตอนที่เพื่อนสนิทเว้นช่วงหายใจ ซึ่งตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นได้น้อยมากถึงขั้นติดลบ ในการที่จะคิดค้นสูตรยาขึ้นมาล่วงหน้าก่อนโรคถือกำเนิด นอกซะจากว่าจะมีคนรู้เหตุการณ์ในอนาคตและจะต้องรู้ละเอียดยิบถึงขั้นวิวัฒนาการต่อๆ ไปของโรคนั้นด้วย
หรือถ้าจะยึดตามหลักสัจธรรมที่ทุกวันนี้ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วๆ ไป ก็คือรอให้วัวหายก่อนแล้วค่อยล้อมคอก นี่ก็เหมือนกัน เพราะถ้าโลกเราสามารถทำแบบนั้นได้ มนุษย์ทุกคนคงไม่ต้องกังวลการเกิดไวรัสตัวใหม่อย่างวันนี้
“แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” รุ่นพี่คนสวยที่กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเอ่ยถาม
“...” ฉันส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ พลางพ่นลมหายใจออกยาว ราวกับความหวังริบหรี่ลงไปทุกที เพราะถึงจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโครงการได้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะบอกเราหมดทุกเรื่อง
ในขณะที่ทุกคนละความสนใจจากฉันไปแล้ว ยังมีสายตาหนึ่งคู่ที่ยังจับจ้องอยู่จนฉันรู้สึกถึงความอึดอัด
“มีอะไรคะ” ฉันหันไปถามคุณหมอเจ้าเล่ห์ ที่หันมองอย่างจริงจัง ในท่าวางศีรษะพาดไปกับหลังมือซึ่งถูกตั้งฉากขึ้นบนโต๊ะ
“น้องรู้อะไร บอกเฮียหน่อยสิ”
คิ้วบางย่นขึ้นด้วยความสงสัย ไม่ใช่เพราะความหมายในประโยค แต่เป็นน้ำเสียงที่เลือกใช้ต่างหาก จำเป็นต้องออดอ้อนขนาดนี้ไหม...
“เราจะไปรู้อะไรคะ” ฉันปฏิเสธ พลางเลื่อนมองไปทางอื่น เลื่อนมือขึ้นจับต้นคอ ก่อนจะวางศอกลงบนโต๊ะเพื่ออาศัยค้ำยัน แต่คนขี้สงสัยยังไม่หยุดเซ้าซี้
“โครงการนี้มันมีดีอะไรนะ น้องถึงสนใจมันมากขนาดนี้”
หางตาเหลือบมองสีหน้าเหงาหง่อยราวกับเด็กน้อยถูกทอดทิ้งเล็กน้อย ในหัวก็คิดไปว่าวันนี้เขากินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่า... แล้วอยู่ๆ พี่พลอยใสก็ชะโงกหน้าออกมาถามเขา
“ทำไม เฮียอิจฉามันเหรอ”
“ใช่…” คนถูกยิ่งคำถามใส่แบบไม่ทันตั้งตัว ตอบรับเต็มปากเต็มคำ โดยไม่มีการไตร่ตรอง ทำเอาข้อศอกที่ตั้งแข็งแรงถึงกับทรุดฮวบด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มคิดได้ แล้วรีบดีดตัวขึ้นตั้งตรงราวกับสปริง
“หื้ม?” ทั้งพี่พลอยใสและอีทิแท็กทีมกันหรี่ตาจ้องเฮียไวน์อย่างจับผิด และพาลมาถึงฉันที่กำลังก้มจดเลคเชอร์ด้วย อุตส่าห์แสร้งทำเป็นไม่สนใจ…แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตา
“ใช่ เฮียว่ามันน่าสงสัยจริงๆ นะ” เจ้าของใบหน้าเลิ่กลั่กที่พยายามเก็บอาการแล้วตบเข้าประเด็นที่คุยกันก่อนหน้า แต่ฉันคิดว่ามันช้าไป
“เหรอ?”
สิ้นคำห้วนๆ ของพี่พลอยใส เขาก็หันไปกระซิบกระซาบกันสองคนอยู่พักใหญ่ ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าบทสนทนานั้นคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือเพื่อนฉันมันไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้
“คุณหมอเขาชอบมึงใช่ไหม” คำถามสุดตื่นเต้นจากเพื่อนรักในโทนเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน
“ไร้สาระ” ฉันสวนกลับด้วยความหงุดหงิด แต่ไม่ได้ผล มันไม่ยอมลดละ
“มึงไม่ต้องมาด่ากลบเกลื่อน สายตาเขาชัดเจนขนาดนั้น ใครจะดูไม่อะ…”
ฉันยัดดินสอกดยี่ห้อดังในมือใส่ปากสาวช่างจ้อให้มันคาบไว้ “จะหยุดพูดได้ยัง กูจะฟังศาสตราจารย์”
พูดจบฉันก็หันไปสนใจจอโปรเจคเตอร์ แต่ยังปรายตามองคนถูกกระทำที่เอาสิ่งแปลกปลอมออกจากปากแล้วส่งคือฉันท่าทางฟึดฟัด
ฉันแบมือรอรับอยู่นาน แต่ดินสอแท่งนั้นก็ไม่ถึงสักทีฉันจึงหันไปมอง และทราบถึงสาเหตุการหยุดนิ่งของเพื่อนรัก
ปรากฏร่างหญิงสาว หุ่นสะบึ้มทรงนาฬิกาตามแบบฉบับลูกครึ่งโซนยุโรป ในชุดเดรสรัดรูปสีดำตัดกับผิวขาวละเอียดให้ดูมีออร่ามากขึ้น เธอเดินตามทางมาหยุดขนาบข้างมัน แต่สายตาคู่สวยมองข้ามผ่านไปที่ผู้ชายคนเดียวของแถว
“คุณคือนายแพทย์วายุพัฒน์…ใช่ไหมคะ”
ฉันกับอีทิหันไปที่เป้าหมายพร้อมกัน คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเขาจะตอบรับตามมารยาท “ครับ”
“เชิญตามมาหน่อยค่ะ ดอกเตอร์ซอ อยากพบคุณ” เสียงหวานติดสำเนียงต่างชาติเรียกความสนใจจากฉันไปได้อีกครั้ง และพอได้ยินชื่อที่ถูกกล่าวถึงเท่านั้นแหละ ตาลุกวาวเปล่งประกายจนอยากจะลุกไปแทนคนถูกเชิญ
ฉันเหลือบมองเฮียไวน์ที่ลุกออกจากโต๊ะเลคเชอร์ด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะเดินตามผู้หญิงคนนั้นออกไป
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
“กูจะรู้ไหมล่ะ” ฉันตวัดตามองเพื่อนรักที่ถามอะไรสิ้นคิด นั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ
หลังจากที่เฮียไวน์ออกไป สมาธิฉันก็ไม่หลงเหลืออยู่ในห้องนี้เลย เฝ้ารอแต่บานประตูจะเปิดเข้ามาเมื่อไหร่ แต่จนแล้วจนเล่าก็ไร้วี่แวว
จนการบรรยายในครึ่งวันแรกจบลง....
“ปะมึง” อีทิเอ่ยชวน ขณะผุดลุกจากเก้าอี้พร้อมๆ กับพี่พลอยใส เพื่อเตรียมตัวไปพักเบรก
“ไปกับพี่พลอยก่อนเลย กูรอเฮีย” ฉันตอบ ทั้งที่ยังก้มหน้าจิ้มมือถือ ส่งไลน์ไปหาคนที่ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
“ตามมาละกัน” คำพูดทิ้งท้ายจากพี่พลอยใส ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินไปตามทาง
ไม่นานผู้คนก็ทยอยออกจากห้อง จนเหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว
______
ผ่านไปเกือบสิบนาที ประตูก็ถูกดันเปิดเข้ามาจากคนที่รอคอย ฉันคลี่ยิ้มบางพลางดีดตัวขึ้นนั่งตรงทันที
“ทำไมไม่ไปกินข้าวก่อนละ” เฮียไวน์เอ่ยถาม ขณะก้าวเดิน แต่ยังหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าฉงน ราวกับเขากำลังหาว่าฉันยิ้มให้ใคร
“เรารอเฮีย” ฉันก็ยิ้มให้เขานั่นแหละ
“หื้ม…” เขาครางอย่างสงสัย
“นั่งก่อนสิ” มือเล็กเอื้อมแตะบนพื้นเก้าอี้ประจำของเพื่อนสนิทเบาๆ และถึงเขาจะยอมนั่งลงแต่สีหน้ายังบ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจ
“แปลกๆ”
“เขาเรียกเฮียไปทำไมเหรอ” ฉันยิงตรงเข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อม ตอนนี้ฉันแทบจะทิ้งทิฐิหรือเรื่องราวบาดหมางระหว่างเราไปจนหมดสิ้น เพราะมันมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าแทรกเข้ามาแทนที่
เฮียไวน์หัวเราะหึทั้งที่ประโยคของฉันยังไม่ทันจบสมบูรณ์
“…ว่าแล้วเชียว” มุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีอะไร”
“จะไม่มีได้ไง” น้ำเสียงฉันเปลี่ยนเป็นงอแงทันทีที่เขาเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง ต่อให้อมโบสถ์มาทั้งหลังฉันก็ไม่เชื่อ เรียกไปคุยส่วนตัวขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอะไร
“ดูน้องจะสนใจโครงการนี้มากเลยนะ มันมีอะไรเหรอ” เขาตอบด้วยการตั้งคำถาม หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเคลื่อนใบหน้าเข้าหาขณะจ้องมอง ราวกับเขากำลังบีบคั้นจะเอาความจริง
“ก็มันน่าสนใจ” ฉันตอบเสียงอ่อย
“แค่นั้น?” แน่นอนว่าคนฉลาดระดับนายแพทย์ไม่เชื่ออยู่แล้ว
“สรุป เขาได้บอกรายละเอียดอะไรไหม” ฉันรีบดึงกลับเข้าสู่ประเด็นหลัก
“ไม่นะ เขาแค่ยื่นข้อเสนอให้เฮียขึ้นไปอยู่ในห้องแล็บข้างบน”
“ข้างบนไหน” แววตาแห่งความหวังกลับมาอีกครั้ง
“ชั้นหก”
“เขตหวงห้ามนั้นเหรอ” ฉันถามย้ำ เพื่อยืนยันพื้นที่ให้ชัดเจนมากขึ้น
“อือ” ทันทีที่เขาครางรับ ฉันหลุดยิ้มกว้างร้องเย้ดังลั่นในใจ ก่อนเอื้อมไปจับมือตัวแทนของหมู่บ้าน ฉันคงต้องพึ่งเขาแล้วแหละ
“เฮียพาเราขึ้นไปด้วยได้ไหม”
“ไม่ได้”
ฉันหงอลงเล็กน้อยที่ถูกปฏิเสธ แต่ใช่ว่าจะหมดหวัง ฉันตั้งคำถามใหม่ “งั้นเฮียบอกได้ไหม ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ข้างบนนั้น”
“จะไปรู้ได้ไง ก็เฮียไม่ได้ตกลง”
“อะไรนะ!” หลุดอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะต่อว่าผู้ชายตรงหน้าอย่างหัวเสีย “เฮียจะบ้าเหรอ โอกาสแบบนี้ ปฏิเสธได้ไง คิดอะไรอยู่”
“เอ้า ก็ถ้าขึ้นไปอยู่โน่น คือไม่ได้ลงมาเลยนะ เช้ายันเย็น ไม่เอาหรอก เฮียคิดถึงน้อง”
“โอ๊ย...เฮีย มันใช่เวลาไหม กลับไปตอบรับเดี๋ยวนี้เลย” ฉันนี่ถึงกับกุมขมับเลย ไม่คิดว่าผู้ใหญ่แบบเขาจะมีความคิดไร้สาระเยี่ยงนี้
“น้องอยากรู้เหรอ ว่าข้างบนนั้นมีอะไร”
“ใช่สิ ถ้าเราขึ้นไปเองได้ก็คงดี” คอตกลงอย่างหมดหวังอีกครั้ง...
“งั้น บอกข้อเสนอมา เฮียจะพิจารณาเอง”
ฉันนิ่งเงียบชั่วขณะ ในตอนที่ทางเลือกมาจ่ออยู่ตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นสบตา แล้วยื่นข้อเสนอให้เขา “เรายอมคุยกับเฮียเหมือนเดิมก็ได้”
“มันก็เป็นข้อเสนอที่ดีนะ แต่ขอเพิ่มอีกนิดได้ปะ”
“...?” ฉันเลิกคิ้วมองหมอเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าเขาไม่จบแค่นี้หรอก
“อนุญาตให้จีบได้ไหม”
“ไม่”
“ไม่ปฏิเสธ”
“ไม่อยากรู้แล้วค่ะ” พูดจบฉันก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ทันที แต่ถูกคว้าแขนไว้ก่อนจะได้ขยับไปไหน
“หือ ใจเย็น”
“เอาไงคะ” หันไปถามย้ำอีกครั้ง ในตอนที่คิดว่าโอกาสตกมาเป็นของฉันแล้วกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
“ก็ได้ แต่น้องห้ามตึงใส่แบบนี้เด็ดขาด”
“ดิล” กำปั้นน้อยข้างหนึ่งถูกยกขึ้นระดับลำตัวช่วงบน ก่อนที่ผู้ทำสัญญาร่วมจะเลื่อนกำปั้นตัวเองมาชน
“ดิล”