“เอาเวลาที่เสือกเรื่องของกู ไปดูลูกมึงนู่น” ผมใช้มือดันกลางหน้าผากให้ออกห่าง ก่อนจะชี้ไปที่ อชิ ลูกชายวัยห้าขวบหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังขวักมือเรียกผู้เป็นพ่ออยู่ฝั่งตรงข้าม
พอเห็นแบบนั้นมันก็ละความสนใจจากทุกอย่าง พุ่งตรงไปที่ยอดดวงใจของตัวเองทันที
ลมหายใจพ่นยาวผ่านปลายจมูกออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่ทุกคนมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าการมานั่งซักไซ้เรื่องของชาวบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องตายคาที่แน่ๆ
ระหว่างที่กรอกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าสู่ร่างกาย ผมยังลอบมองแผ่นหลังบางที่หายเข้าไปในตัวบ้าน
เกิดคำถามเดิมๆ ที่ว่าเธอตั้งใจจะตัดผมออกจากชีวิตจริงๆ เลยใช่ไหม
ความอ่อนหวานบนใบหน้าไม่ได้ส่งต่อไปถึงหัวใจเลยสักนิด ใจแข็งฉิบ…
แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจตามผู้หญิงคนเดียวที่จะสามารถให้คำตอบผมได้ไป
ด้วยความที่ผมเข้าออกที่นี่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง จึงไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะไปไหนหรือทำอะไร แม้แต่การขึ้นมาถึงห้องหนังสือชั้นบนนี่ก็ด้วย
ประตูถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ย ซึ่งผมยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เจ้าของห้องตัวน้อยหันกลับมา รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหายวับไปกับตา หัวคิ้วบางย่นขึ้นเล็กน้อย
“เข้ามาทำไมคะ” คำถามที่เหมือนจะสุภาพ แต่น้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด หนังสือที่กำลังจะหยิบออกมาถูกดันกลับเข้าที่เดิม จากจุดที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ห่างจากผมประมาณสิบก้าว
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมเริ่มขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น
“เราไม่มีอะไรจะคุย” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดก้าวเดินเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อล้นระยะทาง ในขณะที่ผมหยุด แต่เธอยังเดินต่อ ดูเหมือนจุดหมายจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ผมเพิ่งทิ้งห่างออกมา
“แต่เฮียมี” ผมคว้าข้อมือเล็กในตอนที่กำลังจะผ่านผมไป หวังแค่จะให้เธอหยุดและรับฟัง
“อย่ามาโดนตัวเรา” คำสั่งเสียงเครียดดังขึ้นพร้อมกับการสะบัดมือออก ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ
ผมอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า ก้าวเพียงไม่เท่าไหร่ก็พาตัวเองไปขวางหน้าประตูไว้ได้สำเร็จ
“น้องฟังเฮียก่อนนะ” แน่นอนว่าผมพูดแต่ปาก ไม่มีการสัมผัสเกิดขึ้นหลังจากโดนประโยคนั้นเข้าไป
“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับทันควัน
เด็ดขาดชะมัด!
“เฮียขอโทษ คุยกับเฮียเหมือนเดิมได้ไหม” คำข้อร้องที่หนักไปทางวิงวอนซะมากกว่า อย่างน้อยสถานะพี่น้องยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้น ไม่แม้แต่จะพูดมันออกมา จะเหยียบไว้ให้มิดเลย
ประเด็นคือเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนคืนไม่ได้
“เหมือนเดิม?” คิ้วบางเลิกสูง “เฮียจุดไฟเผาบ้านจนวอดทั้งหลัง แล้วมาร้องขอให้มันเป็นเหมือนเดิม?”
มาแล้วประโยคเปรียบเปรยที่เห็นภาพชัดโคตร และนี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็น มิรินดา
แต่เธออาจจะลืมไปว่า ทุกอย่างมันไม่ได้ดับสูญหรือสลายหายไป
“แต่เฮียสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”
“แต่มันไม่มีทางเหมือนเดิม” คำพูดที่สวนกลับโดยปราศจากการไตร่ตรอง ส่งผลให้ความมั่นใจที่มีในตอนแรกลดลงนิดหน่อย ทั้งที่ผมผ่านโลกมาเยอะกว่า แต่ทำไมเหมือนยังก้าวช้ากว่าเด็กสาวที่เพิ่งโตเต็มตัวตรงหน้า
“แต่มันอาจจะดีกว่าเดิม” ผมยังไม่ลดละความพยายาม
ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองหน้าผมนิ่งเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากพูด
“ค่ะ มันอาจจะดี แต่ไม่ได้แปลว่าจะชอบ” น้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและชัดเจน จนผมรู้สึกว่าร่างกายถูกย่อให้เล็กลงเรื่อยๆ
“แล้วน้องจะรู้ได้ไงว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ให้โอกาสเฮียได้สร้างมันก่อน” และผมยังดันทุรัง
“รู้ค่ะ เพราะความดี กับความชอบ มันคนละเรื่องกัน”
“...” นิ่งสนิท พูดไม่ออก ทั้งที่ไม่มีมีดสักเล่ม แต่ทำไมรู้สึกเหมือนถูกจ้วงแทงจนแทบกระอักเลือด
ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะล้วงกล่องสี่เหลี่ยมเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้ววางมันลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมข้างประตู เธอแอบมองตามแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“สำหรับบัณฑิตคนเก่ง” มือผมยกขึ้นเล็กน้อยขณะพูด หวังจะลูบหัวน้องสาวตัวน้อย แต่ต้องหยุดและเปลี่ยนเป็นกำแน่นก่อนจะดึงลง จากสายตาพิฆาตของคนตรงหน้า
ผมตัดสินใจหันหลังเปิดประตู แล้วพาตัวเองออกมาจากห้องพร้อมความหงุดหงิดขั้นสุด...
ใช้ชีวิตมาแม่งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มาแพ้อะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียววะ! ไม่เข้าใจ