ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชายหญิงวัยรุ่นตอนปลายทั้งสองก็ยังหาเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ปล่อยให้บรรยากาศในรถเงียบเลยสักนาที ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับโครงการที่พี่พลอยใสเคยทำมาก่อนนั่นแหละ และฉันก็ได้รับรู้ว่าเธอเป็นนักวิจัยสาวมากความสามารถ แถมยังจบปริญญาโทด้านนี้โดยตรงจากมหาลัยชื่อดังของประเทศแทบยุโรปที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นเลิศอีกด้วย เชื่อแล้วที่เขาชอบพูดกันว่าผู้ทั้งสวยและเก่ง มักจะโสด
จนในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าจอดหน้าประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งรายล้อมไปด้วยอาคารสูงหลายหลัง จากจุดนี้ มองไปจนสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เจอทางสิ้นสุด เดาว่าพื้นที่โดยรวมคงกว้างขวางน่าดู
กระจกรถฝั่งคนขับถูกลดลง ก่อนที่เจ้าของรถจะหยิบป้ายห้อยคอยื่นออกไปนอกรถเพื่อแตะแท่นเหล็กด้านข้าง จนเกิดเสียง ติ๊ด! จากนั้นที่กั้นค่อยๆ ยกขึ้นโดยอัตโนมัติ
ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมขนาดนี้ คงไม่พ้นศูนย์วิจัยที่เราต้องมาทำงานแน่ๆ
ความดีความชอบครั้งนี้ คงต้องยกให้เฮียไวน์ ที่พยายามขั้นสุดในการตามฉันมา เพราะจากที่ดูแล้วก็คงลำบากอย่างที่เขาพูดจริงๆ มาแบบไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง และฉันคิดเองเออเองว่ามันน่าจะไม่ยาก แต่ถ้าไม่มีพี่พลอยใส ก็หนักเอาเรื่องอยู่
ทางมาโคตรซับซ้อนเลย ถ้าไปปล่อยฉันลงสนามบินอีกรอบ ก็มาไม่ถูกอยู่ดี
การเคลื่อนที่ของยานพาหนะช้าลงมากหลังจากเข้ามาภายใน จนสามารถกวาดสายตาสำรวจโดยรอบได้อย่างชัดเจน
“ที่นี่ถือเป็นจุดรวมของงานวิจัยใหญ่ๆ หลายโครงการเลยแหละ” บุคคลที่คุ้นชินกับสถานที่มาก่อนเริ่มอธิบาย “เพราะงั้นคนก็จะพลุกพล่านหน่อย”
ถึงจะไม่ได้รับการตอบกลับจากใครสักคน แต่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจ พวกเรายังหันไปมองผู้พูดเป็นระยะ
ไม่นานรถก็จอดสนิทหน้าตึกหนึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมที่อยู่ด้านในสุด มันน่าจะมีสักห้าถึงหกชั้นเห็นจะได้
“นี่เป็นตึกของทีม RVS โดยเฉพาะ คนนอกห้ามเข้าเด็ดขาด” พี่พลอยใสพูด ขณะปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วเปิดประตูรถจากรถ ส่งผลให้พวกเราทั้งหมดทยอยลงตาม ไปรวมกันอยู่ด้านหลังเพื่อจัดการสัมภาระ และนั่นก็เป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวอีกตามเคย
“ห้องพักและห้องทำงานอยู่รวมกันในตึกนี้”
ระหว่างที่รอเฮียไวน์ยกกระเป๋าลง พี่พลอยใสก็ยังทำหน้าที่เสมือนไกด์พาทัวร์ อธิบายสิ่งที่เราควรรู้คร่าวๆ ให้ฟังอยู่ตลอด
“ชั้นสองจะเป็นโซนร้านอาหาร ร้านค้า ซักอบรีด เสริมสวย ทุกสิ่งอย่าง ครบวงจร เพื่อลดการออกจากตึกในระหว่างวัน แต่ความจริงแล้ว จันทร์ถึงศุกร์เขาจะไม่ค่อยให้เราออกจากตึกนะ นอกจากวันหยุด”
ฉันตั้งใจฟังและพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะศึกษาข้อปฏิบัติที่ส่งให้ทางเมลมาบ้างแล้ว กับที่พี่พลอยใสพูด ใกล้เคียงกันมากๆ แต่บ้างเรื่องก็ไม่ได้ถูกระบุไว้ชัดเจน
“ชั้นสามทั้งหมดเป็นห้องพัก สี่กับห้าเป็นพื้นที่ทำงาน ส่วนหก เป็นเขตหวงห้าม เข้าได้เฉพาะคนที่มีบัตรผ่าน ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครได้สิทธิ์นั้นบ้าง”
เช่นเรื่องที่เพิ่งจบไปนี้…
ฉันแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนของอาคารทันที พลางขมวดคิ้วคิดตามข้อมูลที่ได้รับ ชั้นหก เขตหวงห้าม มันต้องมีอะไรที่จำเพราะเจาะจงอยู่บนนั้นแน่ๆ ทำยังไงฉันถึงจะเป็นที่ได้สิทธิ์นั้นนะ
ส่วนพี่พลอยก็หันไปอธิบายกับอีทิแทน ในตอนที่เห็นว่าฉันให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่า
“เดี๋ยวแจ้งชื่อกับรปภ.คนนั้นนะ เขาจะพาเข้าไปหารีเชฟชั่นด้านใน เพื่อรับคีย์การ์ดห้องพัก”
“ขอบคุณมากนะคะ” ประโยคของเพื่อนรัก ดึงสติฉันกลับมา พร้อมกับหันไปโค้งให้พี่พลอยใสเช่นกัน
“ขอบคุณค่ะ”
“อือ แล้วเดี๋ยวลงมาเจอกันตรงนี้นะ จะพาไปหาอะไรกิน” พี่พลอยใสว่า หลังจากที่เฮียไวน์จัดการเอาทุกอย่างลงมากองไว้ที่พื้นถนนเรียบร้อยหมดแล้ว
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พี่ไปกันเลย เดี๋ยวมิเชลกับเพื่อนหากินแถวนี้แหละ” ฉันปฏิเสธ ด้วยความที่เหนื่อยจากการเดินทางละหนึ่ง ไหนจะต้องจัดของอีก สำคัญคือมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเกิดขึ้น
“งั้น ยังไงดี” สาวสวยรุ่นพี่เลิกคิ้วสูง แล้วหันไปหาเฮียไวน์ คล้ายกับขอความเห็น ก่อนเขาจะพยักหน้าให้เล็กน้อย
“โอเค งั้นเจอกันวันจันทร์นะ” พูดจบ พี่พลอยใสก็ยกมือขึ้นโบกลา ขณะก้าวถอยกลับไปขึ้นรถ พวกเราเองก็ทำแบบนั้นคืนไปเช่นกัน จนรถเคลื่อนตัวห่างออกไป
เราก็ทำตามขั้นตอนที่พี่พลอยใสบอกไว้ตามลำดับ ซึ่งมันไม่สามารถไปแทนกันได้ เพราะต้องยืนยันตัวตนจริงๆ ในการรับคีย์การ์ดห้องพัก ทุกอย่างถูกรวมไว้ในบัตรเดียว ทั้งเข้าออกประตูด้านหน้า และเข้าออกอาคารนี้ด้วย
“มึงได้ห้องอะไร” คำถามแรกจากเพื่อนสนิท หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยและเรากำลังเดินออกมาหน้าอาคาร
“C20 มึงละ”
“C21 ข้างกันเลย” พอพูดกับฉันจบ มันก็เอี้ยวไปหาผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหลัง “แล้วคุณหมอละ”
“C19”
“โอ๊ะ! ข้างมึง” มันหันกลับมาตอกย้ำ ก่อนจะสาวเท้านำไปยังกองสัมภาระด้านนอกหน้าระรื่น
“ขึ้นไปรอที่ห้องไหม เดี๋ยวเฮียเอาขึ้นไปให้” เฮียไวน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะก้าวเท้ายาวขึ้นมาขนาบข้างแทนที่เพื่อนรัก
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันปฏิเสธ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่าง
และพอออกมาด้านนอกอาคาร ฉันก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนสุดไม่ได้ เคยเป็นไหม ยิ่งรู้ว่าเขาห้าม ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น และฉันก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าข้างบนนั้นมันมีอะไรซ่อนอยู่
ลมหายใจถูกพ้นออกยาว ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่ของตัวเองไปตามทาง ณ ตอนนี้ภายในอาคารยังไม่มีผู้คนสัญจรมากนัก เรียกได้ว่าค่อนข้างเงียบสงัด บ่งบอกถึงความเป็นส่วนตัวขั้นสุด
“มึง กูว่าจะสั่งอะไรมากิน ขี้เกียจออก มึงเอาด้วยไหม” มือถือที่แสดงรายการอาหารในแอพหนึ่งของเพื่อนสนิทยื่นมาต่อหน้า ขณะที่ห้องโดยสารสี่เหลี่ยมกำลังเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายที่ถูกกำหนด
ฉันก้มดูเล็กน้อย ก่อนตอบ “ไม่อะ ยังไม่ค่อยหิว”
จังหวะที่เงยหน้าขึ้น ประสานสายตาเข้ากับเฮียไวน์อย่างจัง เนื่องจากเขายืนหลังพิงผนังลิฟต์ด้านข้างและหันหน้ามาทางเราสองคน ไม่มีการหลบเลี่ยงเกิดขึ้นจากคนถูกจับได้ว่าเป็นพวกถ้ำมอง คล้ายกับเขาอยากประกาศให้โลกรับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
สุดท้ายกลายเป็นฉัน ที่ทนต่อสถานการณ์กดดันไม่ไหว ต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่แทน และจำใจปล่อยให้เขาจ้องอยู่แบบนั้น…
พอประตูลิฟต์เปิด ขาสั้นๆ ก้าวเดินออกด้วยความรีบร้อน ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งเพื่อนของตัวเอง ระหว่างนั้นก็ยังมองซ้ายทีขวาที เพื่อดูเลขห้องหน้าประตูไปด้วย
และมาหยุดยืนหน้าห้องพักในที่สุด
“เดี๋ยว”
ข้อมือฉันถูกคว้าไว้ จากอดีตพี่ชายคนโปรด ทั้งที่อีกเพียงคืบคีย์การ์ดก็จะถึงตัวล็อกอยู่แล้ว ฉันหลุบมองบริเวณที่ถูกสัมผัส ก่อนจะหันไปทางขวา เห็นเจ้าของห้องกำลังเร่งรีบในการลากข้าวของเข้าไปด้านใน แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปิดประตูลงทันที นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันหันกลับมาหานายแพทย์จอมฉวยโอกาสอีกครั้ง
“มีอะไรคะ”
“ปลดบล็อกเฮียหน่อยได้ไหม เวลามีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อได้” เขาพูดเสียงอ่อย
“...” ฉันเงียบ เพราะกำลังชั่งใจในเหตุผลที่เขาหยิบยกขึ้นมา
“ขอร้องแหละ มิเชล อย่าดื้อเลยนะ”
“ค่ะ” สุดท้ายฉันก็ตอบรับที่จะทำตามคำขอของเขา และพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม แต่เขายังยื้อ
“อย่าเพิ่ง”
“อะไรอีก” น้ำเสียงเริ่มมีความหงุดหงิดปะป่นอยู่หลายส่วน
“เอากระเป๋าน้ำร้อนมาไหม” สิ้นคำถามนี้ ลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ ที่เขาถามราวกับรู้ว่าฉันเป็นวันนั้นของเดือนทั้งที่ยังไม่ได้บอกเลยด้วยซ้ำ
หรือเขาอาจจะแค่ถามตามปกติ…ฉันคงคิดมากไปเอง เขาจะรู้รายละเอียดเยอะขนาดนั้นได้ยังไง
“เอามาค่ะ” ฉันตอบพลางหลุบมองปลายเท้าตัวเอง
“ยาละ”
“เอามาแล้วค่ะ”
“จะกินอะไร เดี๋ยวเฮียออกไปซื้อให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสั่งเองก็ได้” ฉันพยายามแกะมือเขาออกจนสำเร็จ ขณะเอ่ยปฏิเสธ ก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปด้านในพร้อมสัมภาระตัวเองให้เร็วที่สุด
หลังประตูปิดสนิท ฝ่ามือขวาถูกยกขึ้นทาบหน้าอกตรงบริเวณของอวัยวะที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น มันเต้นแรงมากเกินไปแล้ว
ซึ่งความจริงเขาก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนั้นมันคือในสถานะพี่ชาย ส่วนตอนนี้…ไม่ใช่
และน่าโมโหมากที่ฉันหวั่นไหวไปกับความอบอุ่น ความอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่แบบที่ไม่เคยต้องเอ่ยปากขอ ถ้าเขายังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันต้องแพ้ให้เขาสักวันแน่ๆ
ฉันพ่นลมหายใจออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรับอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะล้วงมือถือขึ้นมาต่อสายหาแม่บุญธรรมเพื่ออัปเดตข่าวสาร
[ถึงแล้วเหรอจ๊ะ] ประโยคแรกจากปลายสาย น้ำเสียงอ่อนหวานที่แสนคุ้นเคย ทำให้ฉันลืมเรื่องราวก่อนหน้าไปจนหมด แล้วแทรกความรู้สึกคิดถึงบ้านเข้ามาแทนที่
“ถึงแล้วค่ะ อยู่ห้องพักแล้ว” ไหล่เล็กถูกยกขึ้นเพื่อหนีบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้แนบหูแทน เพื่อจะใช้มือเลื่อนกระเป๋าเข้าไปยังโซนที่เป็นห้องนอน
[กินอะไรรึยัง]
“ยังเลยค่ะ กะว่าจะจัดของให้เสร็จก่อน” ฉันตอบกลับ ขณะกวาดตามองไปรอบห้อง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากคอนโดทั่วไปสักเท่าไหร่ แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงกว้างเพื่อผ่อนคลาย
[โอเคจ๊ะ งั้นลูกจัดของเถอะ]
“เอ่อ คุณยูริ รู้จักพี่พลอยใสไหมคะ”
[พลอยใส…อ๋อ รู้จักสิ เพื่อนคุณยูตะใช่ไหม]
“น่าจะใช่นะคะ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องเฮียธาม”
[ใช่ๆ ทำไม ลูกเจอพี่เขาเหรอ]
“ค่ะ พี่พลอยใส อยู่ในโครงการนี้ด้วย”
[ดีจังเลย ฝากบอกว่าให้ขึ้นมาเที่ยวบ้างสิ คุณยูริคิดถึง]
“ได้เลยค่ะ งั้นหนูจัดของก่อนนะคะ”
[จ๊ะ ดูแลตัวเองดีๆนะ รักลูกนะ]
ถึงแม้ว่าสายจะถูกตัดไปหลายนาทีแล้ว แต่ฉันยังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง จนแทบจะลืมไม่ขึ้น…