เป็นเรื่องปกติที่ช่วงเวลาระหว่างรออาหารจะดึงทุกคนเข้าสู่โลกส่วนตัว หรือไม่ก็…แค่ฉันคนเดียว เพราะสองสาวฝั่งตรงข้ามยังมีการพูดคุย ยื่นมือถือให้กันดู ปรึกษาสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ส่วนเฮียไวน์ก็อยู่ในเกมออนไลน์ที่เขาชื่นชอบและยังมีการสื่อสารผ่านแอร์พอร์ตที่พกติดตัวตลอดเวลาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ในขณะที่ฉันเอาแต่ปลีกวิเวกอยู่กับโลกของตัวเอง ถึงแม้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่หน้าจอมือถือ แต่เชื่อไหมว่าฉันไม่ได้สนใจสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้นเลย เพราะตอนนี้ในหัวมีความคิดมากมายผุดขึ้นจนมันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงไปหมด ไม่สามารถแก้สมการของโจทย์ที่ตัวเองตั้งขึ้นมาได้สักข้อ
เหตุผลจริงๆ ที่ฉันดันทุรังมาอยู่ที่นี่ เพื่ออะไร
แล้วฉันจะได้คำตอบที่อยากรู้จริงๆ เหรอ
ถ้ารู้แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ…
หรือแม้แต่ฉันจะสนใจทำไมว่าบทสรุปมันจะเป็นยังไง…
ลมหายใจถูกพ้นออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะดึงสายตากลับมาโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปลายนิ้วหัวแม่มือจะหยุดชะงักทันที เมื่อเลื่อนไปเจอข้อความหนึ่งถูกแชร์ผ่านโซเชียล
‘It’s about the journey, not destination.’
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางมันสำคัญกว่าปลายทาง…
ดูเหมือนว่ามันเหมาะเจาะกับจังหวะชีวิตของฉันตอนนี้พอดีเลย
เพราะฉันกำลังให้ความสำคัญกับอนาคตมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งในความเป็นจริงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าปลายทางคืออะไร แต่ฉันดันกังวลกับเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นมากไป ทั้งๆ ที่ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีมากอยู่แล้ว
ทุกอย่างที่ว่า…อาจรวมไปถึงผู้ชายที่นั่งข้างๆ นี่ด้วย
“เออ…!”
ฉันสะดุ้ง รีบละสายตาจากเฮียไวน์ไปโฟกัสรุ่นพี่คนสวยที่อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับเธอนึกอะไรออกฉับพลัน
จากนั้นเจ้าของใบหน้าเก๋ก็เคลื่อนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย วางท่อนแขนซ้อนทับกันบนโต๊ะ แล้วจ้องมองนายแพทย์หนุ่มท่าทางจริงจัง
“เฮียว่าเขาจะต่อสัญญากับกลุ่มเราไหม”
เป็นการเปิดประเด็นที่ไม่เลว และก็ไม่ดีซะทีเดียว ฉันกับเพื่อนรักหันมองหน้าอย่างรู้กัน ก่อนจะกดล็อกอุปกรณ์สื่อสารในมือ ดึงตัวขึ้นตั้งตรง บรรยากาศเริ่มตึงทันที ถ้ามีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นแสดงว่าต้องมีมูลบางอย่างแน่ๆ
ส่วนคนถูกเพ่งเล็งยังไม่สามารถพาตัวเองกลับสู่โลกปัจจุบันได้ในทันที ขมวดคิ้วเหลือกตาขึ้นมองพวกเราชั่วขณะอย่างขุ่นเคือง เพราะถูกรบกวนเวลาเล่นเกมกะทันหัน
“เอาจริงๆ ก็พูดยากว่ะ” สีหน้าและน้ำเสียงของเฮียไวน์เคร่งเครียด แบบที่ไม่รู้ว่ามาจากคำถามของพี่พลอยใส หรือโลกออนไลน์ในมือถือกำลังดุเดือด บางทีอาจทั้งสอง
“ยังไงเหรอคะ” เพื่อนสนิทของฉันเริ่มร้อนรน เพราะมันตั้งใจมากสำหรับโครงการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของดอกเตอร์ซอ ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถนำใช้ในการต่อยอดได้ยาวๆ แต่ถ้าเราไม่ถูกต่อสัญญา แปลว่าเรามีเวลากับโครงการนี้แค่สามเดือนเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่เพียงพอสำหรับการสะสมประสบการณ์ อย่างต่ำก็ต้องหนึ่งปี…
และถ้าเราจะดั้นด้นมาขนาดนี้แค่สามเดือน ฉันก็ว่ามันไม่คุ้ม…
“ความจริงตอนนี้ก็ยังไม่สรุปนะ” เฮียไวน์ว่า ในตอนที่เกมน่าจะจบลง เพราะเขายืดตัวขึ้นตรงและคว่ำหน้าจอมือถือลงแล้ว
“ก็แปลว่ายังมีลุ้น” พี่พลอยใสเริ่มไหวเอนไปทางเฮียไวน์ หลังจากที่ฉันแอบเห็นเขาส่งสายตาให้กัน นั้นคงเป็นเพราะเฮียไวน์ไม่อยากให้เด็กอย่างเราสองคนสูญเสียขวัญและกำลังใจ
“พูดจริงใช่ไหมพี่” อีทิถามย้ำเพื่อความมั่นใจ ถึงสีหน้ามันจะดีขึ้นมาหน่อย แต่เอาจริงๆ เป็นใครก็เฟลทั้งนั้นแหละ พยายามแทบตาย มาไกลได้แค่ทดลองงาน…มันดูไม่แฟร์เลยจริงๆ นะ
“เอาน่า รอลุ้นก่อน” สาวผู้มากประสบการณ์เอื้อมมือไปตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ คล้ายกับปลอบประโลม
ระหว่างนั้นพนักงานก็เริ่มทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพอดี เฮียไวน์เลยอาศัยจังหวะนี้เพื่อเบี่ยงประเด็น
“อันนี้น่ากินนะ ใครสั่งมา” เขามองตามจากเกี๊ยวสีแปลกๆ ที่กำลังถูกวางลงบนโต๊ะ
“ฉันสั่งมาเองแหละ อร่อยนะ ลองๆ” คนพื้นที่รีบออกตัว
หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มกลับเข้าสู่โหมดปกติ หน้าตาและกลิ่นของอาหารหลากหลายฮิลใจขึ้นมาได้พอสมควร
คุณหมอเริ่มจัดแจงจานอาหารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ นั้นคือสิ่งที่ดูผ่านๆ แบบผิวเผิน ซึ่งตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่พอตั้งใจดูจริงๆ ปรากฏว่าเขากำลังพยายามเลื่อนสิ่งที่ฉันกินไม่ได้ให้อยู่ห่างออกไป และนำสิ่งที่กินได้เข้ามาไว้แทนที่
การกระทำนี้ทำฉันนึกย้อนไปถึงหลายๆ ครั้งที่เรามาทานอาหารข้างนอกด้วยกัน ส่วนมากบนโต๊ะจะไม่มีอาหารที่ฉันกินไม่ได้อยู่เลย ซึ่งฉันคิดมาตลอดว่าเขาก็คงไม่ชอบกินเหมือนกัน และก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากความตั้งใจของเขา
นี่เขาใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยมากขนาดนี้เลยเหรอ…
ฉันเลื่อนมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชามราเมงถูกเลื่อนมาตรงหน้าพอดี
“อันนี้ของน้อง” เฮียไวน์คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
รอยยิ้มแบบนี้มัน…ฆ่ากันได้เลย และฉันยังรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างเรามันแคบลงเรื่อยๆ ผู้ชายตรงหน้าเอียงคอเล็กน้อย ขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย เหมือนกำลังจะบอกว่าฉันใช้เวลาในการมองเขาแบบไม่มีเหตุผลนานเกินไป
เปลือกตาบางกะพริบถี่เพื่อเรียกสติ “อะ…อ้อ ขอบคุณค่ะ”
ฉันเบือนหน้าไปหาผู้หญิงฝั่งตรงข้ามและกลบเกลื่อนด้วยการชี้ไปที่จานเกี๊ยว “อันนี้ข้างในเป็นอะไรคะ”
“หมู กินได้ๆ”
หลังจากได้รับการยืนยันจากพี่พลอยใสว่ามันไม่ใช่อาหารทะเล ฉันเลยคีบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้น แต่พอกัดเข้าไปเท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เกี๊ยวหมูแบบที่เคยกิน ฉันเลื่อนมันออกห่างตัวทันที เพราะมันเป็นหมูหมักหรืออะไรสักอย่าง ที่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ปกติฉันก็ไม่ค่อยทานอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
ความชอบคนเรามันต่างกัน…
ฉันฝืนกลืนครึ่งที่อยู่ในปากลงคอ พลางเหลือบมองอีกครึ่งที่อยู่ปลายตะเกียบ กำลังคิดว่าจะกินต่อ หรือยังไงดี
“ไม่อร่อยเหรอ” พี่พลอยใสถาม เพราะเธอน่าจะเห็นจากสีหน้าฉันที่มันปิดไม่มิด