Chapter​ 2 สุดรัก...สุดร้าย​ (1)

1787 Words
Chapter​ 2 สุดรัก...สุดร้าย​ (1) ภายในห้องแต่งตัวที่ใหญ่พอ ๆ​ กับห้องนอน​ ภริตานั่งอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่​ มองเงาสะท้อนตัวเองในนั้น​ เห็นดวงหน้าหวาน ๆ​ ลอยเด่นที่เคลือบด้วยเครื่องสำอาง แบรนด์ดัง​ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มคล้ายกับยอมรับในความงามนั้น...นั่นคือความจริง...ตลอดหลายปีมานี้ใคร ๆ​ ก็ทักว่าหล่อนสวยวันสวยคืน​ หลายคนทาบทามจองตัวผ่านทางภูดิศ​ ​อยากเกี่ยวดองกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจในอนาคต​ คุยกันเรื่องหมั้นหมายทั้งที่หล่อนยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ แน่นอน...หล่อนไม่รู้เขาคิดอะไรในฐานะผู้ปกครอง​ เพราะในสายตาคนนอก​ ทุกคนต่างมองว่าหล่อนก็มีสถานะไม่ต่างไปจากลูกสาวบุญธรรมของภูดิศ​ และเขาอยากยกหล่อนให้ใครหรือไม่​ ​ไม่อาจคาดเดาเพราะเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ยามต้องเผชิญหน้ากัน และสายตาของ​ อนาวิล ที่มองผ่านกระจกเงายิ่งสนับสนุนความคิดของภริตา​ หล่อนดูสวยเด่นเหมาะแก่การเคียงคู่ไปพร้อมภูดิศในค่ำคืนนี้​ ใบหน้าหวานละมุนตรึงตราใจทำให้ชายหนุ่มภาคภูมิใจในฝีมือตัวเองยิ่งนัก...อนาวิล...ช่างแต่งหน้าประจำตัวรมิตา​ ฝีมือเขาหาคนเทียบยากจนงานรัดแน่น​ และที่สำคัญ...เขามีคนรู้ใจเป็นเพศเดียวกัน "เป๊ะเวอร์​ วันนี้น้องอุ่นของพี่สวยจริง ๆ" ชายหนุ่มดีดนิ้วเปาะหลังลงไฮไลท์เก็บรายละเอียด​เป็นขั้นตอนสุดท้าย...ขณะที่อนาวิลกำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บอุปกรณ์แต่งหน้า​ ภริตาก็ยืนหมุนกายไปมาอยู่หน้ากระจกเงา...ใครเล่าจะรู้​ หลังความสวยหรูนั้นซ่อนสิ่งใดเอาไว้ นั่นคือภาพสะท้อนที่สังคมมองเห็น​ หล่อนสวย​ บ้านรวย​ อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ชายแสนเพอร์เฟคเช่นภูดิศ​ มีชีวิตอย่างสุขสบายในฐานะคุณหนูแห่งบ้านชัชวาลมงคล​ มีคนรับใช้รายล้อมจนแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร​ ชีวิตสุขสันต์ปานอยู่ในวิมานชั้นฟ้าจน​คนนอกได้แต่เฝ้ามองอย่าอิจฉา...แต่... คุณหนูแห่งบ้านชัชวาลมงคลกลับรู้สึกขาดหายซึ่งบางสิ่งบางอย่าง​ หล่อนไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไร​ รู้เพียงแค่ว่ายามอยู่เพียงลำพัง​ บางครั้งความเศร้าก็เข้ามาเยือน เขาว่าคนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่...ภริตา ยอมรับกับคำกล่าวหานั้น​ หล่อนโหยหาอ้อมกอดที่มองไม่เห็น​ อ้อมกอดที่ภูดิศให้หล่อนไม่ได้​ นั่นละ...คือความทุกข์ที่มาพร้อมความสุข​ ราวกับมันกลัวว่าหล่อนจะมีความสุขมากไป​ ก็เลยตามติดเป็นเงาตามตัว ที่ชั้นล่าง...ดูเหมือนว่าภูดิศจะลงมาก่อนไม่นานนัก​ เขายืนรออยู่ตรงทางขึ้นบันได​ แววตาหยิ่งผยองจับจ้องไปยังคนที่เพิ่งเดินลงมา​ ภายใต้สีหน้าราบเรียบ​ เขามองคนที่มีอายุห่างกันถึงยี่สิบปีอย่างพึงพอใจ...หล่อน​ทำให้ท้องไส้เขาปั่นป่วน ใบหน้าสวยโดดเด่นที่มองดูเหมือนไม่ได้ฉาบเครื่องสำอาง​ ความเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจละสายตามาได้​ นั่นคงต้องยกความดีความชอบให้อนาวิล​ ส่วนภริตานั้นไม่รู้หรอก​ สายตาหยิ่งผยองคู่นั้นกำลังมองหล่อนอย่างชื่นชม​ เพราะเขาเล่นซ่อนเอาไว้เสียจนมิดชิด​ ยากที่ใครจะเห็น "ขอโทษนะคะที่ให้รอ" ภริตารู้สึกผิดเล็กน้อย​ เพราะตลอดสิบเจ็ดปีมานี้​ หล่อนถูกสอนจนจำฝังใจ​ เวลาทุกนาทีมีค่า​ เมื่อนัดใครอย่าปล่อยให้คน ๆ​ นั้นต้องคอยนาน​ นี่คือหนึ่งในกฎระเบียบที่เขายัดเยียดให้ปฏิบัติตาม "ไปกันเถอะ" เขามองนาฬิกาแล้วพูดแค่นั้น​ หันหลังเดินนำหน้าไปการอยู่กันของหล่อนและเขาเหมือนมีช่องว่างระหว่างวัยขวางกั้น​ เขาช่างประหยัดคำพูดจนเข้าไม่ถึงในตัวตน​ ตลอดสองสามปีมานี้​ ภริตาเริ่มรู้สึกว่าช่องว่างนั้นขยายมากขึ้น​ หล่อนเคยคิดว่าเป็นเพราะตัวเองโตขึ้น​ ความคิดอ่านเริ่มนอกกรอบ​ ก็เลยเริ่มอึดอัดใจกับความเข้มงวดที่บีบให้หล่อนเดินอยู่ในกรอบมาโดยตลอด ที่หน้าบ้าน​ ลินคอล์นจอดเทียบรออยู่​ แววตากลมโตมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวโตข้างหน้า​ ความผึ่งผายทำให้สัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยองจากร่างกายและท่วงท่า...แน่นอน...เขาหยิ่งผยองเพราะยืนหยัดมาเพียงลำพัง​ ใคร ๆ​ ก็บอกว่าเขาร้าย​ เขาเลือดเย็น​ ทำธุรกิจโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม​ แม้กระทั่งญาติพี่น้อง​ เขาก็ยังมองว่าเป็นศัตรู สิ่งที่ผู้ชายคนนี้เคยบอก​ หล่อนคือคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจ​...และนั่น...หล่อนควรภาคภูมิใจกับมัน​ ในฐานะคนสำคัญแห่งบ้านชัชวาลมงคล เป็นแค่เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง​ ต้องเดินตามหลังเขาอย่างซื่อสัตย์​ ทำได้เพียงแค่นั้น หล่อนมองไม่เห็น ตรงไหน คือความน่าภาคภูมิใจ ตลอดเวลาที่นั่งเงียบ ๆ​ มาในรถ​ สมองของภริตาคิดถึงแต่เรื่องนี้จริง ๆ ++++++ ในช่วงเวลาคลาคล่ำ​ ลินคอล์นแล่นมาจอดเทียบที่หน้าล้อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่ง จากการออกแบบและตกแต่งตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าจนถึงตัวอาคาร บ่งบอกในตัวของมันเองว่าหรูหราแค่ไหน ไม่ต่างจากการแบ่งแยกระดับชนชั้น คนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินเท่านั้น ถึงจะได้เหยียบย่างเข้ามาภายในพื้นที่โรงแรมหรูแห่งนี้​ ภริตาตกอยู่ในภวังค์อีกแล้ว กับความจริงที่เป็นหนามตำใจ​ เจ็บทุกครั้งเมื่อญาติ ๆ ของภูดิศคอยแต่จะตอกย้ำเรื่องกำพืดที่แท้จริง...หากภูดิศไม่เจอหล่อน หากเขาไม่เลี้ยงหล่อนเอาไว้ น้ำหน้าอย่างหล่อนก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาเผยอหน้าในงานเลี้ยงของคนรวยแบบนี้แน่นอน นั่นทำให้มุมปากอิ่มยกยิ้มราวกับเย้ยเยาะให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็พาตัวเองลงจากรถ เพราะภูดิศลงไปยืนรอก่อนหน้านั้นแล้ว เขากางข้อศอกออกข้างหนึ่ง กวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง...การปรากฎกายของเขากับภริตา คนสองคนที่สังคมรับรู้ถึงสถานะ ย่อมเป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ อีกสักพักกล้องทุกตัวก็คงจะโฟกัสมาที่เขาและหล่อนตั้งแต่เดินเข้าบริเวณพื้นที่จัดงาน ภาษากายบอกภริตาให้รู้ว่าต้องทำเช่นไร ท่อนแขนเรียวสอดคล้องเกี่ยวกับท่อนแขนแกร่งที่กางรอ ปั้นหน้ายิ้มเข้าไว้แม้จะเบื่อแค่ไหน นั่นคือมารยาททางสังคมที่ภูดิศ สอนหล่อนมาตั้งแต่รู้ความ “คนในงานมีทั้งเสือสิงห์กระทิงแรด รู้จักที่จะเว้นไว้ซึ่งระยะห่างอย่างเหมาะสม ทุกการเข้าหา ล้วนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง​ เธอควรพูดในสิ่งที่พูดได้เท่านั้น” เขาเอียงหน้ามากระซิบในสิ่งที่หล่อนรู้อยู่แล้ว...ภริตาพยักหน้ายิ้มรับ ตลอดสิบเจ็ดปีมานี้ หล่อนเป็นเด็กดีของเขาเสมอ เชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย และใคร ๆ ก็รู้ เขาเอ็นดูหล่อนมากกว่าลูกหลานแท้ ๆ เสียอีก ไม่แปลกที่ญาติ ของเขาจะหมั่นไส้และพานไม่ชอบภริตา บางคนถึงขั้นเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำ กล้องทุกตัวเล็งมายังคนสองคนที่เดินเกี่ยวแขนกันมาด้วยสีหน้าชื่นมื่น เสียงรัวชัตเตอร์มาพร้อมแสงแฟลชที่สว่างวาบไปทั่ว​ ทั้งสองยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ...หลังจากนี้ก็จะเป็นข่าวในแวดวงสังคม ภูดิศนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้านกับเด็กในปกครองควงคู่กันมาร่วมงานแต่งของคนในแวดวง หลาย ๆ คนล้วนเข้าใจไปแบบนั้น เขาเป็นผู้ปกครองภริตา ก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ในแบบคุณพ่อยังหนุ่มกับลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยสะพรั่ง นั่นคือสิ่งที่ภูดิศไม่ชอบใจเอามาก ๆ เขาไม่ชอบในสิ่งที่สังคมยัดเยียด เขาคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ปกครองของภริตา ไม่ได้เลี้ยงหล่อนมาในฐานะลูกสาว และที่สำคัญเขายังโสดและอายุแค่สามสิบเจ็ด จะให้มีลูกโตเป็นสาวในวัยเพียงเท่านี้ได้อย่างไรกัน บรรยากาศในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างชื่นมื่น อบอวลด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้มาร่วมงาน และออร่าของภริตาล้วนสะดุดตาสะดุดใจผู้ชายหลายคน มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าฝ่าด่านภูดิศเข้ามาทักทาย อาศัยบารมีบิดามารดามาชวนภริตาไปเต้นรำ ภริตาซึ่งอยู่ในกรอบอันเคร่งครัดมาตลอดมีหรือจะกล้าตัดสินใจ แววตากลมโตดำขลับสบกับแววตาคู่คมอย่าง กล้า ๆ กลัว ๆ “คุณอา...เอ่อ...” ไปเถอะ อย่าเสียมารยาท...หล่อนอ่านคำพูดจากการพยักหน้าของเขาและแววตาที่ส่งกลับมา และแม้จะไม่เต็มใจไปเต้นรำกับผู้ชายแปลกหน้า แต่ก็จำต้องไปเพราะภูดิศอนุญาตแล้ว หล่อนคิดแค่ว่านี่คือมารยาทการแสดง ออกทางสังคม เขากำลังสอนให้หล่อนเรียนรู้เพื่อการอยู่รอด ที่สำคัญ...หล่อนกำลังทำตัวเป็นเด็กดี ด้วยการเชื่อฟังเขา ตรงกลางฟลอร์ ท่ามกลางเสียงเพลงขับกล่อม แววตาเข้มหยิ่งผยองเอาแต่จับจ้องไปยังสองหนุ่มสาวที่กำลังวาดลีลาพลิ้วไหวไปกับจังหวะชวนฝัน ยิ่งจับจ้องแววตาคมกล้ายิ่งสั่นไหว เขาเผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บชา เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ภูดิศเฝ้าถามตัวเอง ความรู้สึกนี้...แบบนี้...เขาไม่เคยเป็น มือนั้น...เขามองมือใหญ่ที่ทาบอยู่ตรงเอวคอดกิ่ว เขายิ่งมองทะลุเข้าไป ผิวกายเนียนละเอียดซ่อนอยู่ใต้ชุดราตรีสีเทาอ่อน อกอิ่มที่แทบจะแนบสนิทกับอกแกร่งของชายคนนั้น ริมฝีปากของหล่อน...ใบหน้าของหล่อนที่อยู่ห่างจากอีกฝ่ายแค่ระยะหายใจรด รอยยิ้มและตาสองตาที่สบประสาน...เขาแทบอยากจะบ้า ในหัวอื้ออึงเหมือนมีคนกำลังตะโกนก้อง ท้องไส้ปั่นป่วนหายใจติดขัด เขาเป็นอะไร ทำไมจึงสั่นไปทั้งกายและใจเช่นนี้ คงจะมีแต่คนบ้าที่กล้าทำแบบนี้ กล้าที่จะเดินมาจูงมือคนของเขาไปเต้นรำ กล้าที่จะกอดและสัมผัสผิวเนื้อนุ่ม และหมอนั่นก็แสนบ้าบิ่นและท้าทาย...บ้าไปแล้ว ยิ่งคิดลมหายใจยิ่งแรงขึ้น “ไม่จูบกันไปเสียเลยล่ะ!” เขาเข่นเสียงรอดฟัน ยังคงมองตามการเคลื่อนไหว และคิดอย่างประชดประชัน ทั้งที่เป็นคนอนุญาตเอง ยามนี้เขากลับนั่งหวงหล่อนจนเป้นบ้าเป็นหลัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD