บทที่ 10

3673 Words
(โน POV) สวัสดีทุกคนเราโนเอง พวกเราอาจจะรู้จักกันมาบ้างแล้ว ตอนนี้สิ่งที่อัปเดตขึ้นมาคงเป็นเรามีแฟน และเป็นรักระยะไกล หลังจากอาร์ตกลับไปทำหน้าที่ที่ควรทำ ชีวิตประจำวันก็ปกติเหมือนอาร์ตยังคงอยู่ กิน และก็นอนไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เรารับงานมาทำเพื่อหาเงินในฐานะฟรีแลนซ์ เพราะเพื่อการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขชื่อของเราไม่ควรปรากฏในฐานระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทไหนทั้งนั้น เราถนัดงานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโค้ดสร้างเว็บ งานอะไรก็ได้ที่สามารถทำที่บ้านได้ แค่ไม่ต้องเจอใครก็พอ มีอะไรให้ทำก็ทำ ถ้ามีความสุขกับมันยังไงเราก็ไม่ทุกข์ ตอนนี้เราใช้ชีวิตอยู่ที่คอนโดของอาร์ตเป็นส่วนใหญ่มีกลับห้องของเนมบ้างเพื่อไปเอาหนังสือสุดรักมาเป็นเพื่อนร่วมห้อง แอล และเนมแวะเวียนมาหาทุกครั้งที่พวกนั้นว่าง ถึงจะเป็นการทำลายโลกส่วนตัวของเรา แต่นาน ๆ มาทีก็รับได้ อาร์ตเองก็คอลมาบ้างถ้ามีเวลาว่างถึงแม้จะมีเวลาที่ตรงกันยาก แต่ก็หาเวลาคุยกันได้เสมอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อเนมปรากฏให้เห็นทำให้เราต้องพับงานที่รับมาออกไปทำเวลาอื่น เพื่อป้องกันไม่ให้เนมเอาไปบอก ‘คนพวกนั้น’ เราไม่คิดรับโทรศัพท์ เพราะรู้ว่าตอนนี้เนมรออยู่ในลิฟต์แล้ว ขาดแค่คนกดลิฟต์ชั้นนี้เพื่อพาคนในลิฟต์ขึ้นมาเท่านั้น “ครับ กำลังบอกครับ” น้ำเสียงสุภาพที่นานทีจะได้ยิน ทำให้เราเดินหนีเข้าห้องจากบทสนทนาเมื่อกี้เดาได้ไม่ยากว่าปลายสายต้องการอะไร “โนพ่อบอกให้กลับ” เนมตะโกนบอกจากหน้าประตูห้องนอน เรากับพ่อ...รวมแม่ด้วยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีต่อกันเสียเท่าไหร่ ถึงความสัมพันธ์แบบพี่น้องกับเนมจะไม่แย่ แต่กับคนที่เหลือนั้นยิ่งแย่กว่า คนแบบนั้นเรียกเรากลับบ้านคงหวังจะเอาเปรียบอะไรอยู่แน่ ๆ “พ่อบอกให้เอาเสื้อผ้าไปด้วย มีงานใหญ่” งานใหญ่ของพ่อคงไม่พ้นเรื่องที่จะทำให้เราปวดหัวมากแน่ ๆ แต่คนแบบนั้นมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะไม่หักหน้าพวกเขากลางงาน แต่ก็นะ กล้าชวนก็กล้าไป...ความจริงเราจะไม่ไปก็ได้นะ แต่ใครจะรู้ ถ้าไม่ไปพวกนั้นจะใช้อำนาจในทางผิด ๆ อะไรอีกบ้าง เราหยิบกระเป๋าเป้ใบโปรดมาใส่สิ่งของจำเป็นในการเดินทางครั้งนี้ เป็นกระเป๋าขนาดกลางเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย "เก็บของก่อน" เราบอกให้เนมไปนั่งรอที่โซฟา และส่งข้อความไปบอกแอลว่าจะกลับบ้านสักพัก เมื่อเห็นข้อความโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นทันที 'กลับทำไม' เสียงของแอลนั้นไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน "ไม่รู้ เขาชวนเราก็ต้องไป" เราตอบไปตามความรู้สึก 'ปฏิเสธให้หน้าแตกไปเลยก็ได้นี่' แอลก็ยังเป็นแอล ที่ร้ายกับคนที่ร้ายก่อน ดูเหมือนเรื่องในสมัยก่อนจะติดใจน่าดู "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรีบไปรีบกลับ" 'ฉันโทรไปเธอต้องรับสายฉันนะ ไม่งั้นฉันถล่มบ้านเธอเละแน่' เรายิ้มให้กับคำขู่นี้ เราคุยกับแอลอีกเล็กน้อย และแยกย้ายกันไป เมื่อเปิดประตูออกมา เนมก็เข้ามาแย่งกระเป๋าเป้เราไป พวกเราออกจากคอนโด เนมขับรถพาไปที่สนามบินดูเหมือนสถานที่นัดพบจะไม่ใช่บ้านอย่างที่เราคิด เครื่องบินส่วนตัวของใครสักคนจอดรออยู่ เมื่อขึ้นเครื่องทุกสายตาก็มองที่พวกเราเป็นตาเดียว ก็นะน้องเรามันเด่น ดูเหมือนบนเครื่องจะมีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกผู้ใหญ่คงไปรอกันที่จุดนัดหมายแล้ว เครื่องบินทะยานออกจากท่าอากาศยาน มุ่งตรงไปที่เกาะส่วนตัวกลางทะเล วิวจากมุมสูงปรากฏบ้านพักตากอากาศมากมายละลานตา ดูเหมือนเจ้าของเกาะคงเป็นคนชอบสังสรรค์ ซื้อเกาะส่วนตัวไว้พักผ่อน แต่จัดปาร์ตี้เพื่อเข้าสังคม ย้อนแย้งจริง ๆ เมื่อเครื่องบินลงจอด ผู้โดยสารทุกคนขึ้นรถตู้บริการเพื่อไปหาพวกผู้ใหญ่ รถมุ่งเข้าสู่ใจกลางเกาะที่ถูกตกแต่งด้วยของดูดีมีระดับ อาหารแบบค็อกเทล โต๊ะสีสะอาด ภายใต้ผ้าใบสีนวล ทำให้มื้อเที่ยงนี้ดูดีเป็นพิเศษ แต่พวกเรากลับไม่เห็นพวกผู้ใหญ่เลยสักคน แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นสถานที่จัดงานอีกที่ที่อยู่สูงกว่าพวกเราระดับหนึ่ง พวกผู้ใหญ่รวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างก้มลงมองทักทายลูกของตัวเองด้วยรอยยิ้มการค้า "เชิญพักผ่อนกันตามสบายเลยครับ" พ่อบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นเป็นสัญญาณให้แต่ละคนได้ใช้เวลาของตัวเอง ทุกคนต่างกรูเข้าหากันเพื่อสร้างสายสัมพันธ์อันดี เราเดินไปหยิบของกินในถาด และเดินแยกตัวออกไปในบริเวณป่าเงียบ ๆ มันไม่ไกลจากสถานที่จัดเลี้ยง แต่ก็ไม่ใกล้จนความสงบหายไป เรารู้จุดประสงค์ของคนพวกนั้นแล้ว พวกนั้นกำลังจับคู่ลูก ๆ ของตัวเองเพื่อความเจริญของธุรกิจตัวเอง หากลูกใกล้ชิดกับใครมาก ๆ เข้าการหมั้นหมายอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว วัยรุ่นในงานบางคนก็รู้จุดประสงค์ของพ่อแม่ตัวเอง และให้ความร่วมมืออย่างดีที่จะตามหาคนที่ใช่ บางคนก็ไม่พอใจ และเดินแยกตัวออกมาเหมือนเรา แต่ก็มีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวสนุกสนานไปกับงานสังสรรค์ตรงหน้า "ทำไมมาอยู่ตรงนี้" เสียงเนมดังขึ้นพร้อมร่างสูงใหญ่ที่นั่งลงข้าง ๆ เราหันไปมองเนมเพื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายรู้ถึงจุดประสงค์ของปาร์ตี้นี้ไหม "อยากอยู่เงียบ ๆ" เนมพยักหน้ารับรู้ และนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนกันมากเกินไป "ทำไมไม่ไปอยู่ในงาน" เราถามขึ้น "ตรงนั้นคนเยอะแล้ว" "เราไม่เหงาหรอกนะ" "ก็อยากอยู่ตรงนี้" เราเงียบไป และปล่อยให้เนมทำตามใจ เราสองคนสลับลุกไปหยิบของกินกันเป็นพัก ๆ ระยะเวลาของในการหยิบไม่เคยเท่ากันเพราะเนมจะถูกเรียกไว้ตลอดจากผู้หญิงหลาย ๆ คน ดูเป็นหนุ่มเนื้อหอมไม่เบา เสียงไลน์เรียกเข้าดังขึ้นหน้าจอปรากฏรูปโปรไฟล์ของอาร์ต...ดูเหมือนจะมีคนพึ่งตื่นนอน เราเปิดวิดีโอคอลส่องพื้น เราไม่ค่อยชอบส่องหน้าตัวเองเสียเท่าไหร่ มองอาร์ตที่มีสีหน้าสะลึมสะลืมในจอ 'อยู่ไหนครับเนี่ย' เมื่อเห็นพื้นที่ไม่คุ้นเคย อาร์ตก็ถามขึ้นทันที เราว่าอาร์ตเห็นพื้นเยอะกว่าเห็นหน้าเราซะอีก "เนมพามาที่ไหนไม่รู้" 'อยู่แถวไหนครับ' "กลางน้ำสักที่น่ะ" สีหน้างงงวยของปลายสายทำให้เรารู้สึกขบขัน "เนมพามาที่สนามบิน แล้วก็บินมาที่เกาะไหนไม่รู้" เราอธิบายเพิ่มอีกหน่อย 'จะกลับวันไหนครับ' "ไม่รู้เหมือนกัน" เราตอบตามตรง อาร์ตขมวดคิ้วกับคำตอบของเราที่ไม่มีความชัดเจนสักอย่าง 'แล้วเนมอยู่ไหนครับ' เราหันกล้องไปหาเนมในฝูงชนเป็นการตอบคำถามของอาร์ต 'คนเยอะเลยนะ งานอะไรน่ะครับ' "ไม่รู้ คนพวกนั้นบอกให้มาเลยมา" อาร์ตชะงักทันทีที่ได้ยินคำว่า คนพวกนั้น 'พี่โนอยากกลับไหม ผมให้คนรู้จักไปรับได้นะ' เราเจอคนมีเงินเพิ่มอีกคนแล้ว แต่อยากกลับแค่ไหนมันก็มีปัญหาตรงที่ว่าที่นี่เป็นเกาะส่วนตัว เครื่องบินลำไหนจะจอดได้บ้างล่ะ "ไม่เป็นไร อาร์ตไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวไปเรียนสาย" 'ถ้ามีอะไรไม่ดีพี่ต้องบอกผมทันทีนะ' คนปลายสายรีบพูดก่อนเรากดตัดสาย อาร์ตทำเหมือนถ้าเกิดปัญหาจะมาหาได้อย่างงั้นแหละ แต่มันก็รู้สึกดีนะที่มีคนเป็นห่วงน่ะ เรานั่งชมวิวไปเรื่อย ๆ จนเขาอนุญาตให้เด็ก ๆ ไปพักผ่อนที่ริมหาด ทุกคนต่างเคลื่อนย้ายด้วยความรวดเร็ว เพราะถึงแม้จะอยู่กันคนละส่วน แต่การที่อยู่ภายใต้สายตาผู้ใหญ่มันก็อึดอัดอยู่ดี เราสอบถามบ้านพักของทางนี้จากพวกผู้ดูแล เมื่อรู้เลขบ้านเราก็มุ่งไปที่นั่นโดยไม่คิดชมวิวรอบข้างเลย บ้านหรูแบบนี้เตียงต้องสบายมากแน่ ๆ เราเปิดประตูกระโดดใส่เตียงทันที หมอนเกรดพรีเมี่ยม ผ้าปูเนื้อนุ่มทำให้อารมณ์ไม่พอใจในตอนแรกหายไปเป็นปลิดทิ้ง เมื่อตัดสินใจจะพักผ่อนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดความสงบของเราอีกครั้ง 'อยู่ไหน' เสียงห้วนถามขึ้นทันทีที่รับสาย เสียงที่เราแทบจำไม่ได้นี้เป็นของคนที่ไม่คิดว่าจะโทรมาหาเราโดยตรง "บ้านพัก" เราตอบกลับไปเสียงอู้อี้เพราะฝังหน้าลงกับหมอนอยู่ 'ไปคุยกับแมนลูกของคุณพล ฉันกับคุณพลจะให้พวกแกดูใจกัน' "ใจไม่ว่าง มีเจ้าของแล้ว แค่นี้นะ" เรากดตัดสายทันทีไม่รอฟังอะไรอีก สายเรียกเข้ายังคงดังต่อไป คนพวกนี้ต้องการอะไรนักหนา นอกจากให้กำเนิดแล้วก็ไม่เคยเลี้ยงดูกันดี ๆ เลยสักครั้ง มีข้าวให้กินก็เพราะหน้าที่ มีห้องให้อยู่ก็เพราะไม่อยากเห็นหน้า มีหนังสือให้เรียนก็เพราะมันดูดีในสายตาคนอื่น พอเราโตพอที่จะทำอะไรด้วยตัวเองได้ กลับมาเรียกร้องขอสิ่งตอบแทนที่พวกนั้นยอมทำตามหน้าที่เหล่านั้นเสียอย่างนั้น หน้าที่เราตอนนี้คือทำให้ตัวเองมีความสุข ไม่ใช่กลับไปทุกข์แบบที่ผ่าน ๆ มา เราต้องตอบแทนตัวเองที่ผ่านพ้นมันมาได้ ไม่ใช่ตอบแทนอุปสรรคความสุข ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เราลุกไปเปิดประตูเนมยืนอยู่ตรงนั้น "ต้องการอะไร" เราถามเสียงห้วน เนมเองก็มีสีหน้าหงุดหงิดพอ ๆ กับอารมณ์เราในตอนนี้ "พ่อสั่งอะไรก็ทำตามไปสิ อย่าขัด" เนมโวยออกมาทันที เราไม่คิดคุยด้วยต่อ ปิดประตูใส่หน้าปิดกั้นเสียงโวยวายของอีกฝ่าย "โนอย่ามาเอาแต่ใจที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ" เนมยังคงเคาะประตูต่อไป เรานึกเหนื่อยใจกับน้องชายตัวเอง เนมเป็นน้องชายที่เข้าหาเราด้วยความไม่ชอบใจ ทำไมพี่สาวเราไม่สนใจเรา ทำไมคนอื่นต้องมายุ่งกับพี่สาว ทำไมพี่สาวไม่อยู่กับเรา เป็นน้องชายต้องได้มากกว่า ต้องสนใจเขา ต้องรักเขามากกว่าคนอื่น ๆ ทุกการกระทำของเนมคือการไขว่คว้าหาสิ่งที่เราไม่รู้สึกอยากให้ โดยไม่สนใจเลยว่าสิ่งที่เรียกร้องนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ที่จะสามารถทำกันได้ง่าย ๆ แบบที่คนพวกนั้นจำใจเลี้ยงเราเพราะเป็นหน้าที่ของผู้ให้กำเนิด "พ่อหวังดีกับโน แมนเป็นทายาทธุรกิจการขนส่งขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายทั้งใน และนอกประเทศนะ อย่าทำให้พ่อเดือดร้อนแบบที่ทำมาตลอด" เราไม่พอใจเนม เนมก็รู้อยู่แล้วว่าเรามีแฟน แต่เนมกำลังเสนอให้เรานอกใจแฟนไปคุยกับคนอื่นเนี่ยนะ โดนใครสอนมาเนี่ย "คิดได้แค่นี้ก็ไสหัวไป" เนมนิ่งไป ก่อนที่เสียงเตะประตูจะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงลงน้ำหนักเท้าที่เดินจากไป ดูเหมือนเนมจะไม่พอใจที่เราพูดใส่แบบนั้น เราว่ามันยังเบา ๆ นะครอบครัวนี้นี่ไม่ค่อยอยากให้เราใช้ชีวิตสงบเลย วันนี้ทั้งวันเราใช้เวลาอยู่แต่ในห้อง คุยไลน์กับแอล และอาร์ต ไล่หานิยายในแอปพลิเคชันต่าง ๆ อ่านจบไปหลายเรื่อง จนถึงช่วงเวลาอาหารเย็น เนมส่งรูปผู้ชายคนหนึ่งมาให้ ดูจากท่าทางแล้วคนคนนี้คือแมน ผู้ชายพี่พ่อต้องการจับคู่ให้ ผู้ชายในรูปผมสีดำ ตาสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาไม่ได้มีอะไรเด่นนัก แต่หุ่นของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าดีทะลุเสื้อ...รูปนี้คุ้น ๆ แฮะ เมื่อรู้สึกคุ้นต้องพยายามนึก เราเคยเห็นรูปนี้...ในแชทเพื่อนเรา เพื่อนที่เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวสายรู้ไส้รู้พุงกันทุกอย่าง...คนที่อวดนักหนาว่าคนคนนี้ดูแลมันในฐานะแฟนดีแค่ไหน ...เราว่าเราคงต้องไปเจอเสียหน่อยแล้ว เมื่อตัดสินใจได้ เราก็เดินออกไปเพื่อร่วมงานเลี้ยงยามค่ำที่จัดอยู่ริมหาด สายตาสอดส่องหาคนในรูปเจ้าปัญหา ก่อนจะเจออีกฝ่ายนั่งคลอเคลียอยู่กับผู้หญิงชุดห่มน้อยสองสามคน เสน่ห์แรงไม่เบา ทำปาร์ตี้กลางคืนให้เป็นผับได้เนี่ย เราเดินเข้าไปหา และยื่นภาพในโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายดู แมนดูงง ๆ แต่เมื่อเห็นภาพในโทรศัพท์ ร่างสูงก็เด้งตัว และลากเราออกไปยืนคุยกันข้างงานทันที "เธอต้องการอะไร คิดจะแบล็กเมล์ฉันหรือไง อยากได้เงิน หรืออยากได้ฉันล่ะ" แมนเปิดปากถามทันทีที่ออกมา เราอยากรู้จังว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนเยอะแยะ นิสัยคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้น่ารังเกียจจริง ๆ เราต้องการอะไรด้วยเหรอ เราแค่โชว์ภาพแฟนนายให้นายดูเท่านั้นเอง "คนนี้แฟนนายไม่ใช่เหรอ ไม่พามาเปิดตัวละ" "แค่คนคุยเล่น นอนด้วยกันไม่กี่คืนอย่าคิดว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าฉันล่ะ" “เราไม่คิดจะทำอะไรนายทั้งนั้น เราแค่สนใจความรักระหว่างพวกนาย ดูรักกันดีนี่” ท่าทางของแมนผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าเราไม่มีท่าทีคุกคาม อีกฝ่ายมองสำรวจเรา รอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฏขึ้น “แค่คู่นอนแก้เบื่อเท่านั้น ถ้าเธอสนใจฉันก็เป็นให้เธอได้” อา ทำไมเจอแต่คนสันดานเลวนะ เราไม่คิดโกรธการกระทำของคนตรงหน้า รู้สึกดีด้วยซ้ำที่เป็นคนทำลายสายสัมพันธ์บ้า ๆ แบบนี้ ถ้าเพื่อนไม่พอใจที่เราทำ ก็ถือว่าเราทำสิ่งที่หวังดีที่สุดไปแล้ว เราต่อสายหาเพื่อนต่อหน้าผู้ชายเลวคนนี้ทันที เมื่อมันรับสายเราเล่าทุกอย่างให้ฟัง และส่งโทรศัพท์ให้แมน แมนนิ่งค้างกับสิ่งที่เราทำลงไป ร่างสูงไม่กล้าแม้แต่จะยกมือมาหยิบโทรศัพท์ไปคุย ทำให้เราต้องกดเปิดลำโพง 'ช่วงเวลาที่ผ่านมามันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก...แต่มันคงดีไม่พอใจนาย เราเลิกกันเถอะ' สายตัดไปทันทีที่ประโยคนี้จบลง "เธอ!" ข้อมือเราถูกคว้าไว้แน่น ความปวดร้าวเกิดขึ้น เราพยายามดึงมือออกแต่ไม่สามารถทำได้ "ปล่อย" ยิ่งได้ยินคำพูดเรา แรงที่ข้อมือก็กำแน่นขึ้นจนเริ่มรู้สึกเลือดไม่เดิน "ปล่อยสิ" "หนุ่ม ๆ สาว ๆ ทำอะไรกันอยู่" ในสถานการณ์ที่แย่มักมีเหตุการณ์ที่แย่กว่าเกิดขึ้นเสมอ ผู้ใหญ่สองคนเดินเข้ามาทักทายพวกเรา คนหนึ่งพ่อเรา อีกคนพ่อแมน ทั้งสองยิ้มอย่างพอใจกับท่าทางที่ดูสนิทสนมกันดี (?) ของพวกเรา พวกคุณเห็นไหม มือจะม่วงแล้วเนี่ย “ดูเหมาะสมกันดีนะครับ” พ่อเราพูดยกยอทันที แมนยกยิ้มเมื่อเข้าใจสถานการณ์ มือหนาโอบรอบไหล่เรา รั้งเข้าชิดตัวจนเกินพอดี “ขอบคุณครับ เรากำลังคุยกันสนุกเลย” “ใช่ คุยว่าหลอกใครมาแล้วกี่คน แล้วพึ่งโดนบอกเลิกมาเมื่อกี้” แมนนิ่งค้างไม่คิดว่าเราจะพูดแบบนี้ เราปัดมือของแมนออกจากไหล่อย่างรังเกียจ “มันก็ถือเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นถูกไหม” นอกจากไม่รู้สึกแย่แล้ว ยังสนับสนุนกันด้วยสินะพ่อลูกคู่นี้ “ใช่ มันเป็นเรื่องปกติโนขอโทษแมนซะ” “พอดีสังคมเรารังเกียจคนแบบพวกคุณ ขอตัว” เราเดินหนีไปทันที แต่กลับถูกมือหนาของคนเป็นพ่อคว้าลากกลับไป “ผมสั่งสอนลูกไม่ค่อยดี ขอโทษแทนโนด้วย” “ไม่เป็นอะไรผมไม่ถือสา” “เราถืออย่ามาแตะต้องตัวเรา คุณมันน่ารังเกียจ” เรายกเท้าถีบข้อเข่าของคนวางอำนาจ ทำให้คนแก่เข่าทรุดไปนั่งกับพื้นเมื่อข้อมือเป็นอิสระเราก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว “น่าขยะแขยง” เราเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างสัมผัสอันน่ารังเกียจออกไป เมื่อล้างจนพอใจ หน้าประตูก็ปรากฏคนถือวางอำนาจอีกคน “แกไม่ควรทำแบบนั้นกับพ่อตัวเอง” “เราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่คุณทำนี่” เราเดินแทรกตัวออกไป แต่ข้อมือเราโดนจับอีกครั้ง ต้องล้างมือใหม่อีกแล้ว “แค่อยู่เงียบ ๆ ยิ้ม ๆ และเออออตามพ่อตัวเองมันจะตายหรือไง” เราดึงมือออกมา จิ้มนิ้วไปที่อกแม่ตัวเอง “แล้วคุณมีความสุขหรือไง ทำแบบนั้นจนได้ลูกแบบนี้น่ะ” เพี้ยะ หน้าเราสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือบาง เราได้รสเลือดในปากตัวเอง เอาละ เราว่าคนพวกนี้เริ่มทำเกินไปแล้ว “ฉันบอกให้ทำอะไรก็ทำ อยู่เงียบ ๆ ทำตัวดี ๆ ไปไม่ต้องออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ผู้หญิงต้องอดทนแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้” เรายกเท้าเตะสีข้างของอีกฝ่ายจนล้มกระแทกกับพื้นทราย ผู้ใหญ่ที่หน้าจมทรายกำลังมองมาที่เราอย่างตกใจ “งั้นคุณก็อดทนกับการกระทำของเราสิ ทำเองไม่ได้อย่ามาให้เราทำ” เราไม่รู้สึกผิดที่ลงไม้ลงมือกับพ่อแม่ตัวเอง คนตรงหน้าคือคนแปลกหน้าสิ่งที่เราทำถือเป็นการป้องกันตัว คนบนพื้นรีบดันตัวขึ้นมายืนทันที ร่างบางพุ่งเข้ามาหาเรื่องเราอีกครั้ง “ทำอะไรกัน” ทำไมวันนี้เจอคนเยอะจังเลย เราไม่คิดอยู่ต่อเพิ่มภาระสมอง เราเดินออกมาทันทีทิ้งให้ผู้ใหญ่เขาคุยกันเอง เมื่อถึงห้องเราต่อสายหาเพื่อนเราทันที “มึงเป็นไงบ้าง” ในหมู่เพื่อนสนิท มันต้องมีสักคนที่เราหยาบได้เต็มที่ และเป็นตัวเองได้ถึงที่สุดเป็นตัวเองแบบที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไปไหน ‘ชิลอะมึง’ เพื่อนเสียงสั่นเรามั่นใจ “ไปหาคนใหม่ อย่าจมอยู่กับคนเหี้ย ๆ” ‘กูพอกับความรักแล้ว ไม่มีใหม่แล้ว’ ประโยคนี้มันดูร้ายแรงนะ แต่เราได้ยินประโยคนี้มารอบที่ล้านแล้ว ขนาดรอบก่อนล้านมันยังมีแมนได้เลย “เค เอาที่สบายใจ” ‘แล้วมึงอยู่ไหน’ เมื่อเพื่อนเปลี่ยนเรื่องเราก็ไม่อยากพาเพื่อนเครียด “มาดูตัวกับแฟนมึงไง” มันดูเป็นประโยคที่ไม่สมควรพูดในตอนนี้ แต่ไม่ใช่กับเพื่อนคนนี้ เรารู้ดีว่าคนคนนี้เอาเราเป็นที่หนึ่งเสมอ ถึงแม้จะปากร้ายขนาดไหนก็ตาม ‘จริงปะเนี่ย มึงอย่าไปเอามันนะอย่างแย่เลย’ เมื่อเพื่อนว่าแมนได้ เราก็สบายใจแสดงว่าไม่ได้รู้สึกแย่จนเกินไป ‘ไม่ใช่ว่ามึงมีแฟนแล้วเหรอ’ “ใช่ แต่คนพวกนั้นอยากได้เลยปัดหน้าที่มาให้กู” ‘งั้นพวกนั้นก็เหี้ย กลับเมื่อไหร่ ไปหาอะไรกินกันคราวก่อนน้องมึงมากินด้วยกูไม่กล้าใส่สุด’ มันพูดถึงวันกินไอติมที่อาร์ตโดนบอกเลิก เพื่อนเราคนนี้ก็คือคนในเหตุการณ์วันนั้น “ได้ เดี๋ยวทักไปอีกที” ‘น้องมึงก็หน่วยก้านดีนะ หุ่นดีปะเผื่อกูจะจีบ’ “หุ่นนักบาสน่ะ ถ้าจะจีบก็รอน้องมันเลิกกะกูก่อนแล้วกัน” เพื่อนเราชะงักไปก่อนจะโวยวายออกมา ‘มึงกินเด็กเหรอ กูรู้ว่ามีแต่ไม่นึกว่าเป็นคนนั้น’ ปลายสายพูดอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนเพื่อนจะไม่เศร้าแล้วจัดการความรู้สึกตัวเองได้ดีเลยล่ะ เก่งมาก “ก็น้องมันจีบ กูก็ชอบเลยตกลงไป” เราตอบไปตามตรง “ถ้ามันไม่ใช่ก็ถือว่าได้ลองแล้ว” ‘จ๊ะ ยินดีด้วยที่มีแฟนคนแรกแบบคนอื่นเขาสักที’ “แฟนคนแรกอะไร มึงต่างหากแฟนคนแรกของกู” ‘แล้วเราไปเลิกกันตอนไหน นอกใจเราเหรอ’ เรากับเพื่อนหัวเราะใส่กันอย่างสบายใจ คนคนนี้คือที่พักใจอีกที่ของเรา เราไม่อยากให้เขาเจอคนที่ไม่สามารถเข้ากันได้ แต่ในฐานะเพื่อนเราก็ทำได้แค่สนับสนุน หรือกล่าวเตือนการตัดสินใจของเขามากกว่า เราไม่สามารถเอาความคิดของเรายัดเยียดให้อีกฝ่ายได้หรอกเนอะ พวกเราคุยกันจนมืด เมื่อวางสายหนอนง่วงก็คืบคลานเข้ามาให้โสตประสาท เราอาบน้ำเตรียมตัวนอนเพื่อรับศึกในวันพรุ่งนี้ ถึงแม้เราจะอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของเรา แต่หากมันจำเป็นต้องอยู่เราต้องหาที่ปลอดภัยให้ตัวเองไม่ว่าที่ปลอดภัยนั้นจะเป็นคน หรือสิ่งของก็ตาม และแน่นอนการหาที่ปลอดภัยคือการต่อสู้กับสิ่งไม่ปลอดภัย ดังนั้นการพักคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD