ปากดี 11

841 Words
“สุดยอดครับ สุดยอดจริงๆ” ไคม์ปรบมือรัวแบบประชดประชันที่รู้ว่าฉันไม่เคยกินข้าวในมหาวิทยาลัย ฉันไม่ได้หัวสูงจนไร้สติขนาดนั้น แต่ฉันกินข้าวที่นั่นไม่ได้จริงๆ ฉันเป็นโรคทนเสียงจอแจไม่ได้ และไม่ชอบกินข้าวในสถานที่ที่มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกครั้งที่นั่งอยู่ในนั้นฉันจะเหมือนคนบ้า มีแต่ของเผ็ดๆ รสชาติก็ไม่ถูกปาก กินแล้วท้องเสียอยู่บ่อยครั้งจนฉันเลิกพยายามแล้ว และฉันประหม่าที่ต้องยืนต่อแถวรอคิวและต้องเดินหาโต๊ะนั่งทานข้าว เพราะฉันไม่มีใครนอกจากมินตรา ยัยนั่นมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลังเวลาทานอาหาร เวลาติวหนังสือหรือทำรายงานก็ไปกันเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งฉันอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้และไม่เคยขอให้ใครเข้าใจ ฉันอยู่คนเดียวได้และทำมันมาตลอดสามปีในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ “พี่มีเรียนตอนบ่ายสาม” “แล้ว?” “เรามีเรียนอีกไหม” “บ่ายโมงครึ่ง” “งั้นเดี๋ยวพอจบคลาสเรากลับบ้านพร้อมกันนะ” ตานั่นคีบซูชิหน้าโปรดของฉันเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ดีที่ฉันสั่งมาเผื่อไคม์เยอะ “หมายถึงคลาสของฉันหรือของนาย” “ก็ต้องของพี่สิครับ” ซูชิในปากฉันแทบสำลักออกมา ทำไมฉันต้องรออีตานี้เลิกเรียนก่อนด้วยล่ะ ฉันว่าไม่เห็นจำเป็น “เอาน่า! พี่เรียนแค่ชั่วโมงเดียว เสร็จแล้วเดี๋ยวไปทานมื้อเย็นกันก่อนเข้าบ้าน” ไคม์ยัดซูชิรีบๆ จากนั้นก็เรียกเก็บตังค์หน้าตาเฉย ขากลับตานั่นขอขับเองเพราะเขารู้เส้นทางที่เลี่ยงรถติดบนท้องถนน “เอ๊ะนี้” “นะๆ แค่ชั่วโมงเดียว” “เพื่ออะไร ทำไมฉันต้องรอนายด้วย วิชานี้ฉันไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ” “อาจารย์พี่ใจดีเขาไม่ว่าอะไรหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าเราเพิ่งแต่งงานกัน สร้างภาพสวีทหวานๆ ให้คนอิจฉาสักหน่อยพวกผู้ใหญ่เขาจะได้เลิกจ้องจับผิดเราสักที หนูดีโป๊ะแตกเองนะ” “ห้ะ!?” ฉันลืมไปว่าพ่อแม่ที่น่ารักของฉันต้องตามติดชีวิตลูกสาวคนนี้อย่างไม่คาดสายตาแน่นอน ถ้าฉันยังแยกกันใช้ชีวิตกับไคม์อยู่แบบนี้ คิดไม่ออกเลยว่าแผนของพวกผู้ใหญ่จะทำยังไงต่อไป “ครั้งหน้าเขาจะให้พี่ย้ายไปอยู่บ้านเรานะ” “โอ๊ยพอ! ไปก็ไป” อยู่บ้านฉันแยกห้องนอนคงจะไม่ได้ ฉันต้องร่วมห้องร่วมเตียงกับไคม์ ไหนจะต้องแสดงละครรักให้พ่อแม่เห็นอีกฉันคงกัดลิ้นตัวเองตายเข้าสักวัน ฉันอยู่ในฐานะที่เหลืออะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะตายหรือเป็น “ไปไหนอีก! เลิกเรียนก็กลับบ้านสิ เบื่อจะตายอยู่แล้ว” “ไปห้องคณบดีก่อน” “ไปทำไม” ไปจัดการเรื่องวันนั้นให้เรียบร้อยตามความที่มันควรจะเป็น หัวหน้าคณบดีแจ้งกับไคม์ว่าเจ้าตัวต้องมายื่นความจำนงเอง ใครก็แจ้งแทนกันไม่ได้แม้คนนั้นจะอยู่ในฐานะสามีก็ตาม “ช่างมันเถอะค่ะ ดิฉันไม่สนใจ” “หนูดี! จะปล่อยคนทำผิดไปแบบนี้เหรอนี่มันในสถานศึกษาเลยนะ” “นายจะลงโทษแฟนคลับนายยังไง เลิกแจกลายเซ็นงั้นเหรอ” “อย่ามาไร้สาระได้เปล่าวะ” ไคม์ขึ้นเสียงใส่ฉันแต่ช่างเถอะ บอกแล้วว่าไม่สน “เรื่องของฉันซึ่งฉันขี้เกียจตาม นายไม่ต้องยุ่ง” ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่ไม่ควรจะมีกล้องติดไว้ ใครจะสบายใจหากรู้ว่าในห้องน้ำหญิงมีกล้องวงจรปิดคอยเก็บภาพในนั้น และพื้นที่ตรงนั้นก็เป็นจุดอับที่ไม่มีรัศมีกล้องส่องไปถึง เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านักศึกษาคนใดที่เดินผ่านไปตรงนั้นจะมีใครเข้าบ้างที่แวะเข้าห้องน้ำ ไคม์รู้จุดนี้ดี แต่ที่เขาต้องการให้ฉันมาแจ้งความกับคณบดีก็เพื่อให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของนักศึกษา การตามตัวคนผิดแทบจะไม่มีหวัง แต่อย่างน้อยคนถูกกระทำควรออกมาเรียกร้องว่าถูกทำร้าย “ต่อไปมันอาจหนักกว่านี้ก็ได้” “แล้วมันเกิดขึ้นรึยัง” “ต้องรอให้เกิดขึ้นก่อนเหรอวะ ทำไมไม่รู้จักห่วงตัวเอง” อึ้งนะ! ไคม์พูดเหมือนว่าเป็นห่วงฉันซะมากมาย แล้วเขาจะมาหงุดหงิดอะไรกับเรื่องพวกนี้ ผู้หญิงของเขานั่นแหละที่ตามราวีชีวิตฉัน “เอางี้นะคะนักศึกษา อาจารย์ว่าเธอสองคนไปตกลงกันก่อนแล้วค่อยมายื่นเรื่องใหม่ เดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยจะตั้งทีมตรวจสอบและสืบหาพยานด้วย” “คงไม่กลับมาแล้วครับอาจารย์” “อ้าวแล้ว...” “ต่อไปผมจะตามติดเฝ้าทุกฝีก้าวเองครับ จากนี้ไปคงไม่มีใครมาทำอะไรได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD