“สุดยอดครับ สุดยอดจริงๆ”
ไคม์ปรบมือรัวแบบประชดประชันที่รู้ว่าฉันไม่เคยกินข้าวในมหาวิทยาลัย ฉันไม่ได้หัวสูงจนไร้สติขนาดนั้น แต่ฉันกินข้าวที่นั่นไม่ได้จริงๆ
ฉันเป็นโรคทนเสียงจอแจไม่ได้ และไม่ชอบกินข้าวในสถานที่ที่มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง
ทุกครั้งที่นั่งอยู่ในนั้นฉันจะเหมือนคนบ้า
มีแต่ของเผ็ดๆ รสชาติก็ไม่ถูกปาก กินแล้วท้องเสียอยู่บ่อยครั้งจนฉันเลิกพยายามแล้ว
และฉันประหม่าที่ต้องยืนต่อแถวรอคิวและต้องเดินหาโต๊ะนั่งทานข้าว
เพราะฉันไม่มีใครนอกจากมินตรา
ยัยนั่นมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลังเวลาทานอาหาร เวลาติวหนังสือหรือทำรายงานก็ไปกันเป็นกลุ่มก้อน
ซึ่งฉันอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้และไม่เคยขอให้ใครเข้าใจ ฉันอยู่คนเดียวได้และทำมันมาตลอดสามปีในรั้วมหาวิทยาลัยนี้
“พี่มีเรียนตอนบ่ายสาม”
“แล้ว?”
“เรามีเรียนอีกไหม”
“บ่ายโมงครึ่ง”
“งั้นเดี๋ยวพอจบคลาสเรากลับบ้านพร้อมกันนะ” ตานั่นคีบซูชิหน้าโปรดของฉันเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ดีที่ฉันสั่งมาเผื่อไคม์เยอะ
“หมายถึงคลาสของฉันหรือของนาย”
“ก็ต้องของพี่สิครับ”
ซูชิในปากฉันแทบสำลักออกมา
ทำไมฉันต้องรออีตานี้เลิกเรียนก่อนด้วยล่ะ
ฉันว่าไม่เห็นจำเป็น
“เอาน่า! พี่เรียนแค่ชั่วโมงเดียว เสร็จแล้วเดี๋ยวไปทานมื้อเย็นกันก่อนเข้าบ้าน”
ไคม์ยัดซูชิรีบๆ จากนั้นก็เรียกเก็บตังค์หน้าตาเฉย ขากลับตานั่นขอขับเองเพราะเขารู้เส้นทางที่เลี่ยงรถติดบนท้องถนน
“เอ๊ะนี้”
“นะๆ แค่ชั่วโมงเดียว”
“เพื่ออะไร ทำไมฉันต้องรอนายด้วย วิชานี้ฉันไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ”
“อาจารย์พี่ใจดีเขาไม่ว่าอะไรหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าเราเพิ่งแต่งงานกัน สร้างภาพสวีทหวานๆ ให้คนอิจฉาสักหน่อยพวกผู้ใหญ่เขาจะได้เลิกจ้องจับผิดเราสักที หนูดีโป๊ะแตกเองนะ”
“ห้ะ!?”
ฉันลืมไปว่าพ่อแม่ที่น่ารักของฉันต้องตามติดชีวิตลูกสาวคนนี้อย่างไม่คาดสายตาแน่นอน
ถ้าฉันยังแยกกันใช้ชีวิตกับไคม์อยู่แบบนี้ คิดไม่ออกเลยว่าแผนของพวกผู้ใหญ่จะทำยังไงต่อไป
“ครั้งหน้าเขาจะให้พี่ย้ายไปอยู่บ้านเรานะ”
“โอ๊ยพอ! ไปก็ไป”
อยู่บ้านฉันแยกห้องนอนคงจะไม่ได้ ฉันต้องร่วมห้องร่วมเตียงกับไคม์ ไหนจะต้องแสดงละครรักให้พ่อแม่เห็นอีกฉันคงกัดลิ้นตัวเองตายเข้าสักวัน
ฉันอยู่ในฐานะที่เหลืออะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะตายหรือเป็น
“ไปไหนอีก! เลิกเรียนก็กลับบ้านสิ เบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ไปห้องคณบดีก่อน”
“ไปทำไม”
ไปจัดการเรื่องวันนั้นให้เรียบร้อยตามความที่มันควรจะเป็น
หัวหน้าคณบดีแจ้งกับไคม์ว่าเจ้าตัวต้องมายื่นความจำนงเอง ใครก็แจ้งแทนกันไม่ได้แม้คนนั้นจะอยู่ในฐานะสามีก็ตาม
“ช่างมันเถอะค่ะ ดิฉันไม่สนใจ”
“หนูดี! จะปล่อยคนทำผิดไปแบบนี้เหรอนี่มันในสถานศึกษาเลยนะ”
“นายจะลงโทษแฟนคลับนายยังไง เลิกแจกลายเซ็นงั้นเหรอ”
“อย่ามาไร้สาระได้เปล่าวะ” ไคม์ขึ้นเสียงใส่ฉันแต่ช่างเถอะ บอกแล้วว่าไม่สน
“เรื่องของฉันซึ่งฉันขี้เกียจตาม นายไม่ต้องยุ่ง” ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่ไม่ควรจะมีกล้องติดไว้
ใครจะสบายใจหากรู้ว่าในห้องน้ำหญิงมีกล้องวงจรปิดคอยเก็บภาพในนั้น
และพื้นที่ตรงนั้นก็เป็นจุดอับที่ไม่มีรัศมีกล้องส่องไปถึง เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านักศึกษาคนใดที่เดินผ่านไปตรงนั้นจะมีใครเข้าบ้างที่แวะเข้าห้องน้ำ
ไคม์รู้จุดนี้ดี
แต่ที่เขาต้องการให้ฉันมาแจ้งความกับคณบดีก็เพื่อให้ตระหนักถึงความปลอดภัยของนักศึกษา การตามตัวคนผิดแทบจะไม่มีหวัง
แต่อย่างน้อยคนถูกกระทำควรออกมาเรียกร้องว่าถูกทำร้าย
“ต่อไปมันอาจหนักกว่านี้ก็ได้”
“แล้วมันเกิดขึ้นรึยัง”
“ต้องรอให้เกิดขึ้นก่อนเหรอวะ ทำไมไม่รู้จักห่วงตัวเอง”
อึ้งนะ!
ไคม์พูดเหมือนว่าเป็นห่วงฉันซะมากมาย แล้วเขาจะมาหงุดหงิดอะไรกับเรื่องพวกนี้
ผู้หญิงของเขานั่นแหละที่ตามราวีชีวิตฉัน
“เอางี้นะคะนักศึกษา อาจารย์ว่าเธอสองคนไปตกลงกันก่อนแล้วค่อยมายื่นเรื่องใหม่ เดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยจะตั้งทีมตรวจสอบและสืบหาพยานด้วย”
“คงไม่กลับมาแล้วครับอาจารย์”
“อ้าวแล้ว...”
“ต่อไปผมจะตามติดเฝ้าทุกฝีก้าวเองครับ จากนี้ไปคงไม่มีใครมาทำอะไรได้”