“ชิ! ขัดใจ”
ยัยตัวเล็กหน้าหงิกเหมือนคนปวดท้องไม่ได้เข้าห้องน้ำตลอดเวลาเห็นแล้วก็น่ามันเขี้ยวดี
ในที่สุดผมก็ลากเธอออกจากบ้านตามคำสั่งของป้าดุจดาวได้สำเร็จ
คนเป็นแม่ย่อมรู้ฤทธิ์ลูกสาวตัวเองดีถึงแม้ว่าผมจะช่วยเธอปกปิดว่าหนูดีอยู่กับผมตั้งแต่วันที่พวกเราแต่งงานกัน ผมได้แต่หวังว่าจากนี้ไปเราจะเป็นทีมเดียวกันที่ร่วมกันหาทางออกให้มันดีที่สุดสำหรับเราสองคน
“หนูดีนอนห้องใหญ่ไปแล้วกันนะ”
“แน่ละ! ฉันไม่นอนห้องรูหนูเล็กๆ หรอกนะ”
“พูดแบบนี้แล้วสบายใจไหม”
“มากกก”
กวนประสาทฉิบ!
ยัยตัวเล็กเดินลอยหน้าลอยตากลับเข้าห้องที่ผมจัดเตรียมเอาไว้ให้ หวังว่าเธอคงพอใจกับสิ่งที่ผมทำนะครับ
“อุ๊ย!”
“หล่อจนสะดุ้งเลยเหรอ”
เช้าวันแรกของเรา
ผมอาบน้ำแต่งตัวมานั่งรอหนูดีอยู่ก่อนแล้วเพื่อที่เราจะได้ไปมหาวิทยาลัยพร้อมกัน
คู่แต่งงานอื่นเขามีแต่ภรรยาต้องตื่นมาเตรียมมื้อเช้าให้สามีและจุ๊บแก้มก่อนส่งฝ่ายชายไปทำงาน
แต่คู่เรานี้แปลกไปหมดครับเพราะเรายังเรียนกันไม่จบ
“กาแฟสักแก้วไหม”
“ไม่! ปากเหม็น”
“ไม่นะ! ออกจะหอม”
ปัง!
“อ้าวหนูดี!!” ยัยแสบออกจากบ้านไปแล้วโดยไม่รอ ผมจะทำอะไรได้ครับนอกจากรีบซดกาแฟร้อนๆ แล้ววิ่งตามเธอไป
ผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมต้องวิ่งตาม เมื่อถึงตัวก็คว้าแขนแล้วจูงเธอไปที่รถ
“อะไรของนาย”
“ไปรถพี่”
“ฉันไม่ได้ง่อย ฉันขับรถไปเองได้”
“เป็นง่อยใครจะเอาทำเมียห้ะ ขึ้นรถ!”
“ไม่!”
อีกครั้งที่ผมเอาชนะเธอไม่ได้
หนูดีตรงไปยังรถตัวเองและขับไปแบบไม่สนใจผม
นี้ผมคงจะตั้งความหวังไว้สูงไปใช่ไหม
“ขอตารางเรียนหน่อย”
“เอ๊ะอะไรของนายเนี้ย เลิกวุ่นวายสักทีได้ป้ะ”
“ไว้หย่ากันก่อนนะ”
“เรายังไม่ได้จดทะเบียนกัน”
“งั้นก็ไม่มีข้ออ้าง ส่งตารางเรียนให้พี่หน่อย เอาเบอร์มาด้วย” ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีเบอร์หนูดี
แม้มันจะหาได้ไม่ยากหรอกทั้งเบอร์ทั้งตารางเรียนแต่ผมก็อยากให้เธอเป็นคนส่งให้ผมเอง
มันเหมือนได้ละลายพฤติกรรมซึ่งกันและกันแบบเนียนๆ
ผมเปลี่ยนตัวเองด้วยการพยายามเข้าหาเธอทำให้หนูดีเปิดใจ แต่ยัยแสบนี้ร้ายชะมัด
หลายครั้งที่ต้องใช้วิธีขู่และบังคับ
“ฉันสัญญาว่าจะกลับบ้านนายทุกวัน จะทำเหมือนเราเป็น เป็นสามีภรรยากัน ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมีเบอร์”
“ไม่ได้! ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินเราจะติดต่อกันยังไง ถ้าเบอร์ไม่ให้งั้นไลน์ก็ได้ ไอจีหรือเฟส”
“นั้นมันชีวิตส่วนตัวของฉัน ตราบใดที่ฉันไม่ก้าวเข้าไปในชีวิตนาย นายก็อย่าคิดจะก้าวเข้ามาในชีวิตฉัน โอเค้”
“จะเอาแบบนั้นเหรอ”
“เออ!”
“ทำไมเราสองคนต้อง...”
“พอสักทีเถอะ คนมองกันหมดแล้ว”
“หนูดี เฮ้ย!!” หงุดหงิดกับภาพแบบนี้ทุกครั้ง
ทำไมผู้ชายอย่างผมต้องเป็นฝ่ายมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นเดินหนีด้วย
ผมรู้สึกเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแต่ก็ไม่เคยหาคำตอบได้ว่าเพราะอะไรถึงต้องยอมเธออยู่เรื่อย
แม้จะโกรธเวลาที่หนูดีมักเดินหนีตอนที่เรายังคุยกันไม่จบ
แต่ไม่นานสมองผมมันก็จะหาวิธีเข้าหาเธอใหม่
เสียงแหลมๆ แว้ดด่าผมทีไรบางทีก็น้อยใจ บางทีก็หัวเราะ ผมคงโรคจิตอย่างที่เธอว่า
“นายไม่มีเรียนรึไงห้ะ”
“ว่าง”
“ว่างก็ไปหาอะไรที่มันมีประโยชน์ทำเสียสิ”
“อะไรจะมีประโยชน์มากกว่ามาเฝ้าเมียบ้าง”
“โอ๊ยตาบ้า!”
น่ารักไหมครับ เวลาเธอด่าผมแบบนี้แหละก็ทำให้ผมหัวเราะได้ แถมเธอมีเรื่องให้แปลกใจตลอด คาดเดาเธอไม่ได้เลยว่าหนูดีตะมารูปแบบไหนแน่
“เที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน อ้าว! จะไปไหน”
“ยุ่ง”
“ไม่มีเรียนแล้วเหรอ”
“ฉันหิว นี้!”
ผมอาศัยความไวกระโดดขึ้นรถเธอได้ ไม่ว่ายังไงหนูดีก็ไม่ทิ้งรถตัวเองแน่
“ลงมา”
“บอกก่อนว่าจะไปไหน”
“จะไปไหนก็เรื่องของฉัน ตารางชีวิตฉันมันเกี่ยวอะไรกับนาย ก็บอกแล้วไงว่าจะกลับบ้านทุกวัน”
“จะบอกรึจะนั่งแท็กซี่ไปเอง พี่ว่าง เถียงด้วยทั้งวันก็ยังได้”
“เห้อ...”
หนูดีขึ้นรถด้วยความจำยอม ผมรู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลเพราะเธอไม่ยอมไปรถแท็กซี่หรอก เธอรังเกียจรถสาธารณะจะตาย
“ทำไมไม่กินที่มอ”
“ไม่น่ากิน ไม่ถูกปาก สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครจะกินลง”
“อย่าบอกนะว่าสามปีไม่เคยกินข้าวที่โรงอาหารเลย”
“ไม่อะ! ไม่เคยเดินไปเหยียบด้วยซ้ำ”
“โอ้โห! เรานี้สุดยอดไปเลยจริงๆ” หนูดีไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ เป็นลูกคุณหนูที่โคตรเอาแต่ใจตัวเอง
แต่ผมเชื่อว่ามินเป็นคนมีเหตุผลที่ในระดับหนึ่ง คงไม่มีใครบนโลกนี้จะเอาแต่ใจตัวเองโดยที่ไม่มีเหตุผลเลย