โปรย

1095 Words
หนูดี! ณ ลานจอดรถภายในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง สาวน้อยคนหนึ่งกำลังยืนต่อปากต่อคำกับหนุ่มรุ่นพี่กับอย่างไม่ยอมลดราวาศอก เธอไม่ยี่หระที่จะท้าทายต่อให้ชายคนนั้นใช้คำที่แสนต่ำตมแบบสุดๆ ก็ตาม “แกเป็นผู้หญิงนะ ไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ยังไง” “ก็ดูไอ้บ้านั่นใช้คำพูดกับฉันสิ” “พี่เขาก็แบบนั้นแหละ” “เอ๊ะ!” หนูดี...นักศึกษาปีสามเพื่อนสนิทกับมินตราและเธอก็กำลังขึ้นเสียงกับเพื่อน “แล้วทำไมเราต้องเป็นฝ่ายยอมมันด้วย” “มินไม่ได้บอกให้หนูดียอม มินแค่เตือนเพราะเราเป็นผู้หญิงนะ และเราก็ไม่ควรไปท้าทายผู้ชายแบบนั้น” “ทำไมจะไม่ได้” คนดื้อยังคิดเถียง หนูดีไม่ถูกโฉลกกับชายคนนั้นตั้งแต่แรก แต่ดูเหมือนว่าเขาก็เช่นกันด้วย “ไปท้าให้เขาเอาไอ้นั่นมาฟาดปาก ถ้าเกิดเขาทำขึ้นมาจริงๆ จะว่าไงห้ะ” “ฉันก็จะกัดให้ขาดเลยคอยดู” . . . เหตุการณ์ที่ทุกคนเห็นเมื่อสักครู่นี้คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่ฉันต้องปะทะคารมกับผู้ชายอีกคน เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้เปรียบดั่งละครน้ำเน่า และใช่ มันเน่ายิ่งกว่าในละคร ฉัน น.ส. ดุจกานต์ดา อัศวชาติประเสริฐ หรือหนูดี อายุ 21 ปีนักศึกษาปีสามกำลังศึกอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง มีเพื่อนรักคนสนิทชื่อว่า มินตรา ป้องสกุลวงศ์ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เราทั้งสองเรียนที่มหาลัยแต่คนละคณะ มินตราสอบติดรัฐศาสตร์ส่วนฉันงอแงจนพ่อแม่ยอมปล่อยให้เรียนอักษรศาสตร์อย่างที่ฉันตั้งใจ เรามักไปมาหาสู่ตลอดที่มีเวลาว่างตรงกัน เพราะฉันจะขับรถไปรับและส่งมินตราประจำ รายนั้นไม่ยอมขับรถเอง ถ้าไม่มีฉันก็จะมีคนขับรถประจำตัว เราสองคนเป็นคุณหนูที่บ้านรวย รวยระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ บ้านฉันทำธุรกิจโรงแรมขนาดกลางแต่ก็มีสาขาแทบทุกจังหวัดในประเทศ ส่วนพ่อของมินตราลงเล่นการเมืองเป็นส.ส.ผู้นำของประเทศและทางบ้านยังเป็นเจ้าของตึกใหญ่ๆ จำนวนหลายตึกที่ปล่อยให้เช่า และพวกเราก็เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านเหมือนกัน แน่นอนว่าความเอาแต่ใจตัวเองรับรองได้ว่าขั้นสุดมาก “ถ้าเจอพี่เขาอีกก็เลี่ยงๆ นะเข้าใจมั้ย” “ทำไมฉันต้องเลี่ยงด้วยละ” เรื่องที่ฉันเถียงกับอีตาบ้านั่นยังไม่จบลงง่ายๆ แต่เพราะอะไรนั่นเหรอ เดี๋ยวค่อยเล่า “วันนี้มินเลิกกี่โมง” “บ่ายสาม” “แวะห้างกันนะ เราอยากทำเล็บแก้เซ็งสักหน่อย” “เราต้องเตรียมกิจกรรมรับน้องอะหนูดี” “มินก็บ้ากิจกรรมจริงๆ เลยนะ จะเหนื่อยทำทำไม” เพื่อนสาวของฉันคนนี้เป็นดั่งนางฟ้าในสายตาของใครๆ ทั้งสวย รวย นิสัยดีเปี่ยมไปด้วยน้ำใจต่างกับฉันที่เป็นดั่งนางยักษ์ ปากร้าย ด่าเก่ง ขี้เหวี่ยง ขี้วีน ทั้งเอาแต่ใจแถมไม่ยอมปรับเข้ากับใครทั้งนั้น ใครๆ ก็พากันเข้าหาแต่มินตราแต่ไม่มีใครคบฉันสักคน ไม่มีใครเคยเห็นด้านมือนางมินตรานางฟ้าคนงาม นางนี้ถ้าไม่ชอบใจขึ้นมานะมันร้ายยิ่งว่าฉันหลายเท่า “วันอื่นไม่ได้เหรอ” “ไม่ได้” “หนูดีไปเดินแก้เซ็งคนเดียวเถอะ มินเองก็พึ่งไปทำเล็บมาใหม่เมื่อวานขี้เกียจรอ นะนะ” เพื่อนรักกอดแขนออดอ้อนแบบเดิมที่ชอบทำเพราะรู้ว่าฉันต้องเคืองแน่ๆ “ทำไมไปแล้วไม่ชวนฉัน” “หนูดีก็! มินไปเพราะคุณแม่บังคับ แต่ถ้าหนูดีรู้ว่ามินไปทำร้านไหนหนูดีก็คงไม่ไปหรอก” “ทำไม” “ร้านชิววี่ ร้านทำเล็บในเครือของพี่ไคม์” นี้แหละเจ้าตัวร้ายคู่ปรับของฉันเอง เศรษฐีใหม่เพิ่งเข้าสู่แวดวงไฮโซ ที่บังเอิญ! มีภูมิหลังเดียวกับครอบครัวฉันกับมินตรา “แล้วพรุ่งนี้ล่ะ” “พรุ่งนี้มินไม่มีเรียน แต่ว่าต้องมารับน้องตั้งแต่เจ็ดโมง” “ทั้งวันเลยเหรอ” “หมดวันก็คงเหนื่อยแล้วอะหนูดี” “เฮอะ! สรุปคือไม่มีเวลาว่างให้เราเลย” อย่างที่บอกว่านอกจากมินตราฉันก็ไม่มีใคร แต่ฉันก็ไม่เป็นไรนะ เพราะฉันเองก็ไม่ชอบเวลาที่มีคนไม่สนิทมาร่วมด้วย อย่างเช่นเมื่อตอนปีหนึ่งหลังจากจบพิธีรับน้องแรกๆ ทุกคนต้องสิ่งวุ่นขอชื่อและลายเซ็นพวกพี่ๆ ในคณะให้ครบทั้งสองร้อยคนภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่วิธีของฉันคือเหมาร้านแล้วเชิญทุกคนไปกินดื่มฟรีๆ ก็ได้มาครบทั้งหมดในคืนเดียว เวลาไปเดินห้าง ช็อปปิ้ง กินข้าวดูหนัง ฉันก็ขี้เกียจรอ ขี้เกียจต้องมาสนใจคนอื่น ลำพังแค่รอนางมินคนเดียวฉันยังเบื่อเลย ฉะนั้น! การไม่มีเพื่อนไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดว่าผิดปกติอะไร ฉันอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเพื่อน เพราะเพื่อนมีแค่มินตราคนเดียวก็พอ ห้างสรรพสินค้า ตุ้บ! “เอ้าน้อง! แอบตามพี่มารึไง” “นี้ห้างนายรึไง” “ก็ถ้าเขาขายหุ้นเมื่อไรก็ว่าจะคว้านซื้ออยู่นะ พอดีรวย” ฉันกลอกตามองบนเมื่อเจอคนกวนบาทา อีตานี้คือไคม์ หรือ นายสงคราม อาชาติสกุล “มาทำเล็บเหรอ เชิญครับ เชิญเลย” “ขอโทษนะ มันคนละเกรดกับที่ฉันทำ” ฉันใช้สายตามองป้ายร้านอย่างเหยียบย่ำ ฉันแค่ทำเพราะหมั่นไส้ “นี้! พูดแบบนี้มันหมิ่นประมาทนะ” “ฉันจะพูดแบบนี้แล้วจะทำไมห้ะ ก็ร้านนายมันเกรดต่ำ ฉันไม่เหยียบเข้าไปให้รองเท้าฉันเลอะ” “เห้ยหนูดี! แซวนิดหน่อยพี่ก็พอยอมให้ได้นะขำๆ แต่เมื่อกี้มันแรงไปนะพี่ไม่ตลก” “แซว!? สนิทกันเหรอฉันถึงต้องแซว ฉันพูดตามที่เห็น และฉันไม่ได้นับถือนายอย่ามาแทนตัวเองว่าพี่” “เห้ย!” “จะทำไมห้ะ” ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าใจเราผิดนะว่าทำไมเราถึงปากร้ายขนาดนี้ ทุกอย่างมันมีเหตุและมีผล เพราะมันเริ่มก่อนฉันถึงได้พูดกับมันแบบนี้ “ไปเลยป้ะ ไปไกลๆ จากร้านพี่ ไปเลย” “แล้วไง เชอะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD