กรี๊ดดดด
ฮาๆๆๆ
“สมน้ำหน้ามึง อีหนูดี!”
ภายในห้องน้ำหญิงที่ควรจะมีเพื่อนฉันรออยู่แต่กลับเป็นใครก็ไม่รู้
พวกมันผลักฉันเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูขังทันที
จากนั้น...
ฟู่ววว
น้ำหวานและน้ำอัดลมสีสันต่างๆ ถูกสาดเข้ามาและแน่นอนว่าภายในพื้นที่แคบๆ แบบนั้นฉันจะหลบไปไหนพ้น
เสื้อนักศึกษาสีขาวโอโม่เลอะไปด้วยสีจากน้ำอัดลม นับว่าโชคยังดีที่พวกมันไม่เอาน้ำปลาเหม็นๆ มาด้วย
“เปิดเดี๋ยวนี้นะอีกพวกบ้า เปิด!”
“ขอร้องดีๆ ก่อนสินางหนูดี กราบตีนพวกกูนี้ กูอาจจะเมตตาสงสารมึง”
“ไปนรกซะพวกแก อย่าหวัง!”
“ปากดี! งั้นมึงก็หาทางมุดท่อขี้ออกมาเองแล้วกัน ไปโว้ย!”
“เปิด!”
ปัง!
ปัง!
ปัง!
ห้องน้ำบริเวณหลังหอสมุดเป็นบริเวณที่คนสัญจรเดินผ่านไปมาน้อยที่สุด แต่ถึงจะมีคนได้ยินก็คงไม่มีใครสนใจจะช่วย เพราะตั้งแต่มีเรื่องกับไคม์ ผู้หญิงทั้งมอก็พาลเกลียดฉัน
สายตา คำด่า คำซุบซิบลอยมากับลมที่ตั้งใจให้ฉันได้ยินถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง
แล้วไง!
คนพวกนี้ไม่มีค่าให้ฉันต้องแคร์ เรื่องหนึ่งที่พ่อแม่สอนฉันก็คืออย่าได้ใส่ใจพวกกระจอกที่มันอิจฉาเรา
พวกนั้นแค่หาทางแสดงออกเพื่อให้ตัวเองสบายใจเพราะไม่มีปัญญาเทียบชั้นกับฉันได้
และพวกมันก็รอสมน้ำหน้าถ้าหากว่าฉันอ่อนแอและยอมแพ้
“โธ่เอ๊ย!!”
ฉันสบถอย่างหัวเสียเพราะมือถือก็ดันตกน้ำ ตอนนี้คงไม่สามารถโทรขอความช่วยเหลือจากใครได้ทั้งนั้น
และในเมื่อเราเลือกวิถีชีวิตยกตัวเองอยู่สูงเกินกว่าคนอื่น ฉันจึงเลิกตัดพ้อชีวิตแล้วควรรีบหาทางออกไปจากที่นี่ซะ
ปัง!
ๆ
ๆ
“โอ๊ย!”
ด้ามจับเก่าเกรอะกรังเต็มไปด้วยสนิมนั้นบาดมือฉันในขณะที่พยายามดึงสุดแรง
มือนุ่มนิ่มที่ไม่เคยต้องหยิบจับทำงานอะไรนั้นแดงฉานส่งกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง
ปังๆๆ
“เปิดสิวะ โธ่เว้ย!”
หรือว่าตอนนี้ฉันควรวิงวอนต่อพระเจ้าให้เมตตาและส่งใครสักคนมาช่วย
มินตรา!
นางนั่นนัดฉันมาที่นี่ฉะนั้นมินต้องกำลังมาแน่ๆ
“ถอยไปหนูดี”
“ห้ะ”
“ถอยหลังไปให้ติดกำแพงด้านหลัง”
“ทำไม เอ่อๆ รู้แล้ว”
โครม!!!
ชายอีกฝั่งหนึ่งของประตูยกตีนถีบสุดแรงพังเข้ามา
คนที่ฉันไม่อยากเจอหน้า ฉันยอมปีนออกไปเองดีกว่าติดหนี้ไอ้บ้าไคม์ คนปากเสีย
“เลือดออกนิ”
“อืม! ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“เคยฉีดบาดทะยักหรือไง ดูสิเนี้ยมีแต่สนิม”
“โอ๊ย!”
ไคม์ใช้ขันน้ำเก่าๆ ในห้องน้ำนั้นตักน้ำล้างแผลให้และมันก็แสบจนฉันร้อง
ตอนนี้ฉันหงุดหงิด เจ็บ และก็เปียกปอนไปทั้งตัว ฉันไม่อยากออกไปเจอใครในสภาพนี้แต่ก็ต้อง
พรึ่บ!
“หัดใส่เสื้อซับซะบ้างนะ”
“อะไรนะ”
“อยากโชว์นมให้คนทั้งมอเห็นรึไง เปียกแบบนี้ก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ทำไมไม่รู้จักใส่เสื้อซับ”
ฉันไม่มีอะไรเถียงจึงได้แต่เอาเสื้อนักศึกษาไคม์ที่เขาถอดให้มาคลุมทับเสื้อของตัวเอง
โชคดีที่ไคม์ใส่เสื้อกล้ามไว้ข้างในเขาจึงไม่ต้องเดินเปลือยอกให้คนทั้งมหาวิทยาลัยชม
“ฉันจะกลับบ้าน”
“ไปทำแผลก่อน”
“ฉันมีหมอประจำตัว”
“แค่ล้างแผลเด็กประถมก็ทำได้ จะกลับบ้านทั้งๆ ที่เลือดยังไหลเหรอ เย็นป่านนี้รถติดจะตายแล้วจะขับรถจับพวงมาลัยยังไง ถ้าไม่ตายเพราะเลือดไหลหมดตัวก็แผลติดเชื้อ”
“โอ๊ย!”
“เจ็บเหรอ! ให้พี่ดูสิ”
“รำคาญ” อีตานั่นพล่ามไม่หยุดซ้ำยังมาบังคับฉันให้ทำนั่นทำนี้
คนก็มองทั้งมอ ไม่รู้ว่ามองที่ฉันเปียกน้ำสีๆ ทั้งตัวหรือมองที่ไคม์ใส่เสื้อกล้ามกันแน่
“มองไรกันวะ” ไคม์คงหงุดหงิดเหมือนกับฉัน
“ถ้าไม่เดิมตามเงียบๆ จะอุ้ม”
“จะวุ่นวายกับฉันทำไม อยากเป็นฮีโรเหรอ อยากให้ฉันติดหนี้บุญคุณนายหรืออยากให้ยอมอ่อนข้อให้ใช่ไหม”
“อยากได้เสื้อคืน”
“ก็เอาไปสิ!” ฉันถอดแล้วเขวี้ยงใส่ด้วยอารมณ์ วันนี้ฉันเจอมาหนักมากแล้วจริงๆ และฉันก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมันอีกจึงหันเดินฝ่าฝูงชนไทยมุงช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน
“ว๊าว...”
“มึงว่าของจริงเปล่าวะ”
“กูว่าฟองน้ำ”
“คงต้องพิสูจน์แล้วแบบนี้”
พวกผู้ชายพูดจาซุบซิบนินทาถึงตัวฉันแบบไม่ไว้หน้า
พวกมันกำลังพินิจพิจารณาอย่างสนุกปากว่าหน้าอกภายใต้เสื้อเปียกปอนที่มันลอยเด่นให้ใครๆ เห็นนี้ของจริงหรือของปลอม
“ดื้อเอาโล่จริงๆ เว้ย มานี้!”
“ไอ้บ้าไคม์! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”