บทที่ ๖
เพื่อนใหม่
“ลุง!!!”
เสียงตะโกนของคนตัวเล็กดังขึ้น ขณะถือตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่เดินเข้าไปในตัวบ้าน สายตามองร่างสูงที่กำลังเอนกายอยู่บนโซฟาก้มหน้าก้มตาดูเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะกระจก เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่เดินฮัมเพลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานต่ออย่างไม่ใส่ใจเท่าไร ราวกับเริ่มชินชากับพฤติกรรมเจ้าของเสียงดังเมื่อครู่
“อะไร”
เขตตะวันเอ่ยเสียงเรียบ
“เนตรเอาขนมมาฝาก”
เจ้าตัวพูดพลางวางตะกร้าลงข้างๆ กองเอกสารของเขตตะวันก่อนจะเดินอ้อมมาดูเอกสารของอีกคนด้วยท่าทางสนอกสนใจ สายตากวาดมองตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษก็ทำหน้าย่นด้วยท่าทีรังเกียจ
“แหวะ ตัวหนังสือเต็มเลย”
“ก็ไม่ได้บอกให้มาดู...”
เขตตะวันเงยหน้ามองตะกร้าทางหางตาพลางพลิกกระดาษเงียบๆ
“ขนมอะไร”
“ขนมสอดไส้ เห็นคุณย่าว่าลุงชอบ เนตรเองก็ช่วยทำด้วยนะ”
ช่วยป่วนมากกว่าน่ะสิ เขตตะวันคิดในใจ
“อืม”
เขตตะวันขานรับในลำคอ เพราะขี้เกียจจะเถียงด้วย ที่สำคัญแค่ปวดหัวกับงานเอกสารก็เต็มกลืนแล้ว
“จะเสร็จตอนไหน”
เนตรนรินทร์ก็ไม่วายก่อกวนเขาไม่เลิก
“อีกนาน”
“ฮึ่ม! เนตรรอไม่ไหวหรอกนะ”
คนตัวเล็กพองแก้มขณะกอดอก
“ก็พี่ไม่ว่าง...”
เขตตะวันนวดขมับตัวเองเล็กน้อย ดูท่าคงจะเครียดกับงานหรือไม่ก็เครียดกับอีกคนที่ยังวอแวเขาไม่เลิก
“แต่เนตรจะไปชมไร่ เมื่อวานยังชมไม่หมดเลย นะลุงนะพาเนตรไปหน่อยสิ”
อีกคนพูดพลางดึงแขนให้อีกฝ่ายลุกขึ้น แต่เขตตะวันขืนตัวไว้พร้อมแกะมือเล็กออกแต่ก็ไม่สำเร็จ
มือคนหรือตีนตุ๊กแกเนี่ย เขตตะวันขมวดคิ้วขณะพยายามแกะมืออีกคนออก
“ไม่ได้ วันนี้พี่ต้องอยู่เคลียร์งาน”
“ไม่เอา พักก่อนก็ได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ลุง!!!”
“เสียงดัง”
“เนตรจะตะโกนให้หูแตกไปเลย!”
“เนตร”
เอ่ยสั้นๆ แต่ทำเอาคนตัวเล็กหยุดการกระทำอัตโนมัติ ถ้าไม่เห็นว่าเขามีสิทธิ์ไปฟ้องเขมิกาละก็นะ เนตรนรินทร์จะไม่ฟังเขาเลย
“ชิ”
คนตัวเล็กยอมแพ้ก่อนจะปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระพร้อมเดินมานั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย ขณะกางแขนกางขาเต็มที่ ใบหน้าเล็กบูดบึ้งเมื่ออีกคนไม่ยอมตามใจ
เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาทำขนมเพื่อจะเอามาติดสินบนอีกฝ่าย แต่นอกจากเจ้าตัวจะไม่เห็นถึงความตั้งใจของเขาแล้วยังไม่สนใจเขาอีก เอาแต่สนใจกระดาษที่มีแต่ตัวหนังสือพวกนั้น กระดาษมันมีอะไรน่าสนใจกว่าเขากัน
สุดท้ายเขตตะวันก็ถอนหายใจ ก่อนจะวางเอกสารลงพลางหันมามองอีกคนที่พองแก้มอยู่ข้างๆ
“เนตร”
“...”
“เนตร...”
เรียกชื่ออีกคนเสียงอ่อนลง แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง
“...”
เนตรนรินทร์ทำหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา
“ไม่ไปชมไร่แล้ว?”
“ไปสิ”
รีบหันมาตอบอย่างไวเมื่อได้ยินดังนั้น
เนตรนรินทร์ตาลุกวาวขณะยันกายลุกขึ้นจากโซฟา แต่ก็ถูกประโยคต่อมาของอีกคนทำให้ท่าทางตื่นเต้นของเขาหยุดชะงักไป ราวกับปิดเครื่องเล่นวิดีโอเพลงลงดื้อๆ
“แต่พี่ไม่ได้ตามไปด้วยนะ”
“เอ้า ทำไมอะ”
“พี่ต้องทำงานไง
“ฮึ่ม!”
เนตรนรินทร์ทำหน้าไม่พอใจ
“เดี๋ยวจะให้คนตามไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”
“ไม่เอา เนตรจะไปกับลุง”
อยู่ที่ไร่เคียงตะวัน ถือว่าเนตรนรินทร์สนิทกับเขามากที่สุด จะให้ไปกับคนไม่สนิทก็กระไรอยู่ ที่สำคัญเขาไม่กล้าจะก่อกวนแน่ แต่กับเขตตะวันไม่เหมือนกันเพราะเขาสามารถงอแงกับอีกฝ่ายได้
คงเพราะเขตตะวันไม่เคยจะดุเขาจริงๆ จังๆ เลย สักครั้ง แม้เจ้าตัวจะชอบทำหน้านิ่ง ทำเสียงเข้มใส่ก็ตามที แต่สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนยอมเนตรนรินทร์ไปเสียทุกอย่าง เพราะงั้นไม่มีใครดีเท่ากับเขตตะวันอีกแล้ว
“ถ้าไม่ไปก็รอจนพี่ทำงานเสร็จ”
“เฮอะ ไม่เอา”
นั่นก็ไม่ยอม นี่ไม่เอา ตกลงจะเอายังไงล่ะเนี่ย
“งั้นก็เรียกเขามาก่อนละกัน ถ้าทำความรู้จักกันแล้วเนตรอาจจะชอบเขาก็ได้ อายุก็น่าจะไล่เลี่ยกันคงจะคุยกันถูกคอนะ”
ได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง แต่ก็เฉไฉทำเป็นเมินไม่สนใจ
“เอาไง?”
“ก็ได้”
ตอบเสร็จก็ส่งยิ้มหวานใส่อีกคน
หลังจากนั้น
“นี่ต้นน้ำ จะมาทำหน้าที่ดูแลเนตรแทนพี่นะ”
เนตรนรินทร์มองคนตรงหน้าหลังจากสิ้นประโยคของเขตตะวัน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งท่าทางดูทะมัดทะแมง ใบหน้าอีกฝ่ายดูดีในระดับหนึ่ง เจ้าตัวสวมใส่เสื้อแขนยาวปิดไปจนถึงคอ และบนศีรษะก็สวมหมวกฟางสำหรับบังแดดบังลมด้วย ดวงตาสีดำหม่นมองสลับเขตตะวันและเนตรนรินทร์เล็กน้อย
“มีอิหยังให้ผมรับใช้เหรอครับคุณเขต”
ต้นน้ำพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแม้สำเนียงและภาษาจะฟังดูยากสำหรับเนตรนรินทร์ก็ตาม แต่เจ้าตัวดูจะตื่นเต้นมากเมื่อจะได้เป็นเพื่อนคนอีสานครั้งแรกและคนแรกด้วย
“แค่จะให้ดูแลเนตรตอนที่ฉันไม่ว่างน่ะ”
เขตตะวันตอบ ก่อนสายตาจะมองมายังเนตรนรินทร์ที่เหมือนจะลืมเขาไปชั่วขณะ เพราะความสนใจของเจ้าตัวตอนนี้อยู่ที่ต้นน้ำหมดแล้ว
“อ๋อ”
ต้นน้ำลากเสียงพลางมองเนตรนรินทร์
“ให้ผมเบิ่งเพิ่นติครับ”
“ใช่”
เขตตะวันพยักหน้า ส่วนเนตรนรินทร์ดูจะชอบใจเป็นพิเศษ
“เนตรนรินทร์นะ เรียกเนตรก็ได้ นายชื่อต้นน้ำเหรออายุเท่าไรล่ะ”
เนตรนรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงสดใส มองอีกฝ่ายราวกับเห็นของแปลก แม้ภาษาจะไม่ได้ใช้เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกระคายหูเลย
“แม่นครับ อายุเบาะ อืม...ปีนี้กะยี่สิบเอ็ดแล้วครับ”
“ถ้างั้นก็เท่ากันน่ะสิ นายไม่ต้องใช้คำพูดสุภาพกับฉันก็ได้คนกันเอง”
เนตรนรินทร์ให้อภิสิทธิ์อีกฝ่าย แต่อีกคนดูจะลังเลเล็กน้อย สายตามองมาทางเขตตะวันราวกับต้องการความเห็น พอเขตตะวันพยักหน้าให้อีกฝ่ายก็ตอบรับเนตรนรินทร์ทันที
“สั่นกะตกลง”
แม้จะแปลบางคำไม่ออก เนตรนรินทร์ก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายตกลง ก่อนจะหันไปมองเขตตะวัน
“ถ้างั้นลุง เนตรขอยืมตัวต้นน้ำไปก่อนนะ ไว้เที่ยงๆ เนตรจะกลับมาทำกับข้าวให้กิน”
เขตตะวันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าตอบรับ
“ได้...”
“ปะ ไปกัน”
เมื่อได้รับคำตอบ เจ้าตัวกลมดิกก็ไม่รอช้าถือวิสาสะคว้ามืออีกฝ่ายก่อนจะลากออกจากห้องนั่งเล่น ทิ้งไว้เพียงเขตตะวันที่มองตามทั้งคู่ไว้เบื้องหลัง
“ต้นน้ำ อยู่ที่ไร่นานแล้วเหรอ”
เมื่อพากันออกมาจากบ้านแล้ว เนตรนรินทร์ก็เทความสนใจให้เพื่อนใหม่ทันที
“เอิ้นต้นซื่อๆ กะได้ดอก”
เจ้าตัวตอบก่อนจะครุ่นคิดเล็กน้อย
“...กะปีกว่าแล้ว”
“ ‘เอิ้น’คืออะไรเหรอ?”
เนตรนรินทร์เอียงคออย่างสงสัย
“กะแปลว่าเว้านั่นล่ะ”
“แล้ว‘เว้า’มันแปลว่าอะไร?”
“...”
ต้นน้ำมองเนตรนรินทร์เล็กน้อย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันคล้ายกำลังคิดคำแปลในภาษากลางให้เจ้าตัวได้หายข้องใจ
“พูด”
“อ๋อ...พูด”
เนตรนรินทร์พยักหน้าหงึกๆ เมื่อเข้าใจแล้ว
“เอิ้น เว้า เท่ากับพูด ฮ่าๆ โอเค เนตรจะจำไว้”
“...”
ได้แต่มองอีกคนราวกับพบของแปลก ไม่ต่างจากอีกคนที่มองเขาเป็นของแปลกเช่นกัน
“ว่าแต่ต้นเราจะไปไหนกันดีล่ะ?”
เนตรนรินทร์มองซ้ายแลขวาเมื่อไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อดี
เมื่อวานหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เขตตะวันก็พาเขาไปดูสวนผลไม้บางส่วนก่อนจะพาเขาไปส่งบ้านเพราะมีงานด่วนเข้าพอดี เลยมีบางส่วนที่เขายังไปดูไม่หมด แต่ไร่เคียงตะวันกว้างใหญ่เกินไปจนไม่รู้จะไปไหนก่อน ได้แต่ถามความเห็นคนข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังขยับหมวกให้เข้าที่
เจ้าตัวครุ่นคิดเล็กน้อย
“มื่อนี่ลุงเจิมเพิ่นลงต้นพริกอยู่แปลงผัก เจ้าสิไปเบิ่งบ่ล่ะ”
“เอ่อ...พูดช้าๆ”
อยู่ๆ ก็รัวภาษาอีสานมาทำเอาสมองเนตรนรินทร์รวน เมื่อไม่สามารถแปลได้ทัน
“อ๋อ...”
ต้นน้ำส่งเสียงในลำคอคงจะรู้สึกตัวแล้วว่าเจ้าตัวฟังไม่ทัน คิดอยู่นานก็ตอบกลับคนตรงหน้าสั้นๆ
“ไปปลูกผักบ่?”
“ไป!”
แปะ แปะ
มือเล็กใช้มือตบดินเบาๆ ขนาดใช้ปลายนิ้วกดดินให้แน่นเพื่อที่จะฝังต้นอ่อนของต้นพริกให้ลำต้นตั้งตรงได้ คนตัวเล็กจะเลียริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยขณะสายตาจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น
“เอ่อ...”
สายตาสองคู่มองการกระทำของอีกคนด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก มองต้นพริกที่อีกคนตั้งใจปลูกที่ดูจะมีดินคลุมเยอะกว่าต้นอื่น ดูดีๆ ช่างคล้ายกับหลุมศพต้นพริกอย่างไรอย่างนั้น
“ไปพาไผมาแต่ไสล่ะบักต้น”
เจิมหันมากระซิบถามคนข้างๆ ที่ดูจะอึ้งไม่ต่างกัน
“อ๋อ คุณเขตเพิ่นฝากให้มาเบิ่งนั่นล่ะลุงเจิม”
“ป๊าด เกิดมากูบ่เคยพ้อเคยเห็น”
“เพิ่นมือใหม่อยู่ซ่างเพิ่นเถาะ”
ต้นน้ำถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อีกคนที่ดูตั้งอกตั้งใจปลูกมาก ก็ไม่อยากจะทำลายความตั้งใจของเจ้าตัว
“เนตร ไปเก็บผลไม้นำบ่”
“เก็บผลไม้เหรอ”
ทวนคำพูดอีกคนขณะเงยหน้ามองคนชวนด้วยสายตาเป็นประกาย
“ไปสิ เนตรอยากไป”
“ซั่นกะตามมา”
ต้นน้ำกวักมือเรียกอีกคนให้ลุกตามเขาไป ขณะหันไปมองเจิมที่ยังไม่หายอึ้งกับหลุมศพต้นพริกของเนตรนรินทร์อยู่เลย
“ลุงซั่นข่อยพาเพิ่นไปก่อนเด้อ”
“เออๆ พาไปโลด”
เจิมได้แต่โบกมือไล่ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยกับความแปลกของอีกคน ที่ตอนนี้วิ่งตามหลังต้นน้ำต้อยๆ ราวกับลูกหมาวิ่งตามแม่ของมัน หากอีกคนมีหางคงจะส่ายไปมาแล้ว