Episode-๐๔ ทำใจให้ชิน

1203 Words
เป็นการมาเรียนแบบไร้จิตวิญญาณในรอบหนึ่งอาทิตย์เลยก็ว่าได้ เข้ามาในห้องเพื่อน ๆ ต่างมองฉันเป็นตาเดียวก็แน่สิหายไปเป็นอาทิตย์ขนาดนั้น “สายธารเธอหายไปไหนมา” แอลเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นหน้าฉัน “เปล่าหรอก เราเกเรน่ะ” “หืม... ไม่เป็นแบบนี้สิ ชั่วโมงแรกเรียนฟิสิกส์เอาของเราไปลอกก่อนก็ได้เดี๋ยวตามงานไม่ทันตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่” “ขอบใจนะ” ในเรื่องร้าย ๆ ก็ยังมีเรื่องดี ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยมิตรภาพที่ดีก็ยังมีอยู่ค่ะ “สายธาร ...” “...” “ขอบใจนะแอล ลอกเสร็จเราจะรีบเอามาคืน” ฉันหันไปพูดกับแอลโดยไม่สนใจพะแพงสักนิด มันมองหน้ากันไม่ติดแล้วอ่ะ ทำดียังไงฉันก็ไม่สามารถมองมันเป็นเพื่อนรักเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว “เดี๋ยวสิ ฟังฉันก่อน” “อย่าเอามือสกปรกของมึงมาจับกู” “สะ สายธาร” “อีกไม่กี่เดือนก็จบละ ทนเกลียดขี้หน้ากันไปอีกหน่อยแล้วกัน” พูดจบฉันก็ลุกออกมาจากตรงนั้นทันทีและไม่สนใจด้วยว่าใครจะมองยังไง ตั้งแต่เช้ายันเลิกเรียนฉันไม่สุงสิงกับใครเลยมีเพียงแอลเท่านั้นที่เข้ามาพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง “กลับบ้านยังไงอ่ะ ไปด้วยกันไหม?” “ไม่เป็นไรเรากลับเองได้ แอลกลับเถอะ” “วันนี้ดูซึม ๆ นะเป็นอะไรหรือเปล่า ทะเลาะกับพะแพงเหรอ” “คงงั้น” “อ่อ... พี่แชมป์มาโน่นละ งั้นเราขอตัวก่อนนะ” “จ้า” คล้อยหลังพะแพงฉันก็โหนรถเมล์ตามปกตินั่นแหละแต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่สงสัยตอนออกจากบ้านเมื่อเช้าก้าวเท้าผิดข้างมั้งคะ “...” ต่างคนต่างมองหน้ากันนิ่ง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้คนเบียดกันขึ้นรถพอดีทำให้ฉันต้องเขยิบเข้าไปใกล้เขา พี่เวย์ยืนชิดฉันชนิดที่ว่าสิงร่างได้คงทำไปแล้ว “ทำไมผอมแบบนี้” คำถามทักทายปนห่วงใยเอ่ยขึ้นแผ่วเบาแต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ดี พี่เวย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยื่นแขนมาจับราวไว้เพื่อกันไม่ให้ฉันล้มโอนเอนไปมา เป็นการกระทำที่น่ารักแต่น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้สึกอินกับมันอีกแล้ว กลับถึงบ้านสิ่งที่ฉันต้องพบเจอเป็นประจำคือความเงียบเหงา ฉันอยู่กับแม่แค่สองคนค่ะส่วนพ่อ... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันและไม่เคยเอ่ยปากถามด้วย จำความได้ก็มีแค่แม่ ตากับยายเท่านั้นเอง “ไงเรา วันนี้กลับบ้านตรงเวลาดีนี่” แม่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้าฉัน “แม่ไม่ไปทำงานเหรอ?” “วันนี้วันหยุดไง” “อ่อ จริงสิหนูลืมไป” “หิวไหมอยากกินอะไรหรือเปล่า” “อยากกินขนม แม่จะเอาอะไรไหม” “หืม...” “...” นี่เป็นครั้งแรกที่เราพูดคุยกันดีเลยก็ว่าได้เพราะส่วนมากจะเถียงคำด่าคำมากกว่า “ซึมไปนะ มีอะไรอยากบอกแม่หรือเปล่า” “เรื่องของหนูน่า... แม่ไม่ต้องสนหรอก” “ต้องสนสิ มีกันอยู่สองคนแกจะไม่ให้สนใจได้ยังไง อีกอย่างแกเป็นลูกแม่นะ ต่อให้จะผิดหรือถูกยังไงคนเดียวที่มีสิทธิ์ลงโทษก็คือแม่จำไว้!! คนอื่นอย่าไปยอมมัน” “ไหนว่าต้องรู้จักนอบน้อมไง” “มันก็แล้วแต่สถานการณ์” “วันนี้แม่แปลกไปนะเนี่ย” “แกก็แปลกเหมือนกันแหละ อีคนที่มันเถียงคำไม่ตกฟากมันหายไปไหนซะแล้ว” “ป่วยทางใจมั้ง หายดีเดี๋ยวมันก็กลับมา” ฉันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าหนังสือไว้ที่โซฟาแล้วออกมาซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อหน้าหมู่บ้าน “นายครับผมเจอเธอแล้ว” (...) “ครับ” (...) “ให้ผมจัดการเธอเลยไหม?” (...) “ครับ” ใครบางคนคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ ๆ ฉัน ขณะที่ฉันกำลังเลือกขนมอย่างเพลิดเพลินอะไรนาย ๆ สักอย่างนี่แหละแต่ฉันไม่ได้เสียมารยาทนะคะก็มันได้ยินเอง จ่ายเงินเสร็จออกมาด้านนอกแม่เจ้า... มาเฟียที่ไหนมาแวะซื้อของตรงนี้งั้นเหรอ มีแต่ชายชุดดำเต็มไปหมดหน้าโคตรนิ่ง ยิ้มไม่เป็นกันสักคน เห็นแบบนั้นฉันก็เดินเลี่ยงกลับบ้านทันทีสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ “เป็นอะไร?” แม่เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของฉัน “หนูรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามเลยอ่ะ” “ไหนแม่ดูก่อน” แม่ว่าก่อนจะชะเง้อออกไปก็ไม่มีใครสักคนค่ะ แต่ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นจริง ๆ ฉันไม่ได้คิดไปเองแน่นอน “ไม่มีอะไรหรอกเข้าบ้านกันดีกว่า” มองออกไปอีกครั้งมันก็ไม่มีอะไรจริง ๆ นั่นแหละค่ะ หลายวันผ่านไป ระหว่างฉันกับแม่ก็ดีขึ้นมากค่ะ ฉันพยายามเข้าใจและเรียนรู้ในสิ่งที่แม่บอก บางครั้งก็มีบ้างที่ชอบเถียง แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ เอาเข้าจริงพอถึงช่วงนึงที่รู้สึกว่ามันไม่ไหวก็มีแต่แม่นี่แหละที่เป็นห่วงและดูออกว่าฉันเป็นอะไร รู้สึกผิดนะคะที่เคยพูดจาไม่ดีใส่แต่จะทำยังไงได้ก็ฉันมันดื้อรั้นชอบฟังแบบขอไปที “อีกไม่นานก็จบมัธยมแล้วอ่ะ สายธารจะเรียนอะไรต่อเหรอเราว่าจะเรียนคหกรรมศาสตร์” เน้นการเรียนเป็นหลักแบบนี้ไม่ใช่ใครค่ะ แอลนั่นเองไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเราสนิทสนมกันตอนไหน “ไม่รู้สิ แม่เราไม่มีเงินส่งขนาดนั้นหรอก บางทีเราอาจจะจบแค่มอปลายก็ได้มั้ง” ฉันตอบไปตามความคิด ถ้าถามว่าอยากเป็นอะไรอันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน “เรียนไปทำงานไปก็ได้นี่” “ไม่รู้ดิ รังเกียจไหมมีเพื่อนไร้การศึกษาอย่างเรา” “เฮ้ย! เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ เพื่อนก็คือเพื่อนดิ ทำไมเราต้องรังเกียจด้วย” “ฮ่า ๆ อย่าจริงจังดิเราก็พูดไปงั้นแหละ แต่เรื่องเรียนต่อเราพูดจริง เราไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร” ฉันพูดออกไปอย่างจนปัญญาก็คนมันไม่รู้นี่ ไม่มีความฝันเหมือนคนอื่นด้วย ในทุก ๆ วันก็มีแอลนี่แหละค่ะที่เป็นตัวฉุดรั้งให้ฉันส่งงาน ให้ฉันเรียนตาม เรียกได้ว่าคะแนนครบทุกวิชาเพราะแอลยังได้เลย ส่วนพี่เวย์กับพะแพงฉันปิดบล็อคการติดต่อทุกช่องทาง ไม่สนใจอะไรพวกเขาอีกเลย ฉันชินแล้วแหละที่ต้องอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นจบก็คือจบ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง สำหรับคนอื่นอาจจะเลือกเพื่อนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะจริงใจมากกว่าแฟน แต่สำหรับฉันคนที่ทรยศหักหลังฉันไม่นับว่าเป็นเพื่อนค่ะ ต่อให้รู้สึกผิดและคิดได้ยังไงฉันก็ไม่ให้อภัยอยู่ดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD