บทที่ 4 กลิ่นหอมเนื้อหวาน

2527 Words
บทที่ 4 กลิ่นหอมเนื้อหวาน “คุณเหนือ…” เสียงเอ่ยเรียกของคนตัวเล็กทำให้เหนือมองเธอเล็กน้อย ก่อนที่ตาคมจะจับจ้องมองไปยังการ์ดเหมือนเดิม “ลูกค้าเมามากก็เลยถอยรถชนรถของคุณผู้หญิงท่านนี้ครับ” เหนือพยักหน้ารับเข้าใจและไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก มองสภาพรถของกรองแก้วสักพักก็หันไปหาเธอ ซึ่งดวงตากลมโตของคนตัวเล็กก็ยังจับจ้องหน้าของเขาอยู่ในขณะนี้ เหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ น่าขย้ำน่ารังแกจริง ๆ “คุณกลับกับผม” “แล้วรถกลิ่นล่ะคะ” นิ้วเล็กชี้ไปยังรถของตัวเอง สมองมึนงงกับเหตุการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก “กลิ่นไม่อยากทิ้งรถไว้ที่นี่” “เดี๋ยวจัดการให้” “ขอบคุณค่ะ” กรองแก้วไม่ได้ถามต่อเพราะรู้ดีว่าคลับแห่งนี้เป็นของน้องชายเจ้านาย การจัดการคงไม่ได้ยากอะไร “ว่าแต่… จะจัดการกับรถกลิ่นยังไงเหรอคะ” “ซ่อม” เหนือตอบสั้น ๆ แล้วพาเดินไปยังรถยนต์ของตัวเอง โดยมีคนร่างเล็กเดินตามแต่ก็เว้นระยะห่างสักนิด ดวงตากลมโตสบมองแผ่นหลังกว้างที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเสื้อสูทหรือมีเสื้อกั๊กสวมทับแล้ว มีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปลดออกสองถึงสามเม็ดจนเห็นอกแกร่งเปลือยเปล่า เธออยากลั่นปากถามเป็นอย่างมากว่าทำไมเขาถึงมาอยู่นี่ ไม่ได้นั่งเซ็นเอกสารอยู่ในโรงแรมหรอกหรือ เพราะตอนที่เธอออกมาจากห้องทำงานก็ยังเห็นเขานั่งตรวจเอกสารต่าง ๆ อยู่เลย แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ “คุณกินข้าวหรือยัง” เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถแล้วปากหยักก็ขยับถาม แต่สองตาก็ยังจับจ้องถนนตรงหน้าเหมือนเคย “ยังค่ะ” “อยากกินอะไร” “กินอะไรก็ได้ค่ะ” เพราะรู้ดีว่าต่อให้พูดปฏิเสธร้อยแปดก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนเป็นเจ้านายได้ ถ้าเขาบอกจะพาไปกินข้าวก็คือต้องไป ซึ่งเธอชินกับอะไรแบบนี้และปรับตัวตามเขาได้เสียแล้ว มันก็ดีนั่นแหละเพราะไม่ต้องใช้เงินตัวเอง “คุณเหนือเลิกงานแล้วเหรอคะ” สุดท้ายความอยากรู้ก็ทำให้ปากเล็กพลั้งถามในที่สุด ดวงตากลมโตสบมองหน้าเจ้านายที่กำลังทำหน้าที่ขับรถอย่างสงสัย “เลขาผมไม่อยู่” เขาตอบกลับพลางมองเธอเล็กน้อย “แล้วผมจะอยู่ทำไม” “แล้ว…” คุณเหนือมาทำอะไรที่คลับของคุณนายเหรอคะ… คำถามนี้อยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป มันก็ไม่แปลกที่พี่ชายเจ้าของคลับจะมาโผล่ที่คลับของน้อง แต่อีกใจก็คิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า “แล้วอะไร” “เปล่าค่ะ” ทั้งรถตกเข้าสู่ความเงียบเมื่อไม่มีใครเอ่ยปากพูด กรองแก้วไม่ใช่คนพูดน้อย แต่ก็ไม่สามารถพูดมากกับเหนือได้เพราะเขาเป็นคนไม่พูด ครั้นจะให้พูดคนเดียวคงจะดูเหมือนคนบ้า เผลอ ๆ อาจโดนเหนือด่าเพราะรำคาญ รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าร้านอาหารข้างทาง มองดูแล้วเป็นร้านข้าวต้มกุ๊ยเปิดโต้รุ่ง เหนือดับเครื่องยนต์แล้วพาเดินลงไปเลือกโต๊ะนั่ง หยิบเมนูมาดูท่ามกลางสายตาของกรองแก้วที่มองเจ้านายไม่วางตา “อยากกินอะไรสั่ง” “คุณเหนือกินได้เหรอคะ” คำถามดังกล่าวทำให้คนยิ้มยากยกยิ้มบางเบา แต่เธอไม่เห็นมันหรอกเพราะเมนูปิดหน้าเขาอยู่ในขณะนี้ “ทำไมถึงคิดว่าผมจะกินไม่ได้” “ไม่รู้ค่ะ กลิ่นแค่ถามเฉย ๆ” ใจจริงเธออยากจะพูดมากกว่านี้ เพราะทุกครั้งที่กินข้าวด้วยกันเหนือจะพาไปร้านอาหารดี ๆ เสมอ เธอไม่ได้มองคนแค่ภายนอก แต่หน้าที่การงานของเขา บุคลิกหรืออะไรต่าง ๆ มันสื่อให้เห็นว่าเขาไม่น่าจะมานั่งกินอาหารที่ร้านอะไรแบบนี้ได้ “ตอนผมเรียนมหา’ลัยก็อยู่กินแบบนี้” เสียงทุ้มอธิบายเรียบเรื่อยในขณะที่มือกำลังจดเมนูอาหารลงบนกระดาษแผ่นเล็ก “ไม่เห็นมันจะแปลกตรงไหน” “ไม่รู้สิคะ กลิ่นแค่ไม่คิดว่าระดับผู้บริหารพันล้านหมื่นล้านจะกินอะไรแบบนี้ได้” “คุณดูคนที่ภายนอก?” นั่นไง… กรองแก้วส่ายหน้าแล้วหยิบกระดาษมาเขียนบ้าง “แค่มองในแบบที่เห็นมาตลอดน่ะค่ะ” “…” “ที่บ้านของกลิ่นจะกินอะไรก็ต้องกินดี ๆ เข้าร้านหรู ๆ หมดมื้อละหมื่นมื้อละแสน ตั้งแต่กลิ่นเกิดมายังไม่เคยนั่งกินข้าวกับครอบครัวในร้านแบบนี้เลยค่ะ” เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเอ่ยเล่าเรื่องราวส่วนตัวให้คนเป็นเจ้านายฟัง ท่าทางของเธอลดความเกร็งลงต่างจากทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เหนือพึงพอใจมากเลยทีเดียว ร่างหนาพิงเก้าอี้พลาสติกพลางจ้องมองดวงหน้าหวานที่กำลังสนใจกับเมนูอาหารในขณะนี้ ส่วนปากก็บ่นขมุบขมิบเป็นครั้งแรกที่เปิดเปลือยความรู้สึก “พอเห็นครอบครัวของตัวเองก็เลยคิดว่าครอบครัวที่มีฐานะเท่า ๆ กันจะเป็นแบบนี้” “…” “อีกอย่างคุณเหนือก็เป็นถึงผู้บริหารมีหน้ามีตา เลยไม่คาดคิดน่ะค่ะว่าจะกินอาหารอะไรแบบนี้ได้” “งั้นก็คิดใหม่ มีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวผม” ใบหน้าสวยเงยขึ้นพร้อมมือส่งเมนูไปให้พนักงานที่ยืนรอในขณะนี้ ก่อนที่ปากจะพูดโต้ตอบกลับเสียงเบา “ถ้าอยากให้กลิ่นรู้เกี่ยวกับคุณเหนือคงต้องทำแฟ้มประวัติมาให้กลิ่นอ่านแล้วแหละค่ะ” “ได้สิ” เหนือตอบกลับโดยไม่คิด “คุณอยากรู้ลึกถึงขนาดไหนล่ะ” “…” “ขนาด…” “กลิ่นพูดเล่นค่ะ” เสียงหวานรีบเอ่ยแทรกพร้อมชักสีหน้าใส่เจ้านายโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอย่างนั้น ดวงตากลมโตประกายวาววับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “กลิ่นพูดเล่นเหรอ นึกว่าพูดจริงซะอีก” คำว่า ‘กลิ่น’ ในแบบที่ไม่มีคำว่าคุณนำหน้าส่งผลให้เจ้าของชื่อมองคนเรียกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงไม่เป็นส่ำ แม้จะพยายามบังคับให้มันอย่าทำงานจนเกินตัวแต่ก็ไม่สามารถบังคับได้เลย ท่องไว้ว่าคุณเหนือคือเจ้านาย เขาคือเจ้านายที่ไม่ควรคิดเป็นอย่างอื่น และตอนนี้เธอเองก็มีว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไร… ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาเป็นเลขาส่วนตัวของเหนือมันยากที่จะควบคุมความคิดตลอด กรองแก้วแสร้งตีสีหน้าไร้ความรู้สึก ทำตัวเป็นลูกน้องที่ดีในแบบที่ไม่คิดอะไรกับเจ้านาย แต่สองตากลับคอยจ้องมองไปยังโต๊ะทำงานของเขาเสมอ กระทั่งเกิดเรื่องคืนนั้น ความรู้สึกที่พยายามหักห้ามมันยิ่งเพิ่มพูน เธอจะไม่โกหกตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร เพราะใจมันร่ำร้องทุกวี่ทุกวันว่าตกหลุมพรางของเหนือแล้วแน่ ๆ เธอชอบเขา… ชอบเขานานแล้ว… “ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารค้าบ” เสียงเด็กหนุ่มดังเข้ามาในโสตประสาท สองตาที่กำลังจ้องมองเหนือพร้อมกับสมองที่กำลังคิดไปไกลถูกดึงกลับมาทันที “คุณเหนือชอบกินเนื้อเหรอคะ” เธอกลบเกลื่อนแม้ว่าจะไม่ทันแล้วก็ตาม “อืม” เหนือพยักหน้ารับ “ลองชิมดู” มือเล็กหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารตรงหน้าเข้าปาก ชิมรสชาติสักพักเสียงทุ้มก็ดังให้ได้ยินอีกครั้ง “อร่อยใช่ไหม” “ค่ะ” “ผมก็ว่ามันอร่อย” ปากหยักเอ่ยว่าในขณะที่ตากำลังจับจ้องอาหารตรงหน้า ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กไม่วางตา “รู้สึกว่ากลิ่นหอม เนื้อหวานดี” “…” “กินแล้วถูกปากอยากกินอีก” เป็นอีกครั้งที่หัวใจของกรองแก้วเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ต่างจากครั้งนี้คือตาของเธอยังจับจ้องมองเขาราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาคม เขาต้องจำเรื่องคืนนั้นได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่พูดมันออกมา เลือกที่จะพูดตอกย้ำหรือไม่ก็หลอกล่อทางอ้อมเหมือนกำลังไล่ต้อนกัน วันนี้คอนเฟิร์มได้แล้วว่าผู้บริหาร VR วีรกิตติโชติสาขาที่หนึ่งน่ะร้าย! วันต่อมา สรุปได้เลยว่าปีนี้เป็นปีซวยของฉันอย่างแท้จริง และเป็นซวยที่นอกจากจะโดนคนในครอบครัวทักมาต่อว่าแล้ว ยังโดนคนในโลกอินเทอร์เน็ตวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของฉันอย่างดุเดือดและรุนแรง ประเด็นของเรื่องคือที่ฉันกับคุณเหนือนั่งกินข้าวด้วยกันดันมีมือดีถ่ายรูปแล้วส่งไปให้เพจเมาท์มอยต่าง ๆ อัปลงเล่นข่าวอย่างสนุกสนาน พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่าฉันซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณวสินทำตัวไม่เหมาะสมโดยการนั่งกินข้าวกับผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่ว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง บ้างก็ว่าฉันกับคุณเหนือเป็นกิ๊กกันนั่นนู่นนี่สารพัดสารเพ “หวังว่างานผมจะเสร็จภายในเช้านี้นะคุณกลิ่น” น้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนของคนเป็นเจ้านายเอ่ยดังให้ได้ยิน นี่ก็เป็นอีกคนที่ฉันอยากถามว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ โดนคนทั้งประเทศด่าขนาดนี้ยังนั่งนิ่งอยู่ได้ เหลือเชื่อจริง ๆ “เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม” “ค่ะ” แม้จะอยากรู้แค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าถามอยู่ดี จึงต้องพยักหน้ารับแล้วตั้งใจทำงาน พยายามแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเฉกเช่นทุกวัน ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่จิตใจของฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องในอินเทอร์เน็ตอีก กระทั่งหูและสติได้รับสารจากคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่นัก “ได้เรื่องแล้วก็ฟ้อง เพจดังมาจากไหนปิดให้หมด” หากหูกระพือปีกได้ป่านนี้คุณเหนือคงจับได้แล้วว่าฉันกำลังแอบฟังเขาพูดในขณะนี้ “กระจายข่าวด้วยว่าฉันกับกลิ่นเป็นเจ้านายกับเลขา ไม่แปลกที่จะออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน” “…” “ถ้ายังไม่จบก็ทำมากกว่าฟ้อง” ประโยคนี้น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “ทำในแบบที่เคยทำ” หลังจากนั้นเสียงของคุณเหนือก็เงียบไป บ่งบอกได้ว่าเลิกคุยแล้ว สองตากลมโตจึงค่อย ๆ เหลือบมองไปยังโต๊ะของเจ้านาย ก็ต้องสะดุ้งเบา ๆ เมื่อเห็นเขากำลังมองฉันไม่วางตา “คุณอยากถามอะไรไหมคุณกลิ่น เผื่อมันจะทำให้จิตใจของคุณสงบขึ้น” “คุณเหนือเคลียร์เรื่องข่าวแล้วเหรอคะ” ในเมื่อเขาเปิดประเด็นให้ถามขนาดนี้ ทำไมจะต้องปฏิเสธด้วยล่ะ “อืม” “เคลียร์ทุกข่าวเลยเหรอคะ” อย่างที่รู้ว่าตอนนี้ทุกแพลตฟอร์มกำลังโจมตีข่าวของฉันกับคุณเหนืออย่างหนัก มันไม่ได้มีแค่ช่องทางเดียวที่ว่าจะปิดได้ง่าย ๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้านายฉันจะทำได้ “อืม” “ขอบคุณค่ะ” ฉันไม่ได้ซักถามต่อว่าคุณเหนือจัดการเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไร เพราะหากถึงมือเขาแล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องเป็นกังวลใจ ไม่พ้นวันนี้เรื่องทุกอย่างก็คงจะเงียบ ก็ดีเหมือนกัน คนที่บ้านจะได้เลิกทักข้อความมาด่าฉันสักที “ดูเหมือนคุณจะหนักใจมากที่เป็นข่าวกับผม” คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยส่งผลให้ฉันเงยหน้ามองไปยังเจ้าของเสียง “คุณดูเครียด” “กลิ่นกำลังจะแต่งงานค่ะ มีข่าวออกมาแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่” “นั่นสิ ผมก็ลืมไป” หากมองไม่ผิดเหมือนคุณเหนือจะชอบใจกับคำพูดเมื่อครู่ของฉันอย่างไรชอบกล เขายกยิ้มน้อย ๆ ส่วนมือก็ควงปากกาเล่นในท่าทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขากำลังอารมณ์ดี? “ผมกำลังตกเป็นมือที่สามใช่หรือเปล่า” “กลิ่นยังไม่ได้แต่งงาน คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงทำให้ฉันกล้าโต้ตอบในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน อาจเป็นเพราะเขาทำท่าทางกวนประสาทและดูเหมือนกำลังสนุกกับเรื่องแต่งงานของฉันอย่างไรชอบกล “ยังไม่ได้แต่งงานงั้นก็แปลว่าโสด?” “กลิ่นไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” “เหรอ ผมนึกว่าคุณหมายความว่าแบบนั้น” “…” “งั้นผมก็ไม่ได้เป็นชู้คุณหรอกใช่ไหม” “ไม่ค่ะ” ว่าแล้วก็จบบทสนทนาดังกล่าวเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานเกิดดังลั่นขึ้นมา ฉันหยิบมารับสายท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของคุณเหนือ แต่ไม่นานเขาก็ก้มลงไปทำงานตามเดิม ซึ่งแน่นอนว่าฉันรีบผ่อนลมหายใจออกมาทันที ส่วนปากก็ตอบรับคำพูดจากปลายสาย สมองเข้าสู่งานเหมือนเฉกเช่นทุกวัน “คุณเหนือคุณรุจมาขอเข้าพบค่ะ” และเมื่อวางสายเสร็จจึงเอ่ยแจ้งเจ้านาย เขาพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ตอบอะไรมามากกว่านี้ ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะเบา ๆ สามที สิ้นเสียงเจ้าของร่างสูงโปร่งและมีใบหน้าหล่อเหลากินกันไม่ลงกับคุณเหนือเดินเข้ามา เขาเหลือบตามองฉันพร้อมทำท่าทางแปลกใจ ก่อนจะหันไปหาคุณเหนือยิ้ม ๆ “กูเพิ่งรู้ว่ามึงเอาเลขาไว้ในห้อง” ขณะที่ฉันกำลังจะออกไปเอาน้ำกับกาแฟมาเสิร์ฟ ‘แขก’ คำพูดประโยคดังกล่าวเอ่ยให้ได้ยินซะก่อน แต่ขาก็ยังก้าวเดินต่อไป “มึงมาทำไม” ได้ยินคุณเหนือตอบกลับเท่านั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย สองเท้าลากไปยังห้องแพนทรีของชั้นบริหาร จัดเตรียมเครื่องดื่มสักพักก็เดินกลับเข้าไปในห้องเหมือนเดิม “ขออนุญาตค่ะ” ฉันเคาะประตูพร้อมเอ่ยบอกให้คนข้างในได้รู้ถึงการมาของฉัน วางเครื่องดื่มลงต่อหน้าแขกที่มองฉันสลับกับคุณเหนือไม่วางตา ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานที่เดิม “มึงมันแน่ไอ้เหนือ” “กูถามอีกครั้งว่ามึงมาทำไม” “กูมาหาเพื่อนไม่ได้?” เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอ ‘เพื่อน’ ของคุณเหนือ พูดตามตรงเลยว่าทั้งสองไม่น่าจะคบกันได้ ดูจากนิสัยของคุณรุจดูกวนประสาทไม่น้อย ต่างจากคุณเหนือที่ชอบทำนิ่งและตอนนี้กำลังทำหน้ารำคาญ “ถ้าไม่มาหามึงวันนี้กูก็คงไม่ได้รู้ว่ามึงซุกอะไรไว้” “…” “เอาไว้ใกล้ตัวขนาดนี้ กลัวเขาหายหรือไง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD