ตอนที่ 10 : พากันไปตาย

2990 Words
10 หลังจบมื้อเช้าอันน่ากระอักกระอ่วนโดยมีพญาขาลเป็นผู้สร้างบรรยากาศนั้นให้เธอไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะพูดจาแดกดัน ส่งสายตาพิฆาตมองเธอเป็นระยะทำให้เธอกลืนข้าวแสนอร่อยลงคออย่างยากลำบาก “แค่จะกินข้าวให้อร่อยยังลำบาก” เธอพึมพำ “ก็ไม่ต้องกินให้เสียข้าวสุก” พญาขาลเอ่ย กระนั้นตรีศูลยังใช้ฝ่าเท้าสะกิดกระดังงาให้เธอคอยตักกับข้าวอันนู้นอันนี้ให้พญาขาลไม่ขาดสาย จนพญาขาลส่งเสียงคำรามต่ำขู่เข็ญในลำคอไม่หยุดหย่อน กระดังงาอยู่คอยช่วยน้าบุหงาล้างจานชามคว่ำเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงมานอนเล่นใต้ต้นขนุนข้างเรือนพญาขาล เสียงใบไม้ปลิวไสวลอยตามแรงลม กลิ่นหอมอ่อนจรุงของดอกจำปีที่สยายเบ่งบานเต็มต้นสูงไม่ใกล้ไม่ไกล พลอยทำให้กระดังงารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก หญิงสาวนอนกลิ้งไปมาบนแคร่ตัวยาว สูดดอมดมกลิ่นหอมของดอกจำปีเข้าปอดเป็นจังหวะ ก่อนจะนอนคว่ำหน้าเผยให้เห็นร่องรอยกรงเล็บบนแผ่นหลังของเจ้าพิรุณช่วงเช้า ดวงหน้างดงามพิลาสล้ำเผยรอยยิ้มแสนหวานพึงใจ ชายใดเเลเป็นต้องใจสั่นระริกเหมือนตีกลองสะบัดชัยเป็นแน่ เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่กลับเรือนมานอนอาบแดด ไม่คิดจะปรายหางตามองเธอด้วยซ้ำ เพียงส่งเสียงฟึดฟัดแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียดบอกเป็นนัยว่าไม่พอใจเธออยู่กลายๆ มีเพียงเตียนคำที่ลอยล่องอยู่ในอากาศรบเร้าให้เธอถอนคำพูดว่าจะไปกำราบผีพญาห่าก้อมกับตรีศูล “นางน้อย...พี่เตียนคำยังอกสั่นขวัญแขวนกับเจ้าผีกะยักษ์อยู่เลยหนา นี่นางน้อยจะวิ่งโร่เข้าไปหาผีพญาห่าก้อมอีกหรือเจ้าคะ อยากให้พี่เตียนคำอกแตกตายซ้ำสองหรือเจ้าคะ ถอนคำพูดเถิดหนาเจ้าคะบอกอ้ายตรีศูลไปว่าวันนี้นางน้อยไม่สบายตัว” “กระดังงาไม่เอาพี่เตียนคำไปหรอก ไม่ต้องกังวลไป กระดังงาเอาตัวรอดได้ไม่ต้องคิดมาก แต่ตอนนี้กระดังงาปวดแผลมากเลยไม่รู้จะใส่ยาที่หลังยังไง” กระดังงายิ้มออดอ้อนเตียนคำ ทำให้ผีกะสาวอดจะเอ็นดูและรักใคร่กระดังงาจนใจอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งเทียนไข “มะ...ไม่ พี่เตียนคำไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮ้อ...นางน้อยไปพี่เตียนคำก็จะไป พี่เตียนคำไม่อยากให้นางน้อยไปเผชิญกับอันตรายต่างหากเล่า ทำไมถึงชอบเสี่ยงอันตรายอยู่เรื่อยเลยเรา” เตียนคำหน้าสลดอธิบายให้เจ้านายสาวของตนฟัง “ถ้าพี่เตียนคำเป็นคนคงช่วยใส่ยาให้นางน้อยไปแล้วหรือจะให้พี่เตียนคำไปสิงสู่ร่างผู้อื่นดี” “อย่าแม้แต่จะคิดหนาพี่เตียนคำ เข้านอกออกในร่างผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ” กระดังงาส่งสายตาดุปรามผีกะสาว ทำให้เตียนคำยิ้มเจื่อนไม่พูดอะไรอีก “มาข้าใส่ให้เอ็ง” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง เตียนคำจำน้ำเสียงนั้นได้ดีจึงรีบหายหลุบเข้าไปในอบเงิน เกรงกลัวว่าพญาขาลจะจับนางถ่วงน้ำไม่ให้อยู่คอยเคียงข้างช่วยเหลือกระดังงา “ขอบพระคุณจ๊ะ ขี้ผึ้งสมานแผลอยู่ในตลับ” กระดังงาเกร็งร่างชั่วครู่ จึงผ่อนคลายทำทีเป็นนอนคว่ำรอคอยให้เขาทายาให้เหมือนเด็ก แม้จะรู้ว่าจุดประสงค์ของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าใด อย่างน้อยใกล้ชิดเขาได้สักเสี้ยววินาทีก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ พญาขาลคว้าตลับขี้ผึ้งขึ้นมา ใช้นิ้วป้ายขี้ผึ้งไว้บนนิ้วสากกร้านก่อนจะจงใจทาลงไปบนบาดแผลที่เริ่มแดงระบมอย่างรุนแรง ปลายนิ้วร้อนระอุป้ายยาลงบนเนื้อเนียน จงใจกดลงบนบาดแผลหวังให้นางเจ็บซ้ำเจ็บซ้อน กระดังงาร้องเสียงหลง ทว่าเสียงนั้นกลับคลับคล้ายเสียงแห่งค่ำคืนวสันต์สุดหฤหรรษ เล่นเอาชายหนุ่มวัยกลางคนใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “อะ…อืม เบามือหน่อย” “ซี้ดดด!” “อ่ะ!” “ผู้ใดให้เจ้าร้องเยี่ยงนั้น!?” พญาขาลขมวดคิ้วหน้าเคร่งขรึมเอ่ยดุนาง “แล้วคนเจ็บมันร้องยังไงกันละจ๊ะ อ้ายขาลลองร้องให้กระดังงาฟังหน่อยสิ คราวหน้ากระดังงาจะได้จำแล้วนำมาใช้” กระดังงาตวัดมองค้อนอ้ายขาลของเธอ ริมฝีปากเล็กยกขึ้น ในใจอยากจะหยุมศรีษระหนามาเขย่าแรงๆ สักสองสามทีให้หายโกรธเคือง แต่กลับทำได้เพียงมองค้อนแล้วพลิกตัวหันกลับมา กระดังงาใช้เรียวแขนสองข้างยันแอ่นเรือนกายระหง ร่างมหึมาในท่วงท่าก้มโค้งทายาให้เธอเมื่อครู่ยังคงค้างเติ่งในท่าเดิม ริมฝีปากนุ่มนิ่มเฉียดปลายคางสากปกคลุมด้วยหนวดเคราไปมา ทำให้เธอจั๊กจี้ไม่น้อย ภายใต้ความรู้สึกนั้นส่งผลให้ดวงหน้างดงามพิลาสล้ำของเธออมยิ้มเล็กน้อย กลิ่นอายบุรุษผู้ยืนหยัดตระหง่านอย่างมั่นคงมาหลายร้อยปีอย่างเขากลับทำให้หญิงสาวรู้สึกปั่นป่วนใจ จนลมหายใจแผ่วเบาสะดุดตะกุกตะกัก “......” สองร่างแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน พญาขาลตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาเฉี่ยวดุจหงส์เหลือบมองบุรุษเพศผู้นี้ เสียงในหัวของเธอร่ำร้องว่าให้ฉวยโอกาสนี้เคลื่อนริมฝีปากทาบทับปากหนาของเขา และใช่...เธอแพ้เสียงในหัว ร่างระหงแอ่นเหยียดกายขึ้นสูงหมายจะเชยชิมจุมพิตของพญาขาลตามสุ้มเสียงที่ร่ำร้องในหัวของเธอ ใจดวงน้อยเต้นระส่ำจนแทบจะกระเด็นกระดอนหลุดออกมาจากอก ริมฝีปากเล็กกดทาบปากหนาสีเข้มของเขา ท่วงท่าและลีลาทุกอย่างล้วนได้รับการฝึกสอนมาจนช่ำชอง แต่พอถึงเวลาปฏิบัติจริงกลับทำให้เธอรูัสึกประหม่า เนิ่นนานที่ริมฝีปากเล็กพะเน้าพะนอคลอเคลียชายหนุ่มวัยกลางคน จนเขาเผลอไผลแทรกลิ้นสากร้อนระอุเข้าไปกระหวัดรัดรึง ดูดดื่มเก็บเกี่ยวรสชาติหวานล้ำภายในโพรงปากเล็ก รสสัมผัสช่างหวานละมุนละม่อมเหมือนผลไม้ที่สุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยว สลับบางช่วงบางตอนเร่าร้อนเสียจนมือหยาบยกเกาะกุมบีบเคล้นอกอิ่มเกินวัยของนาง เสียงครางกระเส่าข้างหูปลุกให้พญาขาลผู้ตกอยู่ในภวังค์ ลุ่มหลงท่วงท่าวิชาเสน่ห์ของนางให้ตื่นขึ้น “!!?!!” พญาขาลดีดกายถอนลิ้นสากออกห่าง สายตาคมกริบจ้องมองนางอย่างอาฆาตมาดร้าย ยกหลังมือเช็ดปากหนาลวกๆ แสดงออกว่ารังเกียจนางอย่างถึงที่สุด กระดังงาตีหน้าซื่อ ไร้เดียงสา แววตาแสร้งว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด หากจะผิดก็ผิดที่เขาเผลอไผลปล่อยใจ ปล่อยกายหลุดลอยไปกับท่วงท่าเย้ายวนสุดแสนจะธรรมชาติของเธอ เธอทำราวกับว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ถูกเขาล่วงเกิน ทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายจุมพิตเขาก่อนด้วยซ้ำ “สกปรก!” “เอ็งคงไม่ได้ล่อลวงหลานข้าเช่นนี้ใช่หรือไม่” พญาขาลเอ่ยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ไล่มองนางตั้งแต่ศรีษระจรดปลายเท้า มองเหมือนนางเป็นสิ่งของขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง “อ้ายขาล...ทุกอย่างกระดังงาทำกับอ้ายขาลเพียงผู้เดียว” กระดังงาผ่อนลมหายใจเอ่ยบอกความจริงแก่เขา น้ำเสียงของนางหวานนุ่มออดอ้อนอ้ายขาลของตน หากเป็นชายอื่นคงใจอ่อนยวบแล้วรีบมาประคองกอดนางเอาไว้ แต่กลับชายผู้นี้กลับแค่นหัวเราะในลำคอ สายตาฉายแววดูถูกและเหยียดหยาม “หึ...เพียงผู้เดียว” เขาทิ้งไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีเดินขึ้นเรือนของตนเอง กระแทกฝ่าเท้าเสียงดังปึงปังจนเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายพลอยสะดุ้งตกใจตื่น “ตาเฒ่าวัยทอง! หวงเนื้อหวงตัวไม่เข้าเรื่อง กระดังงาสิต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั่นจูบแรกของกระดังงาเชียวนะ!? นี่เราเกิดมามีดวงข่มขาลจริงหรอไม่ใช่เกิดมาให้ตาเฒ่าข่มเราอย่างเดียวหรือไง” กระดังงาขยับปากขมุบขมิบบ่นพึมพำไล่หลัง “หรือจูบนี้ยังไม่เด็ดเข็ดฟันพอ?” กลางดึกสงัด... เสียงผิวปากส่งสัญญาณให้กระดังงาที่กำลังนอนรอคอยเวลานัดแนะกับตรีศูลผงกศรีษระหันซ้ายขวา ก่อนจะเล็งเห็นเงาตะคุ่มหลังต้นจำปี ผ้าห่มผืนบางใช้ปิดปกคลุมใบหน้าถูกเลิกร่นลงมาร่างระหงคลืบคลานออกจากม่านมุ้งย่องเบาลงบันไดเรือนไปหาตรีศูล พยายามเดินกึ่งวิ่งให้เงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากอ้ายขาลตื่นมาเห็นคงไม่แคล้วต่อว่าเหน็บแหนมว่าเธอให้ท่าตรีศูลอีก คนผู้นี้เอาใจยากกว่าบรรพบุรุษที่บ้านอีก! “เราจะไปกันยังไงเดินไปหรอ” หญิงสาวกระซิบกระซาบเอ่ยถามสหาย “ข้าเอารถมาแต่ต้องช่วยกันเข็นออกไปก่อน ค่อยไปสตาร์ทรถหน้าหมู่บ้าน” ตรีศูลเพยิดหน้าไปทางรถสามล้อพ่วงข้างคู่ใจของตน ที่เขาเข็นออกมาจากเรือนจนกายเปียกโชก “อืม” โชคดีที่อย่างน้อยสหายสมองทึบของเธอก็ไม่ได้คิดจะให้เธอเดินไปจริงๆ ยังนับว่าพึ่งพาได้ กระดังงาพยักหน้าเดินย่อก้มไปทางรถสามล้อพ่วงข้าง เธอเดินขึ้นไปนั่งบริเวณเบาะตัวยาวพ่วงข้าง ตรีศูลขมวดคิ้วเอ็ดหญิงสาวที่นอกจากจะไม่ช่วยกันเข็นแล้วยังมาเพิ่มน้ำหนักภาระให้รถสามล้อพ่วงข้างของเขาอีก “ลงมาช่วยกันเข็นมันหนัก!” ตรีศูลขึงตาใส่เพื่อนสาวที่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน “ไม่อะ เดี๋ยวมือฉันกร้าน นายก็เข็นไปอย่าบ่นมาก! เป็นเพื่อนกันเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง ตัวฉันไม่ได้หนักแปดสิบโลสักหน่อย” กระดังงาเอ่ยตีหน้ามึน นั่งบนรถพ่วงข้างกินแรงเพื่อนต่อไป “ไม่เสียแรงเป็นหัวโจ๊กเด็กเปรต ดี...แบบนี้แหละดี” ตรีศูลหัวเราะร่า เดินไปประจำตำแหน่งเข็นรถพ่วงข้างออกจากหมู่บ้าน “เออเอา...นายท่าจะป่วยจิตไปหาหมอบ้างนะ” กระดังงาส่ายหน้าเอือมระอา นี่เธอจะต้องเป็นเพื่อนกับเจ้าตรีศูลที่ดูจะบ้าระห่ำและสมองไม่ค่อยปกติคนนี้หรอ เฮ้อ... สองคนหนึ่งผีนั่งรถสามล้อพ่วงข้างลัดเลาะไปตามถนนลูกรังใกล้ชานเขาลำเนาไพร กระดังงานั่งอยู่บนรถพ่วงข้างหัวสั่นคลอนเหมือนลูกมะพร้าวถูกมีดกระเฉาะกระเด็นกระดอนไปตามแรงโยกคันเร่ง มือเรียวต้องรีบคว้าหาที่มั่นเพื่อไม่ให้ร่างเล็กกระเด็นออกจากตัวรถพ่วงข้าง ไหนจะฝุ่นควันดินแดงบนถนนที่ตลบอบอวลปะทะดวงหน้าจนมอมแมม สองข้างทางเป็นป่าละเมาะรกทึบยามค่ำคืนอากาศจึงลดฮวบฮาบจนน่าตกใจ มีเพียงแสงไฟสีส้มอ่อนสลัวจากหน้ารถมอเตอร์ไซต์ให้แสงสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบและวังเวงจนขนอ่อนทั่วเรือนร่างลุกชัน กระดังงาปิดปากเงียบ กลัวว่าจะเผลอไปทักอะไรเข้าให้แล้วสิ่งชั่วร้ายภายใต้เงาดำมืดจะติดตามกลับบ้าน กระนั้นใบหน้าคมเข้มของตรีศูลยังเผยรอยยิ้มสบายใจไร้ความหวาดกลัวจากใต้ก้นบึ้งของจิตใจ มีเพียงความบ้าคลั่งถาโถม “ถ้าเอ็งกับข้าปราบผีตัวนี้ได้นะรับรองรวย” ตรีศูลบิดเร่งความเร็วจนสายลมปะทะตีเข้าใบหน้าจนหน้ามู่ หันมาคุยกับเพื่อนสาวที่นั่งเงียบตัวเกร็งตลอดทาง “ว่าแล้วเรื่องนี้ต้องมีนอกมีใน” กระดังงาเค้นเสียงลอดไรฟัน “ชีวิตมันต้องกินต้องใช้ทำไงได้ เข้าบ่อนไก่ข้าเอาเงินครอบครัวไปเล่นไม่ได้นี่หว่า” ชายหนุ่มเลือดร้อนกระตุกยิ้ม แม้น้ำเสียงของเพื่อนสาวจะทำให้เขาเย็นเยือกอยู่ในอก “ไม่ไปหางานการทำดีๆ เล่า!” เธออยากจะโขกศรีษระเข้ากับกำแพงปลิดชีวิตบัดซบที่ต้องอ้าแขนจำยอมรับเพื่อนคนนี้แบบจำใจ “นี่แหละงานการของข้าจริงจังที่สุดในชีวิตแล้ว” ตรีศูลยืดเหยียดลำคอโก่ง มือหยาบบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์จนเพื่อนสาวหัวโยกหัวคลอน กระเด็นไปทางซ้ายทีกระเด็นไปทางขวาที ดูเอาเถอะ! สวรรค์ส่งฉันมาเกิดให้มาเจอพญาขาลไม่พอ เพื่อนคนเดียวของฉันทำไมถึงเป็นเจ้าตรีศูลสมองกลวงความคิดความอ่านไม่ปกติกันนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย หมู่บ้านป่าสัก หมู่บ้านห่างไกลโดยมีสองหมู่บ้านขั้นกลางจากหมู่บ้านคุ้มงาม ในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านนายพรานชื่อดัง แต่เป็นเพราะผลพวงบาปกรรมจึงทำให้นายพรานชื่อดังในอดีตสิ้นชื่อและสิ้นใจตายคากองเพลิงที่โหมไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้ากองกระดูก หมู่บ้านที่เคยมีเสียงเจื้อยแจ้วของชาวบ้าน หมู่บ้านที่เคยครึกครื้นมากด้วยผู้คนสัญจรไปมา บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงหมู่บ้านที่แทบจะร้างราผู้คน คนที่ยังคงรั้งอยู่ก็เก็บตัวเงียบสนิทอยู่แต่ในบ้าน ไม่ปล่อยลูกหลานออกมาวิ่งเล่นเผ่นผ่านข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ผีพญาห่าก้อมตนนี้คงอิ่มหนำสำราญจนอ้วนท้วมสมบูรณ์เลยสิท่าจึงทำให้ชาวบ้านหวาดผวาอกสั่นขวัญแขวนได้ถึงเพียงนี้ “เอี๊ยดดด!” “อย่าเลียนแบบเด็กแว้นในหมู่บ้าน” กระดังงากดเสียงต่ำตักเตือนพฤติกรรมเพื่อนชายเพียงคนเดียว “โทษทีมันเข้าไปอยู่ในสันดานข้าแล้วน่ะ” ตรีศูลเกาศรีษระแก้เก้อ เสียงเบรกดังเอี๊ยดแว่วดังมาแต่ไกลทำให้กลุ่มคนชายฉกรรจ์ที่กำลังยืนเฝ้ารอผู้ที่มาติดต่อกำราบพญาผีห่าก้อมสะดุ้งเฮือกตื่นตระหนกกันเป็นแถวมองดูผู้มาเยือนด้วยความหวังหนทางรอดของหมู่บ้าน แสงไฟสลัวขมุกขมัวหน้ารถถูกดับพร้อมเครื่องยนต์แสงไฟนีออนจากเสาไฟเผยให้เห็นร่างหนุ่มสาวคู่หนึ่ง คนหนึ่งหล่อเหลาคมคายแฝงความกะล่อน ยียวน แต่ในแววตานั้นกลับซ่อนความบ้าคลั่งและบ้าระห่ำของวัยรุ่นเลือดร้อน ส่วนอีกคนงดงามพิลาสล้ำดูเฉียบขาด เฉลียวฉลาดมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันทรงเสน่ห์ หากผู้ใดมีตาก็คงนึกเตือนตนเองอยู่ในใจว่าอย่าได้ไปกระตุกต่อมยั่วโมโหพวกเขาทั้งคู่เชียว และพูดไม่ทันขาดคำก็มีเจ้าตาบอดเอ่ยทักสบประมาทในทันที… “จะไหวหรอลุงผู้ใหญ่ ยังดูเด็กกันอยู่เลยเดี๋ยวก็ได้โดนโคตรปอบแดกห่าหรอก” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีตาแต่หามีแววเอ่ยถามน้ำเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ เกรงว่าหากส่งเด็กสองคนนี้ไปจะเป็นการส่งไปตายเปล่ามิหนำซ้ำยังทำให้ผีพญาห่าก้อมอิ่มหนำสำราญอีกด้วย “นั่นตรีศูล ทายาทคนโตของพ่อครูเพลิงฝีมือฉกาจแห่งหมู่บ้านคุ้มงามที่ปิดสำนักไปนานหลายปีแล้ว ไม่แคล้วคงถ่ายทอดวิชาอาคมให้ลูกชายหมดแล้ว พวกเอ็งคงยังไม่ลืมนะว่าพวกอยากลองวิชาพ่อครูมีจุดจบยังไง” ลุงเทิด ผู้ใหญ่บ้านป่าสักเอ่ยน้ำเสียงราบรื่น ทว่าใบหน้าเหี่ยวย่นยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรต้อนรับแขกผู้มาเยือน “......” ผู้ติดตามต่างอึ้งทื่อตัวแข็ง สีหน้าบื้อใบ้พูดไม่ออก ชื่อเสียงของพ่อครูเพลิงแห่งหมู่บ้านคุ้มงามดังระเบิดระเบ้อปานนั้น ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก และไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา หมู่บ้านคุ้มงามไม่เคยปรากฎภูติผีปีศาจแล้วถึงจะเคยปรากฎก็เพียงระยะเวลาอันสั้นก่อนจะถูกกำราบไม่หลงเหลือแม้แต่นามให้ขานเอ่ย ต่างจากหมู่บ้านระแวกข้างที่มักจะปรากฎผีประหลาดออกมาอาละวาดอยู่เสมอ “ข้าตรีศูล ส่วนนี่เพื่อนข้ากระดังงา ลำบากพวกเอ็งแล้ว พวกเอ็งแยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อนกันเถิด ระหว่างที่ข้ากำราบไม่อยากให้มีผู้ใดถูกลูกหลง ข้าและสหายจะตามหามันเอง” ตรีศูลเอ่ยน้ำเสียงฉายแววขี้เล่น “ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน เรียบร้อยแล้วมาแจ้งรับเงินรางวัลที่บ้านลุงผู้ใหญ่ได้เลย” ลุงเทิดยิ้มแย้ม ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงผู้ติดตามที่อยากจะมาดูพิธีกำราบผีพญาห่าก้อมเป็นบุญตากลับบ้านใครบ้านมัน “ไปเอาความมั่นใจว่าจะปราบผีพญาห่าก้อมมาจากไหน หลายหัวก็ดีกว่าสองหัวไม่ใช่หรอ” กระดังงาเตรียมจะแยกเขี้ยวงับหัวตรีศูลทันทีที่เห็นว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น แยกย้ายกันกลับบ้านแต่โดยดีไม่มีอิดออด “แต่หัวข้ากับหัวเอ็งแข็งกว่าคนพวกนั้น” “ข้าไม่สะเพร่าถึงขนาดพาเอ็งมาตายเปล่า วันนี้ไม่ใช่วันตายของเอ็งกับข้าดอก” ชายหนุ่มยกยิ้มมีเลศนัย “รู้ได้ไงพ่อนายเป็นยมบาลหรือไง” กระดังงาขมวดคิ้วมุ่นเดินตามตรีศูล ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิต “ใครบอก พ่อข้าเป็นพญายมราชต่างหาก” สีหน้าโอ้อวดจนแก้มสากยกยิ้มบานเป็นจานกระด้งบอกกล่าวความลับสหาย “จริงจัง?” กระดังงามีทีท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ข้าแอบไปดูบัญชีหนังหมาของพ่อข้ามา ไม่มีรายชื่อเราสองคน ก็นับว่าวันนี้ชัยชนะจะต้องเป็นของเอ็งและข้า” “แล้ววันตายลุงเอ็งคือวันไหน!” กระดังงากลอกดวงตาเฉี่ยวไปมา ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตรีศูลพยายามจะสื่อ อีกทั้งเจ้าตัวยังเอาแต่เดาะลิ้นไปมา แต่คำถามนี้ทำให้เขาพลันชะงักหันขวับเมื่อเธอเอื้อนเอ่ยขึ้นมา “อย่าโง่เง่าหน่อยเลยลุงข้าน่ะหรือจะมีวันตาย” “โกหกให้ดีใจหน่อยสิ…” “ลุงขาลรักเอ็ง” “ขอบคุณ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD