ตอนที่ 14 : แกล้งเจ็บ

2980 Words
14 เสือสมิงร่างมหึมากวาดสายตามองหาใครบางคนที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญงุ่นง่านตั้งแต่แรกเห็น ดวงตาไร้เดียงสา สีหน้าใสซื่อแสร้งบริสุทธิ์ดุจบัวขาว น้ำเสียงหวานเจือสะอื้นที่นางชอบใช้ ล้วนแล้วแต่ขัดหูขัดตาเขาทั้งสิ้น ทว่า...ยามนี้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรมิอาจทราบ ความรู้สึกโกรธเคืองในตัวก็พลันพุ่งพล่านที่นางอวดดีแอบออกมากำราบผีพญาห่าก้อมกับเจ้าหลานชายตัวดีที่มีความรู้เพียงงูๆ ปลาๆ เป็นที่รู้กันดีว่าผีพญาห่าก้อมตนนี้มีพลานุภาพแข็งแกร่งถึงขั้นกลบกลิ่นอายของตนเองและหลบหลีกซ่อนเร้นได้อย่างแนบเนียน จู่ๆ จมูกหนาก็ได้กลิ่นคาวเลือดมาจากใต้ต้นไทร ด้านข้างมีศาลปู่ย่าไร้การทำนุบำรุงพญาขาลรีบกระโจนมายังปลายทาง “ข้ามาช้าไปหรอกหรือ” “เอ็งตายหรือยัง...” ฝ่าเท้ามหึมาเขี่ยร่างสลบไสลของกระดังงา นัยเนตรสีชาดเพ่งมองร่างอาบท่วมเต็มไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงเข้มทั่วเรือนร่างระหง เขาเย็นสันหลังวาบจนเหงื่อเย็นผุดพรายทั่วแผ่นหลังลายพาดกลอน ‘ตาเฒ่าเอ้ย! มาแช่งกันต่อหน้าช่างไม่มีความโรแมนติกในอารมณ์ซะเลย’ กระดังงาค่อนขอดในใจ ร่างสะบักสะบอมอ่อนระโหยโรยแรงนอนจมกองเลือด สภาพช่างน่าสงสารเวทนาจนหัวใจที่เคยแกร่งกร้านต้านทานลมฝนพายุของสมิงเฒ่าปวดหนึบอย่างไม่ทราบสาเหตุ สมิงร่างมหึมาเหยียดขยายกลายเป็นร่างชายหนุ่มวัยกลางคน กล้ามเนื้อล่ำสันเผยถึงความแข็งแกร่ง ใบหน้าคมคร้ามในยามปกติที่มักจะชอบชักสีหน้าใส่นางตึงเครียดจนเส้นเลือดบริเวณขมับนูนปูด มือสากกร้านเอื้อมมาอังแตะจมูกโด่งรั้นเล็ก ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจะถูกกระชากลมหายใจออกจากร่างทำให้พญาขาลเบิกตากว้าง ไหนจะใบหน้างดงามพิลาสล้ำในยามปกติมันจะเชิ่ดใบหน้าขึ้นท้าทายเขา ในยามนี้ซีดเซียวราวกับไร้เลือดห่อหุ้มภายในเรือนร่าง เขารีบช้อนร่างระหงขึ้นมาด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ ก่อนจากมิวายเอื้อนเอ่ยฝากสายลมหอบคำกล่าวขานหรือคำข่มขู่นั้น ให้จิตวิญญาณที่ยังคงยึดติดอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ “ข้ากลับมาคิดบัญชีกับเอ็งแน่แท้อ้ายห่าก้อม” น้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพญาขาลเอ่ยถึงดังคำขู่ ทางด้านกระดังงาได้ยินคำข่มขู่นั้นก็รีบเปิดเปลือกตาหนึ่งข้างเหลือบมองพญาขาล พลันได้เห็นสีหน้าและแววตาเกรี้ยวกราดจึงนึกหวั่นอยู่ในใจ พลางขยับริมฝีปากขมุบขมิบบอกเป็นนัยถึงผีพญาห่าก้อมว่า ‘อย่าถือสา เดี๋ยวฉันดัดสันดานตาเฒ่านี่เองจ้า’ เงาตะคุ่มดำทะมึนนั่งเท้าคางอยู่ในความมืดมิดส่งเสียงหัวเราะต่ำในลำคอ วันนี้ช่างเป็นวันที่เขารู้สึกสนุกครื้นเครงเสียจริง ได้เห็นแม่นางหนึ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมลูกไม้งัดออกมาใช้กับสามีเฒ่าที่ดีแต่ใช้กำลังอย่างพญาขาล หากจะมีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างแท้จริง หนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นพญาขาล สมิงร้ายเจ้าอารมณ์ตนนี้แน่นอน แต่ไม่รู้ทำไมเขาอดที่จะสงสารพญาขาลตนนี้เสียไม่ได้ที่ต้องมาประสบพบเจอกับหญิงสาวเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่ไม่ลังเลยอมกระทั่งทำร้ายตนเองเพื่อเรียกร้องความสงสารจากสมิงร้าย “ช่างเป็นคู่สร้างคู่สม สมน้ำสมเนื้อกันโดยแท้ อีกคนก็เจ้าอารมณ์ดีแต่ใช้กำลัง อีกคนก็ลูกเล่นแพรวพราวปั่นหัวอีกฝ่ายจนโง่งม” จิตวิญญาณดำมืดหัวเราะชอบใจ ชวนนึกถึงคำร้องขอของอีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้ ‘ท่านช่วยฉันวางแผนขโมยหัวใจผัวหน่อยสิ เขาน่ะทั้งบื้อใบ้ไม่รู้ใจตัวเอง ไม่ยอมแสดงท่าทีว่ารักฉันซะที’ ‘หือ...ช่วยอย่างไร’ ‘ท่านฆ่าไก่ให้ฉันตัวหนึ่งได้มั้ยจ๊ะ ทีเหลือฉันจัดการเอง รับรองเอาหัวฉันเป็นประกันเลยว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจแน่’ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า กระดังงาจึงกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์แพรวพราว วิ่งถลาชนผนังเรือนเสียงดังตุ้บอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้กระทบกระเทือนรุนแรงถึงภายใน นับว่านางกะแรงและน้ำหนักพอดิบพอดี เมื่อเห็นว่านางลงมือทำร้ายตนเองอยู่หลายครั้งหลายคราจึงอดออกปากพูดไม่ได้ ‘อยากตายบอกข้าคำเดียวก็ได้ ตายแบบไม่ทรมานด้วย ไยต้องหาเรื่องให้ตนเองเจ็บตัวปานนี้’ เขาเอ่ยถามนางด้วยความงุนงง ก็เพราะอยู่ๆ นางก็วิ่งถลาโขกศรีษระเข้าหากำแพงจนร้าวทิ้งร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าและตามเนื้อตัวจนแดงจ้ำ ‘ฉันไม่ได้อยากตายซะหน่อย นี่เค้าเรียกว่าแผนล่อลวงให้ผัวตายใจต่างหาก ยิ่งเค้าเห็นสภาพฉันน่าสงสารเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งจะสามารถคว้าหัวใจเขามากอบกุมเท่านั้น’ ‘หากอยู่กับผัวเอ็งแล้วมันลำบากลำบนเพียงนั้นก็มาเป็นเมียข้าไม่ดีกว่าหรือ’ ผีพญาห่าก้อมเย้าแหย่ ‘ขอบใจจ๊ะ แต่ฉันอยากเป็นเมียเสือมากกว่าเมียผี’ กระดังงาตอบทีเล่นทีจริง และไม่นานนักนางก็นำพาร่างอ่อนระโหยโรยแรงของตนมานอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นไทรช่างเป็นสถานที่โจ่งแจ้งเหมาะแก่การถูกค้นพบโดยแท้ นางนำเลือดไก่มาป้ายบริเวณมุมปากเสมือนว่าตนเองนั้นกระอักเลือดออกมา ก่อนจะนำเลือดสดอาบราดร่างระหงแล้วให้เขาเป็นผู้จัดการเศษซากไก่ พร้อมอ้อนวอนขอร้องให้เขากลบกลิ่นเลือดไก่เอาไว้เพราะสามีของนางนั้นประสาทสัมผัสดีเยี่ยม ส่วนเขาก็ดันบ้าดีเดือดยอมยื่นมือช่วยนางจัดแจงฉากละครดั่งกามเทพเตรียมแผงศรปักสู่กลางอกพญาขาล นานเท่าใดแล้วหนอที่ไม่ได้พบเจอความครื้นเครงเช่นนี้ นับว่าเป็นสหายกับนางย่อมไม่ขาดทุน เพราะเขามักจะได้เห็นลูกไม้เล่ห์เหลี่ยมที่นางงัดมาใช้กับสามีของนางไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแน่นอน พญาขาลโอบอุ้มประคองร่างระหงของนางนำพากลับมายังเรือนล่วงหน้า เขาค่อยๆ วางร่างอ่อนแรงไร้พิษสงของนางลงบนฟูก หัวคิ้วขมวดมุ่นสำรวจมองผิวเนื้อเนียนขาวเป็นยองใยใต้ร่มผ้า ก่อนจะชักสายตากลับใช้เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายไปตามบุหงามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าผ่อนผืนใหม่ให้นาง เขาเป็นบุรุษอีกทั้งนางก็เป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน อย่างไรก็ไม่เหมาะสมที่เขาจะจัดแจงเปลื้องผ้าอาภรณ์ของนาง แม้ว่านางจะเอ่ยปากว่าอยากปีนขึ้นเตียงทำหน้าที่เมียก็เถิด ขืนเขาลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นางเกรงว่าพอนางฟื้นคืนสติก็จะนำข้ออ้างเหล่านี้มาใช้เป็นข้อได้เปรียบกล่าวหาว่าเขาล่วงเกินนางยามไร้สติแล้วให้เขาบากหน้ารับผิดชอบ “อะไรของพวกเอ็ง!?” เสียงเล็กหวานหูของบุหงาเอ็ดเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่บุกขึ้นเรือนนอน งับชายผ้าถุงปลุกนางที่กำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของสามีกลางดึก ก่อนจะถูกเสือโคร่งสองตัวฉุดกระชากลากให้เดินตามมายังเรือนของอ้ายขาล และชายหนุ่มวัยกลางคนด้านหลังนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอยศูรย์เดินกอดอกหน้าบึ้งตึงตามเมียรักมาไม่ห่าง “กระไรมาปลุกเมียข้าเสียดึกดื่น หากข้าเล่นจ้ำจี้กันอยู่ เจ้าพิรุณ เจ้ากำจายคงไม่แคล้วโดนข้าหวดร้องเสียงเอ๊งเหมือนหมากลับมาหรอกหรือ” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่ได้ยินว่าไอยศูรย์เปรียบพวกตนเป็นสุนัขก็เชิ่ดใบหน้าไปคนละทิศคนละทางแง่งอน “บุหงาเอ็งมาเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนให้นางที” พญาขาลที่ปกติจะต่อล้อต่อเถียงและจบด้วยการลงไม้ลงมือ ครานี้กลับเยือกเย็นผิดปกติ เขาหาได้สนใจอารมณ์บูดบึ้งของสหายไม่ “ว้าย! ตายแล้ว! พี่ขาลตบตีนางหรอ ทำไมเนื้อตัวใบหน้ามีแต่รอยเลือดเต็มไปหมด” บุหงาตื่นเต็มตาทันที รีบปราดเข้ามาสำรวจบาดแผลทั่วเรือนร่างระหงเยาว์วัยของกระดังงา นางเอ่ยถามชายหนุ่มวัยกลางคนที่ดุจดั่งพี่ชายเสียงขุ่น น้ำเสียงตื่นตระหนกของบุหงาดึงดูดความสนใจของไอยศูรย์ให้เดินตรงมายังฟูกนอนหน้าชานเรือนของแม่นางน้อยร้อยเล่ห์ ดวงตาคมกริบไล่มองบาดแผลทั่วเรือนร่างน่าเวทนาของนาง ก่อนจะไปสะดุดตากับคราบโลหิตสีเข้มที่ดูเหมือนจะไม่ใช่โลหิตของนาง ไม่มีผู้ใดทันสังเกตแน่นอนหากไม่ใช่เพราะเขาตาดี ก็คงเป็นเพราะเขายังครองสติได้ดีต่างจากพญาขาลที่แม้จะตีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจร้อนรุ่มจนไม่ทันสังเกต ชั่วครู่รอยยิ้มร้ายก็กระตุกมุมปากอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาแสร้งเข็นเรือตามน้ำแสดงความเอ็นดูและสงสารแม่นางน้อยร้อยเล่ห์ผู้นี้ “อืม เจ็บหนัก เจ็บหนัก” ไอยศูรย์พูดโพล่ง “อาการน่าจะเป็นตายเท่ากัน ร่องรอยบาดแผลก็น่ากลัวไม่เพียงเท่านั้นเลือดก็อาบท่วมตัวไปหมด คงไม่ได้ไปฟัดกับผู้ใดมาหรอกกระมัง” ไอยศูรย์พึมพำ แสร้งทำสีหน้าจริงจังตึงเครียด นับว่าแม่นางน้อยผู้นี้ร้อยเล่ห์หมากกลจริงๆ ช่างน่านับถือ... ปั่นหัวพญาขาลเสียจนบื้อใบ้โง่งมได้นับว่าไม่ธรรมดาและไม่เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ช่วยหนุนหลัง “ข้าสันดานเยี่ยงนั้นหรือบุหงา” พญาขาลเอ่ยเสียงเย็น หรี่หางตามองน้องสาวอย่างนึกน่าน้อยใจ “แน่นอนว่าไม่ แต่ฉันกลัวพี่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ พี่อารมณ์ไม่คงที่คงวาเหมือนชาวบ้านเสียหน่อยมาเจอแม่หญิงดื้อรั้นเช่นนี้ ฉันก็คงว่าพี่จะขาดสติ” “นางแบกความมั่นใจที่ใดไม่รู้ บากหน้าไปกำราบอ้ายห่าก้อมที่หมู่บ้านป่าสักกับหลานรักของข้าลูกรักของเอ็งอย่างไรเล่า” พญาขาลกอดอกเอ่ยตอบ “ห๊าาา! เจ้าตรีศูลล่ะอยู่ไหน หน็อยแน่! เจ้าลูกตัวดีปีกกล้าขาแข็งออกไปปราบผีอย่างนั้นหรอ” ผู้เป็นแม่เลือดขึ้นหน้า แผนการพิเรนทร์นี้จะเป็นของใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ของบุตรชายตัวดีของนาง นิสัยของลูกมีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่รู้ กลับมาจะเฆี่ยนสั่งสอนบุตรชายตัวดีให้หลังลายเลยเชียว! เอี๊ยด!!! พูดถึงตัวการตัวการวางแผนก็มาถึง สามล้อพ่วงข้างบิดเร่งความเร็วเต็มพิกัด ขับโฉบซ้ายเบี่ยงขวาจากหมู่บ้านป่าสักมาถึงหมู่บ้านคุ้มงามในระยะเวลาเร็วกว่าขาไปเสียอีก เสียงเบรกดังเอี๊ยดพร้อมร่างสูงโปร่งรีบกระโจนลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์คันสีแดง วิ่งพรวดพราดหน้าตั้งมาดูอาการเพื่อนรักที่เผลอนอนหลับเอาเป็นเอาตายด้วยความเหนื่อยล้าตั้งแต่ยามใดไม่อาจทราบได้ กระทั่งเสียงคุยจ้อแจ้ก็ไม่อาจปลุกเธอให้ฟื้นตื่นขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะเธอวิ่งกระแทกรุนแรงหลายครั้งหลายคราจนปวดระบม พอได้ท่อนแขนแกร่งโอบประคองทำให้รู้สึกเบาหวิวและสบายตัวจึงซุกใบหน้าเข้าอกแกร่ง เก็บเกี่ยวไออุ่นจากเรือนกายกำยำของพญาขาลตลอดทาง หรือจงใจฉกฉวยแตะเนื้อต้องตัวพญาขาลนั้นเอง “กระดังงาเป็นไงบ้างแม่” ตรีศูลเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นห่วงปนรู้สึกผิดที่เป็นตัวการพาเพื่อนไปเจ็บตัวฟรีๆ “เดี๋ยวค่อยคุย พี่ขาลยกห้องปีกซ้ายให้นางเถิด ให้นางนอนหลับสบายสักคืนคงไม่เป็นไรกระมัง ฉันกลัวว่าพอเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนถ้าต้องลมหนาวเดี๋ยวจะป่วยไข้หนักกว่าเก่า” บุหงาเสนอแนะ “......” พญาขาลพยักหน้าว่าง่ายหนหนึ่งตอบรับ หญิงสาวร่างระหงจึงถูกช้อนประคองอุ้มเข้ามาวางไว้ภายในห้องนอนโล่งโปร่งสบาย บุหงาจัดแจงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หญิงสาวรุ่นราวคราวลูกพร้อมเปลี่ยนผ้าผ่อนให้ ก่อนจะคว้ากะละมังพลาสติกบรรจุน้ำสีใสที่ถูกย้อมด้วยหยาดโลหิตแห้งกรังบนเนื้อตัวกระดังออกไป “น้ำที่สามแล้วเลือดยังเต็มกะละมังคงเจ็บหนักน่าดู ตัวแค่นี้จะเอาอะไรไปสู้กับเค้า” บุหงาบ่นพึมพำ “ออกไปกันก่อน ปล่อยให้กระดังงานอนหลับพักผ่อนสักตื่น” บุหงาไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากห้องนอน ดวงตากลมโตตวัดมองบุตรชายตัวดีกวาดสายตามองบนจรดล่างสำรวจร่องรอยบาดแผล เสียงผ่อนลมหายดังยาวบ่งบอกถึงความโล่งอก ก่อนใบหูหนาของตรีศูลจะถูกมารดาบิดอย่างแรงพร้อมออกแรงฉุดกระชากลากเจ้าลูกชายตัวดีไปสั่งสอนเป็นการใหญ่ “ถ้ารู้ว่าโตมาจะปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้ จับหักแข้งหักขาตั้งแต่ยังแบเบาะเห็นจะดี” น้ำเสียงเค้นลอดไรฟันของบุหงาเอ่ยบอกลูกชาย “อะ...โอ้ยยย พ่อจ๋า ช่วยข้าด้วย!?” ใบหน้าหล่อเหลาของตรีศูลบิดเบี้ยวตามแรงบิด “อย่าได้ออมแรงเลยนะจ๊ะเมียรัก ดั่งคำสุภาษิตที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี หวดมันแรงๆ ให้รู้ความจนเนื้อแตกยิ่งดีเลยจ๊ะ” ไอยศูรย์รีบเดินตามเมียรัก เติมน้ำมันในเชื้อเพลิงโทสะเมียให้ลุกโชนโชติช่วงโหมรุนแรงยิ่งกว่าเดิม อ้ายเด็กคนนี้นานทีจะโดนผู้เป็นมารดาสอนสั่ง ต้องจัดให้หนัก! “แม่จ๋าอย่าไปฟังพ่อนะจ๊ะ ข้ารักแม่จ๋ายิ่งชีพ ต่อไปจะสงบเสงียมเจียมตัวแล้วจ๊ะ” “หึ...” น้ำเสียงแค่นหัวเราะในลำคอของมารดา ทำเอาตรีศูลเสียวสันหลังวาบอย่างรู้ชะตากรรมว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ไม่ได้แน่ “อะ...โอ๊ยย! แม่จ๋าาา” เสียงโอดครวญของตรีศูลดังแว่วมากับสายลมทั่วหมู่บ้านคุ้มงาม คงไม่มีบ้านเรือนใดไม่ได้ยินเสียงไม้เรียวฟาดลงบนสะโพกของลูกชายสุดที่รักจอมแก่นเซี้ยว พร้อมเสียงแผดลั่นของตรีศูลที่กำลังยืนเหยียดหลังตรงกอดอกรับโทษทัณฑ์ ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดปนความอับอายท่ามกลางสายตาเหนื่อยหน่ายของสิบทิศและศิลา ภายในเรือนนอนโปร่งโล่งสบายได้เปิดหน้าต่างบานประตูจนมีสายลมแผ่วเบาโกรกทั่วห้อง ร่างระหงกระชับผ้าห่มทำปากขมุบขมิบเหมือนจิ้กจอกน้อย นอนคดตัวตะแคงข้างอย่างสบายใจ ไม่ใกล้ไม่ไกลมีเตียนคำลูบศรีษระกระดังงาอ่อนโยนเสมือนพี่สาวดูแลน้องสาว ปกป้องไม่ห่าง สีหน้าและแววตาของเตียนคำฉายแววเจ็บปวดยิ่งนัก ยามทอดมองเห็นบาดแผลตามเนื้อตัวนางน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นชาวบ้านชุมโจรหมานคำที่ไร้เยื่อใย “พี่เตียนคำไม่ได้เรื่องเองถึงทำให้นางน้อยเจ็บตัวขนาดนี้ ถ้าพี่เตียนคำแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับเจ้าห่าก้อมตนนั้น นางน้อยก็คงไม่ต้องเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ดูเอาเถิดใบหน้าพริ้มเพราบวมเป่ง เขียวม่วงคล้ำน่าหวาดกลัวปานใด เฮ้อ...” เสียงเล็กแหลมพึมพำคล้ายกำลังบ่นระบายความทุกข์ใจของตนเอง “วันพรุ่งคงเจ็บระบมน่าดู” “ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจนัก คนในชุมโจรหมานคำก็ช่างใจจืดใจดำส่งนางน้อยของข้ามาหาคนใจร้าย เพียงเพื่ออยากจะถอนคำสาปถึงกับไม่ห่วงความปลอดภัยว่านางน้อยจะเป็นตายร้ายดี เลี้ยงดูปูเสื่อนางเพื่อใช้งาน เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น!!” “ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาเหยียบหมู่บ้านแห่งนี้มีวันใดที่นางน้อยของข้าได้กินอิ่มนอนหลับสบายเหมือนแม่นางรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีวันใดเลยที่นางน้อยไม่เจ็บตัว ส่งนางมาไกลเพียงนี้มีเพียงเสื้อผ้าเก่ามอซอปะซุนแล้วปะซุนอีก น่าน้อยใจแทนนางจริงๆ” เตียนคำระบายความทุกข์ระทมของนางน้อยออกมาจนสิ้น วาจาพร่ำพรรณนาเหล่านั้นแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบก็จริง แต่สำหรับสมิงร้ายที่มีโสตประสาทว่องไวอย่างพญาขาล ที่ลอบยืนเหลือบมองเข้ามาย่อมได้ยินแจ่มชัดทุกประการ “นางงดงามเพียงนี้ไฉนต้องยกนางมาเป็นเมียตาเฒ่าสมิงเจ้าอารมณ์จอมเกรี้ยวกราดอายุหลายร้อยปีด้วย!!!” รวมถึงประโยคหลังที่นางผีกะตนนี้ค่อนขอดตนเอง เจ้าของชื่อเสียงเรียงนามถึงกับสะดุ้ง ยามผีกะผีเลี้ยงของหญิงสาวขนานนามว่าตนเองนั้นเป็นสมิงเฒ่าเจ้าอารมณ์ จึงโกรธเกรี้ยวหน้าดำหน้าแดงส่งเสียงกระแอมไอให้นางรู้ตัวว่าเขาได้ยินทั้งหมด “อะ...แฮ่ม” “ว้าย! อ้ายขาล” เตียนคำสะดุ้งเฮือกเหลือบมองชายหนุ่มวัยกลางคนหนวดเครารุงรัง สวมกางเกงผ้าฝ้ายเพียงตัวเดียวยืนมองเข้ามาด้วยสายตาแข็งกร้าว แวบเดียวเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เตียนคำหวาดผวาเหมือนเห็นผีพญาห่าก้อมตัวที่สอง ผลุบ! เตียนคำรีบหลุบหายเข้าไปหลบซ่อนในอบเงินตามเดิม ริมฝีปากหนาร่ายมนตราสะกดกักขังผีเลี้ยงของหญิงสาวให้อยู่ในอบเงินโดยมีม่านมนตราปิดสะกัดทุกการมองเห็นและการได้ยิน ใบหน้าคมคร้ามเจือพิษสงกระตุกยิ้มเย็นยะเยือกเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ หลงเหลือเพียงความมืดมิดกักขังผีเลี้ยงปากมากตลอดทั้งคืน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD