ตอนที่ 2 : เภทภัยแห่งหายนะ

2936 Words
2 หัวคิ้วสีเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันบ่งบอกถึงความคับแค้นใจที่ตนตกเป็นเบี้ยล่างผู้อื่นเป็นคราแรก เสือสมิงร้ายอ้ายตนนี้มันมากฤทธิ์มากเดช ราวกับว่ามันหาได้กลัวคมมีด คมหอก และลูกดอกธนู ครั้นมนตราคาถาอาคมก็ใช้กับอ้ายตนนี้ไม่ได้ รอยยิ้มเยาะเย้ยหยันผุดพรายบนริมฝีปากสีเข้มเนื้อหนา แววตาเกลียดชังทอดมองอ้ายคำปู้อย่างไม่ให้ราคา สมุนชุมโจรที่เคยอวดอ้างว่าตนนั้นแข็งแกร่ง บัดนี้นอนกองดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เลือดสีสดไอกระอักออกมาเป็นทางยาว ไม่เว้นแม้แต่อ้ายคำก้อน น้องชายคนเล็กที่สุดจะข่มความเจ็บปวด “พญาขาล...” อ้ายคำปู้กัดฟันกรอด ส่งเสียงเอ่ยนามนั้นเสียงลอดไรฟัน “กระไร ทุกชีวิตมีราคาที่ต้องจ่าย เอาไปกี่ชีวิตก็ต้องจ่ายตามนั้น ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายปานนั้นและกำไรที่พวกเอ็งต้องตอบแทนมันยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีกหนา เสวยสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นหาใช่คนดีกระไร” เสียงเย็นยะเยือกเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ แววตาสีชาดทอแสงวาบ ร่างมหึมาลายพาดกลอนเดินวนไปเวียนมาเลือกผู้โชคร้ายมาหนึ่งคน ก่อนอุ้งเท้ามหึมาจะจงใจลงน้ำหนักไปที่หน้าอกแกร่ง เสียงกรอบแกรบของกระดูกซี่โครงหักในคราเดียว ทะลุทิ่มปอดและหัวใจ ใบหน้ากรามแน่นบิดเบี้ยวเขียวดำ ส่งผลให้เจ็บจนขาดใจตายในที่สุด “กรี๊ดดดด! อ้ายภูผา พญาขาลข้าเกลียดเอ็ง! ไม่มีใครมีปัญญาจัดการเสือสมิงตนนี้เลยหรือ!” ภรรยาของชายผู้เคราะห์ร้ายเห็นสามีของตนขาดใจตายลงต่อหน้าจึงตวาดด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ อยากจะเข้าไปลากเอาร่างสามีกลับคืน ทว่าถูกสายตาห้ามปรามของอ้ายคำปู้รั้งเอาไว้ก่อน “เกลียดหรือ...” พญาขาลยกยิ้มเย็นทวนคำ “ข้าก็ชิงชังหมู่บ้านอัปปรีย์แห่งนี้เช่นกัน ชิงชังสายเลือดชั่วที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายพวกเอ็ง กากเดนมนุษย์!” สมิงร่างยักษ์กระตุกยิ้มมุมปาก หากให้เอื้อนเอ่ยถึงความเกลียดชัง เขาย่อมมีมากกว่าผู้คนเหล่านี้ เสียงเพรียกแห่งความโศกเศร้าของเหล่าพยัคฆ์ในพงไพร อันเกิดจากความสูญเสียแลพลัดพรากนำทางเขามา ณ สถานที่แห่งนี้ เลือดทุกหยด โลหิตทุกหยาด ที่หลั่งลงผืนพสุธาเขาจดจำมันขึ้นใจ และสัญญาไว้ว่าจะช่วยชำระแค้นให้ครอบครัวผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น พอเวลานี้แล้วเดนมนุษย์เหล่านี้กลับทำตัวเหมือนตนเองเป็นผู้โดนกระทำฝ่ายเดียว ช่างปลิ้นปล่อนและจอมปลอมนัก! “ไม่อยากได้หนังเสือสมิงกันแล้วหรือ เห็นว่าได้ราคาดีหนา ดีถึงขนาดที่ทำให้พวกเอ็งไม่ต้องไปเสี่ยงภยันอันตรายเกือบปีเชียว เข้ามาเอาแล” พญาขาลยั่วยุยียวน จมูกหนาขยับย่นขึ้นลงได้กลิ่นสางของเสือน้อยสองตนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถูกขังในกรงใต้ชานเรือนบ่าเก่า “......” อ้ายคำปู้ถูกสบประหม่า พลอยหน้าดำคร่ำเครียดมองดูสหายร่วมเป็นร่วมตายของตน ที่เอาแต่โอดครวญด้วยความเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ วิชาอาคมของอ้ายสมิงตนนี้เหนือกว่าเขาหลายขุมนัก และอาจจะเหนือกว่าอาจารย์ผู้เป็นบรรพบุรุษของเขาเสียด้วยซ้ำ “อ้ายคำปู้อย่าหลงเชื่อคำยั่วยุโดยเด็ดขาด ข้าและลูกยังต้องการอ้ายอยู่หนา!” เก็ตถะหวาเดินอุ้ยอ้ายกุมท้องโตของตนออกมาจากที่หลบหลีกด้วยความร้อนใจระคนเป็นห่วงสามี มืออีกข้างวางให้กำลังใจสามีบนบ่าแกร่ง “เอ็งออกมาทำไมเก็ตถะหวา ข้าบอกให้เอ็งอยู่ดูแลแม่เฒ่าไม่ใช่หรือ” อ้ายคำปู้เอ่ยกดเสียงต่ำ “มีพี่สะใภ้คอยดูอยู่ แต่ข้าเป็นห่วงอ้าย” หญิงสาวเอ่ยเสียงหนักแน่น เธอเหลือบมองเสือสมิงร่างมหึมาลายพาดกลอน นัยเนตรสีแดงฉานดุจสีเลือดนก ท่าทางองอาจ เกรี้ยวกราด และดุร้ายนั้น ทำให้เธออดหวั่นวิตกถึงความปลอดภัยของสามีไม่ได้ ท่าทางของเขาเหมือนคนมาทวงหนี้เลือด! พญาขาลมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าประสาทสัมผัสไวจึงได้กลิ่นของเด็กทารกเพศหญิงในครรภ์ เขาชักสีหน้าชิงชังสายเลือดของเดนมนุษย์หมู่บ้านนี้จึงแค่นหัวเราะเย้ยหยันในลำคอหนหนึ่ง เขาไม่มีเวลามัวโอ้เอ้รอดูปฏิกิริยาตอบสนองอันขลาดเขลาของผู้นำชุมโจรหมานคำดอกหนา ถึงเวลาชำระแค้นและทวงคืนชีวิตที่เดนมนุษย์เหล่านี้ริบมาเป็นของตน “ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเอ็งแล้วหนาอ้ายคำปู้” “พวกเอ็งกระทำสิ่งใดย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี ครั้นจะอวดอ้างว่าเพื่อปากท้องก็ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าใด เพื่อปากท้องจำต้องคร่าชีวิตเจ้าป่าเหล่านั้นจนเตียนเลยหรือ พวกเอ็งรู้หรือไม่ว่ารอบล่าสุดคือครอบครัวเสือชุดสุดท้ายของผืนป่า” ประโยคนั้นทำให้เก็ตถะหวาเบิกตากว้าง ครอบครัวสุดท้ายของป่า... สามีและพี่น้องในหมู่บ้านต้องเข่นฆ่าพรากพ่อ แม่ ลูก เยอะเพียงใดหนา จึงทำให้เสือร้ายเหล่านั้นเตียนป่า เธอผู้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการริดรอนชีวิตสรรพสัตว์ ทั้งนำลูกน้อยของพวกเขาขายต่อให้พวกเ**กนำไปปรุงเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพ เธอแย้งสามีมาโดยตลอด ทว่าเสียงเดียวหรือจะสู้หลายเสียง พอได้รู้ถึงความผิดบาปมหันต์ของชุมโจรหมานคำ นางก็ล่วงรู้ถึงสาเหตุการมาของพญาขาลตนนี้อนาคตของพวกนางช่างมืดมนนัก เขามาทวงคืนความยุติธรรมให้เผ่าพันธุ์! “หึ...ถึงจะรู้แล้วอย่างไร ชีวิตสุขสบายมันบดบังสำนึกผิดชอบชั่วดีของเดนมนุษย์เยี่ยงพวกเอ็งกันหมดแล้วล่ะหนา” “พวกเอ็งริดรอนไปกี่ชีวิตย่อมต้องจ่ายคืนตามนั้น” “!!?!!” สิ้นสุดเสียงเข้มคำรามเสียงโอดครวญของชาวบ้านชุมโจรหมานคำพลันเงียบสงบ ทดแทนที่ด้วยเสียงกระดูกหักกรอบแกรบสิ้นใจร้อยกว่าคนในพริบตาเดียว ผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นชายฉกรรจ์ที่อยู่ในขบวนคาราวานออกล่าสัตว์ หนึ่งในนั้นคือคำก้อน น้องชายคนเล็กของคำปู้ “คำก้อน!!!” อ้ายคำปู้ขอบตาแดงก่ำ รีบวิ่งลงบันไดเรือนเข้าไปประคองน้องชายคนเล็กที่นอนตายตาไม่หลับ ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นตวัดมองพญาขาลอย่างอาฆาต “รสชาติของการสูญเสียหวานหอมดีหรือไม่!” “อาฆาตกูหรือดี...เพราะกูอาฆาตพวกมึงทุกตน การมาของกูหมายถึงความวิบัติ หายนะ อัปมงคล และชิบหายของชุมโจรหมานคำของมึง อย่าได้คิดว่าการสูญเสียเพียงเท่านี้จะควรค่าแก่การให้อภัยเพราะกูยังไม่หนำใจ” “!!?!!” “มึงจะทำกระไรอีก มึงจะทำกระไรพวกกูอีก เท่านี้ยังไม่สาแก่ใจมึงใช่หรือไม่!” อ้ายคำปู้ตวาดลั่นสุดจะอดกลั้น ดวงตาแดงก่ำสะกดกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาหลั่งรินความเศร้าโศกเสียใจถึงการสูญเสียผู้คนที่เขารักยิ่งเยี่ยงคนในครอบครัว ความผิดบาปนี้เขาขอรับไว้เพียงคนเดียวได้หรือไม่เล่า “ความผิดบาปนี้กูจะรับไว้คนเดียว!” “โดนแค่นี้ก็ตั้งรับไม่ไหวแล้วหรือ...” ศรีษระหนาชะโงกเข้ามาใกล้ร่างสั่นเทิ้มของอ้ายคำปู้ เสียงเย้ยหยันนั้นพลอยทำให้เขาเสียวสันหลังวาบจนตัวแข็งทื่อ พญาขาลย่างก้าวกวาดสายตามองชาวบ้านชุมโจรหมานคำด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ปราดหนึ่ง เขาลอบถอนหายใจพรืดใหญ่ คนพวกนี้ไม่ต่างกระไรจากเศษเถ้าธุลีในสายตาเขา พลางเหยียดกายบิดขี้เกียจหนหนึ่ง ริมฝีปากหนาลั่นประโยควาจาราวกับฆ้องระฆังดังกังวาล ให้ชาวบ้านชุมโจรที่หลบหลีกซ่อนเร้นได้ยินกันทุกผู้ “ด้วยอำนาจแลบารมีที่ตัวข้าใช้ปกปักษ์สรรพชีวิตมาหลายร้อยปี กูขอปัดเป่าอาเพศให้แก่สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ ณ ขุนเขาเวียงละกอน กูขอสาปแช่งชุมโจรหมานคำให้พบเจอแต่ความวิบัติ ไร้ความสงบสุขร่มเย็นตลอดกาล หากเป็นชายก็ขอให้ร่างกายพิกลพิการ หากเป็นหญิงก็ขอให้อดอยากแร้นแค้น แลผู้ใดริอ่านข้ามเขตขึ้นขุนเขาเวียงละกอนแม้เพียงก้าว ขอให้มันผู้นั้นกลายเป็นผีป่าผีเขาเฝ้าพงไพรเทอญ...” คำสาปแช่งของพญาขาลดังก้องทั่วชุมโจรหมานคำดั่งคำประกาศิต คละเคล้าสุรเสียงอัสนีบาตฟาดฟันลงมาหลายสายจนก่อเกิดกลุ่มควันเขม่า ท่ามกลางหยาดพิรุณสีชาดอันโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ผู้คนถูกแช่ด้วยคำสาปจนแข็งทื่อไม่สามารถขยับเขยื้อน ชายฉกรรจ์ผู้เหลือรอดล้มทั้งยืน ร่างกายที่เคยแข็งแรงเปี่ยมด้วยพละกำลังวังชา พลันมลายสลายลงพร้อมกับคำสาปแช่งอันเกรี้ยวกราด ในช่วงเวลาที่ผู้คนในชุมโจรละล่ำละลั่กลังเล ไม่แน่ใจว่าคำสาปแช่งนั้นจะเป็นจริงดั่งอ้ายเสือตนนี้เอ่ยหรือไม่นั้น “โอ๊ย!” อ้ายคำปู้ร้องเสียงหลงนอนหงายท้องตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก ฝ่ามือทั้งสองข้างหงิกเกร็ง สีหน้าตึงเครียดเมื่อครู่ขึงขังเสียจนเก็ตถะหวาใจคอไม่ดี รีบปราดลงมาดูอาการ สติอันเลื่อนลอยของสามีเป็นเรื่องตอกย้ำว่าเสือสมิงตนนี้ไม่ใช่เพียงข่มขู่ แต่เขาทำจริง... “หวังว่าวันหน้าข้าคงจะไม่ได้เจอสายเลือดชั่วของพวกเอ็งอีกคราให้ขุ่นใจใจใจข้องหมองใจ จงก้มหน้าชดใช้กรรมของพวกเอ็งอย่างเพลิดเพลินเถิด” สิ้นเสียงร่างมหึมาลายพาดกลอนจึงผละออกไปหาเป้าหมายใหม่ จมูกหนายกย่นขึ้นลงตามกลิ่นเสือน้อยสองตนที่ถูกกักขังใต้ชานเรือน พญาขาลช่วยเหลือเสือโคร่งตัวน้อยเพศผู้และเพศเมียอย่างละตัวเอาไว้ ครั้นจะปล่อยกลับคืนสู่ป่าก็เกรงว่ายังเล็กเกินจะป้องกันภยันอันตรายของตนเองได้ จึงนำกลับหมู่บ้านคุ้มงามไปฟูมฟักดูแลให้เติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย ถึงเวลานั้นหากพวกมันอยากจะเป็นอิสระก็จะปล่อยไปตามทางที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก คำสาปแช่งของเสือสมิงผู้ร้ายกาจที่โกรธเกลียดสายเลือดชุมโจรหมานคำเข้ากระดูกดำ เริ่มผลิดอกออกผล เมื่อลูกเด็กเล็กแดงรวมไปถึงชายฉกรรจ์และชายชรา ทุกคนที่เป็นบุรุษเพศทยอยเจ็บป่วยกันไม่ทราบสาเหตุ ไม่เจ็บตายก็เจ็บป่วยหนักจนร่างกายพิกลพิการ เงินทองที่เคยหามาได้ในยามอดีตก็ร่อยหรอกันไปทุกที นับตั้งแต่จัดงานศพให้ผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องจบชีวิตลงในเงื้อมมือพญาขาลอย่างอนาถ ที่เหลือก็คอยแบ่งจุนเจือครัวเรือนในชุมโจรหมานคำหลังละเท่าๆ กัน เพื่อช่วยรักษาคนที่เจ็บป่วยและปากท้องของชาวบ้าน ผลผลิตในฤดูกาลก่อนเสียหายย่อยยับจากฝนเลือดทำให้ชาวบ้านต้องระหกระเหินไปซื้อข้าวสารกรอกหม้อถึงต่างหมู่บ้านระยะทางหลายร้อยกิโล เป็นเช่นนี้ก็เพราะภายในหมู่บ้านไม่เหลือบุรุษอกสามศอกไว้ใช้งานเลยสักคน ทุกคนกลายเป็นภาระป่วยออดๆ แอดๆ หญิงสาวที่ปกติจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือน ต้องช่วยกันออกมาทำไร่ทำนา พยายามทำงานใช้แรงงาน หน้าดินที่เคยชโลมด้วยฝนเลือดก็กลายเป็นพื้นที่ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ไม่ขึ้นอีกเลย จึงพากันขึ้นเขาหาของป่ามาจุนเจือครอบครัว ทว่าพวกนางกลับลืมสิ้นว่าแม้นขึ้นเขาเพื่อไปหาเก็บของป่าประทังชีวิต พวกนางก็ไม่สามารถ! “เกตถะหวา!” เสียงแหลมของพี่สะใภ้ม่ายสามีส่งเสียงร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังหุงหาอาหารในครัวฟืน “จ๊ะพี่ฟองนวล” หญิงสาวขานรับ “ได้ยินข่าวหรือยัง” “ก็ข่าวนังจันติ๊บนะสิ พวกชาวบ้านเค้าเล่ากันมาว่าบ้านนังจันติ๊บมันทนหิวไม่ไหวก็เลยขึ้นเขาไปเก็บของป่ากลับมากิน แต่นี่ก็ปาไปสามวันเเล้ว บ้านนั้นยังไม่ลงจากเขามากันเลย!” “คงไม่ได้กลับมาแล้วล่ะพี่ จะเนื้อ จะไข่ไก่ ข้าวสารหรือว่าผักพวกเราก็ไปซื้อมาแจกจ่ายให้บ้านละเท่าๆ กัน มันหิวเราก็หิวเหมือนกัน แต่เราจะอดได้เลย” เกตถะหวาเงยหน้าจากกระทะก้นดำที่วางอยู่บนเตาถ่านไฟลุกโชน เธอกำลังทอดไข่ให้สามีที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ร่างกายพิกลพิการ ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อีก “คำสาปแช่งนั้นมันเป็นจริงใช่มั้ยเกตถะหวา” “พี่ก็ดูเอาเถิด พืชสวนไร่นาหว่านเมล็ดเท่าไหร่ก็ยืนต้นตาย ผู้ชายในหมู่บ้านก็พากันเจ็บป่วยนอนเป็นผัก เราที่เป็นเมียก็พากันดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ สมิงตนนั้นสาปแช่งว่าหากผู้ใดข้ามเขตขึ้นเขาเวียงละกอนก็จะให้ตายตกเป็นผีป่า ป่านนี้คงไม่แคล้วโดนผีป่าแดกห่าไปแล้วหรือ” “อันนู้นก็ไม่ได้อันนี้ก็ไม่ได้ แบบนี้เราจะไม่อดตายกันก่อนหรอเกตถะหวา เงินทองที่พวกผู้ชายเคยหามาได้ก็ร่อยหรอลงทุกที เราต้องกินต้องใช้ทุกวัน” พี่สะใภ้ม่ายเอ่ยเสียงสลด “เรามีมือมีเท้าเราไม่อดหรอกพี่ อย่าชินกับความสุขสบายที่เราเคยเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นสิ ข้าไปป้อนข้าวอ้ายคำปู้ก่อนนะจ๊ะ” “อืม...เดี๋ยวพี่ก็จะไปดูแม่เฒ่าเหมือนกัน” เฮือนบ่าเก่าลานกลางบ้านปูด้วยฟูกนอนสองผืนติดกัน บานประตูหน้าต่างเปิดรับลมให้อากาศถ่ายเท ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ มีชายสติเลอะเลือนนอนกระพริบตาอย่างเหม่อลอย ด้านข้างมีสาวน้อยวัยสองเดือนเศษ นอนหลับตาพริ้มไร้อาการงอแง นางคือ...กระดังงา บุตรสาวที่นางคลอดออกมาอย่างยากลำบากในคืนเดือนดับ ท่ามกลางเรื่องราววุ่นวายในชุมโจรหมานคำ สามีก็สิ้นสติไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถให้กำลังใจนางได้ มีเพียงแม่เฒ่าและพี่สะใภ้คอยอยู่ข้างกายในค่ำคืนสุดแสนเจ็บปวด ใครเล่าเลยจะรู้ว่าคลอดบุตรหนึ่งคนเสมือนยื่นขาหนึ่งข้างเข้าสู่ประตูโลกหลังความตาย กระทั่งเด็กหญิงตัวอ้วนอวบอั๋น ผิวพรรณแลหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักลืมตาดูโลก แม่เฒ่าคำนวณตรวจดวงชะตาของนางก็พลันเบิกตากว้าง พึมพำงึมงำอยู่กระไรคนเดียวหลายวัน ใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าพลันเก๋งคำเขียวคล้ำพลันขาวซีด จนเกตถะหวาที่นอนพักฟื้นถึงกับงุนงงกับอาการท่าทีของแม่เฒ่า แม่เฒ่าเก๋งคำผู้สูญเสียบุตรชายทั้งสองอย่างไม่มีวันหวนกลับ นางขังตัวเองอยู่ในห้องเกือบเดือน พลันได้สติว่ายังหลงเหลือบุตรชายของนางอีกคน นางทำนายดวงชะตาของทุกคนภายในบ้านและทำนายดวงชะตาหมู่บ้านจึงได้รู้ว่านี่คือเคราะห์กรรมที่พวกนางสร้างเองกับมือ พวกนางไม่มีสิทธิ์โกรธเกลียดเสือสมิงตนนั้น หากอยากจะยืนหยัดผงาดขึ้นมาอีกครา จำต้องใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้สมิงตนนั้นยกโทษและถอนคำสาปแช่ง “เด็กคนนี้จะเป็นวาสนาของเรา นางจะช่วยอุ้มชูให้ชุมโจรหมานคำรอดพ้นจากบ่วงกรรมที่เคยกระทำเอาไว้” แม่เฒ่าเก๋งคำชะโงกดูหลานสาวในห่อผ้า แววตาของนางล้ำลึกยากคาดเดาความคิด “นางน่ะหรอจ๊ะแม่” เกตถะหวามีสีหน้าหนักใจ ลูกของนางยังเล็กนัก เล็กเกินกว่าจะแบกความหวังของคนทั้งหมู่บ้านเช่นนี้ อีกอย่างความผิดบาปทั้งหมดก็หาใช่เรื่องราวที่นางจะต้องแบกรับไว้ นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง “อืม...ให้นางชื่อกระดังงาก็แล้วกัน” แม่เฒ่าจะสอนสั่งให้นางเปรียบเสมือนกระดังงานลนไฟ ที่มีทั้งเสน่ห์ ความเย้ายวนนุ่มลึก นิสัยที่ชายใดเห็นเป็นต้องสยบแนบเท้านาง ดั่งดวงชะตาวาสนาข่มขาลของนาง “กระดังงาลูกแม่” และก็เป็นจริงดั่งคำคาดการณ์ แม่เฒ่าเลี้ยงดูปูเสื่อกระดังงาให้ก่อเกิดความใกล้ชิดสนิทสนมกับตนเอง นางสอนสั่งมนตรามหาเสน่ห์แก่กระดังงาหมดหน้าตัก นางวางเดิมพันความอยู่รอดของชุมโจรหมานคำไว้บนบ่าเล็กคู่นี้ ยามเห็นกระดังงานก็เปรียบเสมือนเห็นความหวังอับริบหรี่ของหมู่บ้านที่ปลายอุโมงค์ ดวงชะตาในคืนเดือนดับของนางช่างพิเศษ ในพื้นดวงของนางเป็นดวงนารีข่มขาล ยิ่งผ่านความยากลำบากนางก็ยิ่งเจิดจรัสดั่งอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนหลายครั้งหลายครา จนมันแหลมคมและงดงามอย่างมั่นคง ไม่ว่าอย่างไรนางจะรอวันนั้น วันที่หลานสาวของนางสามารถถอนคำสาปแช่งของพญาขาลได้ “กระดังงาเอ๋ย...วันข้างหน้าของเอ็งจะต้องลำบากยากเย็นเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่ๆ เลยลูกเอ๋ย” เกตถะหวาก้มมองดวงหน้าพริ้มเพราของบุตรสาวและอดสงสารไม่ได้ ดวงตาน้ำตาคลอเบ้าไม่อยากให้บุตรสาวเพียงคนเดียวต้องประสบพบเจอกับความลำบากทั้งหลายทั้งปวง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD