ตอนที่ 12 : เจ้าใบ้

2783 Words
12 โสตประสาทของชายหนุ่มคล้ายดับวูบชั่วขณะ ใบหูได้ยินเพียงเสียงอื้ออึง เสียงโครมครามของผีพญาห่าก้อมเงียบสงัดราวกับว่ามันไม่เคยปรากฎตัวต่อหน้าเขา กลิ่นอายของราชาภูตผีก็อย่าได้นึกถึง มันสามารถกลบเกลื่อนกลิ่นอายของตนเองได้ ถึงกับฉวยโอกาสชั่วพริบตาโฉบเอาร่างของกระดังงาไปได้โดยที่เตียนคำไม่ทันสังเกตช่างร้ายกาจนัก สีหน้าของตรีศูลซีดเผือดจนแทบจะไร้เลือดฝาดบนใบหน้าคมเข้ม สายตากวาดมองหาเพื่อนสาวด้วยใจร้อนลน เตียนคำลอยมาเกาะแผ่นหลังแกร่งอันสั่นสะท้าน กวาดมองซ้ายขวาไร้ซึ่งร่องรอยของนางน้อยราวกับนางอันตรธานหายไปพร้อมกับความมืดมิด “หึ...” น้ำเสียงแค่นหัวเราะของใครบางคนดังขึ้น ริมฝีปากหนาเข้มที่เคยพลิกคว่ำยกหยัน เห็นท่าทางสิ้นไร้ไม้ตอกของหลานชายช่างน่าอดสู “ลุงขาล!!!” ตรีศูลผงะ เขาเหลือบมองเห็นร่างเสือสมิงมหึมาลายพาดกลอนย่างก้าวเข้ามาใกล้ โครงหน้าดุร้ายเรียบเฉยเหมือนทับซ้อนใบหน้าของกระดังงาเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน เตียนคำใช้แผ่นหลังกว้างของตรีศูลหลบภัย ร่างโปร่งแสงของนางสั่นระริก ‘เผชิญหน้ากับราชาผียังไม่น่ากลัวเท่าเผชิญหน้ากับพญาขาลผู้นี้เลย นะ...นางน้อยเจ้าขา ช่วยพี่เตียนคำด้วยเจ้าคะ’ เตียนคำโอดครวญภายในใจ พลางโผล่ศรีษระเพียงครึ่งเหลือบมองสมิงร้ายเบื้องหน้า “กระไร ปีกกล้าขาแข็งได้เท่านี้เองหรือหลานรัก” “ลุงขาลช่วยกระดังงาด้วยนะ พญาปอบตัวนั้นมันเอากระดังงาไป หากไม่ได้นางข้าคงตายไปแล้ว นะ...นางมีบุญคุณกับข้า” ตรีศูลพูดในน้ำเสียงนั้นเจือแววความละอายแก่ใจเต็มเปี่ยม “เอาไปก็ดีจะได้พ้นหูพ้นตาข้า ข้าจะแถมข้าวสารอีกสอบกระสอบให้มันด้วย ทำได้ถูกใจข้ายิ่ง” พญาขาลเอ่ยไม่ยี่หระ “ไม่ได้นะ!” เตียนคำรีบโพล่งปากเสียงดัง ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาบิดเบี้ยวจนน่าสะอิดสะเอียน “......” ดวงตาสีชาดตวัดมองเตียนคำแวบหนึ่ง โดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด แต่นั้นก็ทำให้เตียนคำรีบหายหลุบใช้แผ่นหลังของตรีศูลเป็นปราการหลบซ่อน “ลุงขาลข้าขอร้องล่ะ จะใช้ข้าบีบนวดนานเท่าใดข้าจะไม่อิดออดเลย ช่วยกระดังงาทีลุงขาล ป่านนี้คงร้องไห้ฟูมฟายขี้มูกโป่งแล้ว” ตรีศูลเร่งเร้าพญาขาล ยินยอมมอบข้อเสนอเอาใจลุงสุดที่รักซึ่งเป็นข้อเสนอที่เขาขยาดและหลีกหนีมาโดยตลอด ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าลุงขาลนิยมชมชอบการนวดเพียงใด ถึงขั้นใช้เขานั่งนวดหลายสิบชั่วโมงติดก็เคยมาแล้วจนตัวเขาถึงขั้นหลาบจำ “ข้อเสนอน่าสนใจ” ทางด้านกระดังงาที่ถูกโฉบร่างมา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เพียงเปิดเปลือกตาก็เผยให้เห็นกระท่อมทรุดโทรมมีโต๊ะหมู่บูชาเก่าแก่ตั้งวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าถูกทิ้งร้างจนฝุ่นเกรอะมีหยากไย่แมงมุมดักจับสัตว์แมลงอยู่ทั่วทุกมุม สถานที่แห่งนี้คงถูกทิ้งร้างมาหลายชั่วอายุคน แต่กลับไม่ถูกทำลายสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ เพราะเหตุอันใดกระดังงาเองก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ “ข้าเห็นแววตาของเอ็งเหมือนนางนัก ข้าฆ่าเอ็งไม่ลง หากเป็นผู้อื่นคงถูกข้ากลืนกินไปแล้ว นับว่าโชคดีของเอ็ง” สุรเสียงแหบพร่าของผีพญาห่าก้อมเอื้อนเอ่ย เงาตะคุ่มสีทะมึนรูปร่างสูงใหญ่ปรากฎทางด้านซ้าย ก่อนมันจะถลาเข้ามาใกล้แนบชิดจนหญิงสาวขนลุกเกลียวทั่วเรือนร่าง “เจ้าเหมือนนางนักเพียงแต่นางไม่งามเท่าเจ้า นับว่าหาได้ยากแม่หญิงที่ทำให้ข้าหวนระลึกเรื่องราวในอดีต นานเท่าใดแล้วนะที่นางจากไป…” “นานจนตัวข้าเกือบจะลืมนางไปแล้ว” เงาตะคุ่มโน้มใบหน้าเหี้ยมเกรียมเข้ามาใกล้ ความเย็นยะเยือกสัมผัสกรอบหน้าของหญิงสาวแผ่วเบา นัยตาสีดำเข้มจ้องมองดวงตาเฉี่ยวไม่ละสายตา กระดังงาย่นหัวคิ้วเมื่อเห็นความโอนอ่อนบนใบหน้าเกรอะด้วยตุ่มหนองของผีพญาห่าก้อม สักพักใบหน้าของมันก็ฉายแววเจ็บปวด ยามเศษซากความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ฉายภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ามาใต้จิตสำนึก “แววตาฉันเหมือนใคร” กระดังงาเบือนใบหน้าหนี เธอกลั้นใจถามด้วยความอยากรู้ ผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อผีพญาห่าก้อมย่อมต้องมีที่มาที่ไป มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้ราชาแห่งผีทั้งปวงตนนี้เกิดความลังเล หากนี่คือ...ทางรอด เธอก็ต้องคว้ามันเอาไว้ “นางทรงผู้หนึ่ง” มันตอบฉะฉาน ก่อนจะขยับเข้ามาแนบชิดกระดังงามากขึ้น เงาตะคุ่มคลอเคลียพวงแก้มใสของนาง ไร้ความอบอุ่น นุ่มนวล มีเพียงสัมผัสอันเย็นเยียบจนเธออดหวาดผวาไม่ได้ เธอได้แต่ฝืนใจเหยียดลำคอตรง เป็นผียังไม่วายมาแต๊ะอั๋ง! “นางทรงหมายถึงร่างทรงน่ะหรอ” “ถือว่าข้าเล่านิทานปรัมปราให้เอ็งฟังก็แล้วกัน หากฟังจนจบข้าจะทำให้เอ็งอยู่เคียงคู่กับข้าจนตราบฟ้าดินสลาย ภูติผีตนใดย่อมต้องศิโรราบแด่เอ็ง เอ็งว่าดีหรือไม่” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยพร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ช่างน่าสยดสยองพองขนมากกว่าชวนให้พึงใจเสียจริง ‘จะให้ฉันเป็นเมียผีถามฉันหรือยัง!’ ฮืิอ...เมียเสือยังไม่ได้เป็นดันจะได้เป็นเมียผี “เล่าสิ...” กระดังงาส่งยิ้มฝืดเคืองเต็มทีให้มัน “หากจะให้เท้าความคงต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อนกระมัง เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลมันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ณ สถานที่แห่งนี้ จุดเริ่มต้นของข้า...” เสียงคำสาปแช่งก่นด่าดังขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ปลุกให้เจ้าใบ้หลานชายวัยสิบขวบเพียงคนเดียวของยายผวนตื่นขึ้นจากที่นอนฟูกนุ่นซอมซ่อ เสียงทุบตีพร้อมเสียงครางโอดครวญของผู้เป็นยายเล็ดลอดเข้ามาในเพิงกระต็อบหลังเล็กที่ใกล้จะพังแหล่ไม่พังแหล่ เกื้อ หรือ เจ้าใบ้ ชื่อที่คนในหมู่บ้านป่าสักเรียก เพราะเขาเป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิด หลังมารดาผู้ให้กำเนิดถูกฉุดคร่าไปทำมิดีมิร้ายโดยพวกโจรทมิฬบนภูเขาก็พลาดตั้งครรภ์และให้กำเนิดเด็กชายตัวน้อยผู้หอบเอาความโชคร้ายมาเกิด ทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดตัดสินใจอัตวินิบาตกรรมตนเองหลังคลอดเจ้าใบ้สามวันให้หลัง เจ้าใบ้เติบโตมาพร้อมกับการเลี้ยงดูของยายผวน ที่สติสตังไม่ค่อยสมประกอบ กระนั้นก็ยังสามารถเลี้ยงดูปูเสื่อเขามาตลอดระยะเวลาสิบปีแต่ก็เป็นสิบปีที่ผ่านไปอย่างลำบากแสนเข็ญเหลือเกิน “อะ...โอย” “อีผวน! อีปอบ! เมื่อคืนมึงแอบไปกินเป็ดในเล้ากูอีกแล้วใช่มั้ย!! เมื่อไหร่มึงจะหลาบจำสักทีหรือจะต้องให้พวกกูเผามึงทั้งเป็น” เสียงของชายฉกรรจ์ตะคอกใส่ยายผวน “เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงวัวร้อง ดีนะที่ข้าตื่นทัน ไม่งั้นวัวของข้าไม่แคล้วโดนผีปอบอย่างเอ็งแดกห่าหมด!” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนเสริมทัพ “มะ…ไม่ใช่ ไม่ใช่” ยายผวนปฏิเสธเสียงแผ่ว “กระทืบแค่นี้ยังน้อยไป!” ยายผวนสภาพสะบักสะบอมยกมือป้องร่างขณะถูกรุมทำร้ายด้วยความไม่ยุติธรรม ชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่ายายผวนเป็นผีปอบตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าบ้านเรือนของผู้ใดสัตว์เลี้ยงล้มตาย ต่างก็โบ้ยความผิดให้ยายผวนเพียงผู้ใดพากันมาระบายความโกรธเกรี้ยวใส่ยายแก่อายุหกสิบกว่าปี จนเลือดตกยางออกอยู่หลายที “!!?!!” เจ้าใบ้รีบคว้ามีดพร้ากำไว้ในมือแน่น เขากระโจนหมายจะฟันมีดใส่ชายฉกรรจ์ที่ทำท่าจะยกเท้าถีบยายผวนของตน แต่แรงของเด็กน้อยหรือจะสู้แรงของชายฉกรรจ์ ผลัวะ! เจ้าใบ้ถูกถีบเข้าที่หน้าท้องอย่างแรงจนหงายท้องตัวงอด้วยความจุกปนเจ็บปวด ยายผวนเห็นหลานรักโดนทำร้ายก็รีบวิ่งโร่ใช้ร่างของตนบังกายเจ้าใบ้ ชาวบ้านที่มามุงดูต่างส่งสายตาสะใจและหยามเหยียด ชายฉกรรจ์และหญิงสาววัยกลางคนเจ้าทุกข์ ต่างออกแรงช่วยกันทุบตีระบายโทสะของตนเอง ทำราวกับว่าสองยายหลานคือที่รองมือรองเท้ายามขุ่นเคือง ร่างอ่อนระโหยโรยแรงของยายผวนเป็นเกราะกำบังร่างของหลานชาย เจ้าใบ้เงยหน้ามองผู้เป็นยายพร้อมน้ำตาไหลพราก คิดเจ็บใจแค้นเคืองชาวบ้านพวกนี้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของยายผวนมีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งรอยเก่าและรอยใหม่ ตุ้บ! ตุ้บ! ก้อนหินขนาดเล็กถูกโยนปาใส่ชาวบ้านที่กรูเข้ามาทำร้ายยายผวนและเจ้าใบ้ แม้จะมีขนาดเล็กแต่หินผาอย่างไรก็คือหินผาความคมเหลี่ยมกระแทกผิวหนังเนื้ออ่อน ย่อมสร้างความเจ็บปวดและร่องรอยบาดแผลตามร่างกาย ไม่นานนักก็มีฟืนหลายท่อนถูกโยนลงมาจากบนต้นมะยมหน้าเพิงกะต็อบ ตกใส่ศรีษระชาวบ้านเหล่านั้นราวกับทำนบเขื่อนแตกชาวบ้านที่กรูเข้ามาทำร้ายสองยายหลานร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดรีบถอยร่นมองหาต้นตอ “เจ็บรึ! เจ็บเป็นผู้เดียวหรือผู้อื่นก็เจ็บเหมือนกัน พวกโง่เป็ดวัวของพวกเอ็งถูกหมาบ้านอีแดงรุมกัดไม่ใช่หรือ เหตุใดมาโบ้ยความผิดให้ผู้อื่นหน้าด้านๆ วันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเอ็งออกก็ไม่ใช่นังขมิ้นแล้ว!” เสียงเล็กแหลมของใครบางคนตวาดลั่น ปรากฎกายพร้อมไม้หน้าสามวิ่งไล่หวดชาวบ้านจนแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง บางรายที่วิ่งหนีไม่ทันล้มลุกคุกคลานก็ถูกสาวน้อยนาม ขมิ้น ฟาดใส่ไม่ยั้งเป็นการสั่งสอน พวกที่วิ่งเร็วก็ถือว่าโชคดีเอาตัวรอด “พวกหน้าไม่อาย!” ขมิ้นสบถ ขมิ้น หลานสาวนางทรงหรือแม่ครูมาศ ผู้ครอบครองไสยศาสตร์มนตราสายขาว ผู้เป็นที่นับถือเลื่อมใสของชาวบ้าน มีนิสัยแก่นแก้ว ดื้อรั้น และซุกซน เป็นหญิงสาวที่คอยช่วยเหลือเจ้าใบ้ยามตกทุกข์ได้ยาก ยามถูกเด็กในหมู่บ้านรุมรังแกก็จะได้นางยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพร้อมสั่งสอนเด็กและผู้ใหญ่ดั่งเช่นเหตุการณ์นี้เป็นประจำ และเพราะว่าขมิ้นเป็นหลานสาวของแม่ครูมาศ จึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินและเอาผิด “แฮ่ก...แฮ่ก” “เป็นอย่างไร เจ็บมากหรือไม่ โทษทีข้ามาช้าไป คราวหลังก็ใช้มีดฟันพวกมันเลย เกิดอะไรขึ้นมาข้ารับผิดชอบเอง” ขมิ้นเข้าไปพยุงร่างสะบักสะบอมของยายผวน ดวงตาเป็นประกายดุจแสงอาทิตย์ในยามเช้าของนาง จ้องมองร่างอ่อนระโหยโรยแรงของยายผวนด้วยความเจ็บปวดใจ นางรู้ดีว่ายายผวนไม่ใช่ปอบ และรู้จักนิสัยใส่ร้ายป้ายสีของผู้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี คนเห็นแก่ตัวพวกนั้นเพียงอยากจะหาใครสักคนมาเป็นแพะรับบาป ในเมื่อมีคนใจกล้าลงมือหนึ่งครั้ง ทุกคนก็จะเลียนแบบ... “คนพวกนี้ต้องเจ็บตัวซะบ้าง!” “ขะ...ขอบใจ ขอบใจ” ยายผวนระบายรอยยิ้มอ่อนโยน สายตายังจับจ้องไปที่เจ้าใบ้ที่ออกอาการเคืองขุ่นจนตาขวาง “......” ริมฝีปากของเด็กชายขบเม้มเป็นเส้นตรง เกร็งร่างกำหมัดจนเส้นเลือดนูนปูด “เดี๋ยวคืนนี้ข้าไปล้างแค้นให้เอ็ง พวกมันอยากโบ้ยความผิด ข้าก็จะจัดให้ชุดใหญ่เอาให้แค้นจนกระอักเลือดไปเลยดีมั้ย” ขมิ้นพูด ฝ่ามือนุ่มลูบศรีษระหนุ่มน้อยอย่างเจ้าใบ้หวังปลองประโลม “......” เจ้าใบ้ส่ายหน้า พลางก้มโค้งศรีษระให้พี่สาวหนหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวพยุงร่างฟกช้ำดำเขียวของยายผวนเข้ากระต็อบ ขมิ้นมองตามสองยายหลานด้วยความสงสารนึกเจ็บแค้นแทนไม่มากก็น้อย คนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นเป็นเพียงกากเดนมนุษย์ที่ทำร้ายยายเฒ่าอย่างยายผวนได้ลงคอ แค่คิดว่าต้องอยู่ร่วมโลกหายใจบริสุทธิ์ร่วมกัน ก็น่าสะอิดสะเอียนชวนสำรอก อยากจะจับพวกมันมาฝังกลบทั้งเป็นนัก! เปรี้ยง! เสียงอัสนีบาตฟาดผ่าลงมากลางหมู่บ้าน ประกายเพลิงผ่าลงมา ณ ตำหนักของนางทรงผู้เป็นย่าของขมิ้น บังเกิดเป็นเพลิงไหม้ลุกโหม ไม่เปิดโอกาศให้ครอบครัวนั้นได้หนีรอดหนีตายแม้แต่คนเดียว พร้อมเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน จุดเริ่มต้นของโชคชะตาที่ขีดเส้นแบ่งถนนสองสายให้กับเด็กหนุ่ม เด็กสาวต้องแยกกันเดินคนละสาย หากคนหนึ่งเลือกเดินผดุงธรรมนองคลองธรรม อีกคนก็ต้องเลือกเดินในถนนสุดเปลี่ยว อ้างว้าง และโดดเดี่ยวเพื่อดับไฟแค้นให้สาแก่ใจ เจ้าใบ้ประคองยายผวนเข้าไปพักผ่อนในเพิงกระต็อบ หาเศษผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายผู้เป็นยายให้สะอาด ดวงตาเจิดจรัสหม่นแสง ใบหน้าคล้ำเขียวยามทอดมองยายผวนสะกัดกลั้นความเจ็บปวด แม้สติจะฟั่นเฟือนแต่ก็ไม่ยอมปริปากร้องโอดโอยให้หลานชายผูกใจเจ็บผู้ใด เสียงกรีดร้องโวยวายกลางหมู่บ้านไม่ได้ทำให้เจ้าใบ้ทุกข์ร้อน กลับรู้สึกชื่นชอบที่ได้ยินเสียงโอดครวญของพวกมัน ยิ่งด้านนอกมีความโกลาหลมากเท่าใด จิตใจอันดำดิ่งตกอยู่ในห้วงแห่งความแค้นก็พลอยสงบเยือกเย็น แต่หารู้ไม่ว่าความโกลาหลด้านนอกจะนำพามาซึ่งความสูญเสียญาติสนิทอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวในชีวิต กลางดึกสงัด เสียงฝีเท้าของคนหลายสิบคู่วิ่งกรูกันเข้ามาลากเจ้าใบ้ที่กำลังนั่งสัปหงกเฝ้ายายผวนไม่ห่าง สัญชาตญาณร้องเตือนว่ามีภัยทำให้เจ้าใบ้สะดุ้งเฮือกตื่นตกใจ พยายามฉุดกระชากลากถูยั้งฝีเท้าอยู่กับยาย แต่แรงเด็กมีหรือจะสู้แรงผู้ใหญ่ ฝ่ามือระดมหมัดใส่ร่างเจ้าใบ้ไม่ยั้ง ร่างที่เคยอ่อนแรงอยู่แล้วจะรับความรุนแรงเหล่านั้นได้หรือ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้ ดวงตาพร่าเลือนเหลียวมองยายผวนที่ถูกเหล่าชายฉกรรจ์กระชากผมสีดอกเลาขึ้นมาจากฟูกนอน พร้อมโดนชายเหล่านั้นระบายโทสะรุนแรงหนักมือกว่าทุกวัน “อีผวน! พวกกูหมดความอดทนกับมึงแล้ว อีปอบ! ผีห่าอย่างมึงทำให้เทพเทวาโกรธเพราะแม่ครูมาศไม่ยอมกำจัดมึงซะที ฟ้าผ่าลงมาเผาตำหนักแม่ครูมาศตายยกครัวมึงรู้หรือยัง! อีกาลกิณี!” “อีตัวชิบหาย อีหายนะ!” “ครอบครัวแม่ครูมาศตายยังไงกูก็จะให้มึงตายอย่างนั้น!” “เผา!!!” “!!?!!” ประกาศิตนั้นเสมือนน้ำเย็นเยียบราดชโลมศรีษระเล็กให้ตื่นเต็มตา ร่างเล็กของเจ้าใบ้ถูกรั้งให้อยู่ดูผู้เป็นยายถูกเผาทั้งเป็น เสียงโอดครวญไม่เป็นศัพท์ฟังไม่เข้าใจของเจ้าใบ้ทำให้ใครบางคนรำคาญจนยกท่อนขาถีบเด็กหนุ่มกระเด็นกระดอน ร่างเล็กสั่นเทาหมายจะบุกเข้าไปคว้าร่างยายผวนที่ดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางกองเพลิง แม้จะเจ็บเจียนตายภาพและเสียงสุดท้าย กลับมีเพียงรอยยิ้มและส่ายหน้าสั่งไม่ให้เขาเข้าไปช่วยเหลือ “ยายอยู่เป็นเพื่อนเอ็งไม่ได้แล้วลูกเอ๋ย...” หยาดน้ำตารินไหลจนแทบจะกลายเป็นสายเลือด ความแค้นที่ถูกฝังกักเก็บมาเนิ่นนาน พลันระเบิดในคราเดียว เสียงหัวเราะเยาะถากถางค่อยๆ เลือนหางจางออกไป พร้อมกลุ่มชาวบ้านที่ทอดมองเย้ยหยันรังเกียจเจ้าใบ้ อยากให้กูเป็นปอบ กูก็จะเป็นปอบ... แต่กูจะเป็นพญาปอบมาแดกห่าพวกมึงทุกตัว... กูจะฉีกเนื้อแล่หนังพวกมึงทุกตัว มอบความทุรนทุรายสุดแสนสาหัสตอบแทนร้อยเท่าพันเท่า... เสียงหัวเราะในวันนี้จะหลงเหลือเพียงเสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิต สายตาหยามเหยียดจะเป็นสายตาหวาดกลัวจนหวาดผวาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตา... ทุกบุญคุณความแค้นกูจะมาสะสางกากเดนมนุษย์อย่างพวกมึงเอง หากสวรรค์ไม่มีตา ฟ้าไม่มีใจ กูจะแย่งชิงความยิ่งใหญ่มาด้วยตัวเอง กูจะไขว่คว้าแลเป็นใหญ่ทดแทนหยาดโลหิตและหยาดน้ำตาที่สูญเสียไปแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD