ร่วมสิบนาทีเลยกว่าลูกชายเจ้าของบ้านจะกลับออกมา ดวงตาคู่คมฉายแววลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น...
“จะเข้ามาก่อนไหม หรือจะกลับเลย”
“ความจริงควรให้กูเข้าไปรอในบ้านตั้งแต่แรกไหม” ฉันแกล้งแหย่ เด้งตัวขึ้นจากฝากระโปรงรถและขยับเข้าไปใกล้พลางหรี่ตาจับผิด “หรือแอบซุกสาวไว้”
คนถูกแซวยกยิ้มมุมปาก เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงวอร์มทั้งสองข้าง แล้วโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู “อยากรู้ก็ไปดูเองดิ…”
หัวคิ้วฉันขมวดมุ่น เมื่อเจอสถานการณ์ที่มิอาจคาดเดา เขาขยิบตาซ้ายให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ฉันอยู่กับคำถามว่าควรเห็นใจหรือซัดหน้าสักหมัดดี เล่นลิ้นได้ทุกเวลาจริง ๆ
ฉันทำปากขมุบขมิบไล่ตามหลังเขาไปติด ๆ กระทั่งก้าวเข้าสู่บ้านสองชั้นสไตล์นอร์ดิกที่ภายในตกแต่งด้วยโทนสีสว่างสบายตา เฟอร์นิเจอร์ใหม่เอี่ยมหลายชิ้นจัดวางเป็นระเบียบ ทว่าบางมุมยังว่างเปล่า เหมือนรอการเติมเต็ม
แต่แล้วการสำรวจก็ต้องหยุดชะงัก ฉันยืนตัวแข็งทื่อเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเจ้าขนฟูสีขาวเดินออกมาจากห้องหนึ่งทางปีกซ้าย…
เหมียว~~
พรึบ!
เสียงแหลมเล็กของมันทำฉันสะดุ้งสุดตัว พุ่งไปเกาะหลังเพื่อนสนิทอย่างไม่ทันคิด ความทรงจำเลวร้ายตอนเด็กที่เคยโดนแมวจรไล่กัดไหลย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว จนเหงื่อเริ่มซึมทั้งที่มือเย็นเฉียบ
“เยอบี ออกมาได้ไงเนี่ย” เจ้าของท่าทีตื่นตระหนกไม่แตกต่างเคลื่อนมือมาโอบแผ่นหลังฉันไว้หลวม ๆ
นี่สินะ! เหตุผลที่ฉันไม่ถูกเชิญเข้าบ้านตั้งแต่แรก แล้วแทนที่จะบอกกันให้เตรียมตั้งรับบ้าง ดีไม่ช็อกตาย…
“เดี๋ยวนี้นางเปิดกรงเองได้ค่ะ คุณหมอก ต้องคล้องกุญแจด้วย” เสียงแหบพร่าของใครบางคนเรียกให้ฉันแง้มดูเล็กน้อยด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏเป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมสวมผ้าถุงเรียบ ๆ กำลังคว้าอุ้มเจ้าตัวแสบอย่างคล่องแคล่ว ราวกับรู้ดีว่าต้องควบคุมมันยังไง
“มึงนี่นะ…” ศีรษะคนที่แบกฉันอยู่โคลงไปมาเหมือนเหนื่อยหน่าย พร้อมกับเหยียบย่างไปยังบันไดทางขึ้นชั้นบน “ทำแบบนี้ได้แค่กับกู อย่าไปทำกับคนอื่นนะ เข้าใจไหม?”
คำพูดของเขาไม่ได้ช่วยให้อัตราการเต้นในอกฉันทุเลาลงเลย ซ้ำยังทวีขึ้นเป็นเท่าตัว
บ้าชะมัด! ฉันรีบถอนสายตาหนีไปทางอื่น ในตอนที่เขาเอี้ยวมามองกัน
“แล้วเวลาตกใจ มันห้ามได้ที่ไหนกันเล่า…” ฉันบ่นพึมพำ ขณะดันตัวลงมายืนบนพื้นหลังการเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง ก่อนเขาจะชี้ไปยังกรอบรูปติดผนังสะท้อนแสงไฟสีอุ่นตรงหน้าและฉันผงะถอยโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นภาพนั้น
“เยอบีล่า” ก็คือตัวเดียวกับที่เจอข้างล่าง ส่วนอีกตัวเป็นแมวสีส้มหน้าอ๋อง ๆ ที่เขาเรียกมันว่า “...เออเลอร์”
“สะ สองตัวเลยเหรอ”
“มันไม่กัดหรอก คุณแมรี่เลี้ยงมาอย่างดี”
ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังสั่นหน้าไม่ไว้วางใจ ได้ชื่อว่า แมว แม้มันจะไม่มีลมหายใจฉันก็กลัวอยู่ดี…
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อย”
“อือ ไปเข้าในห้องกู”
…
พอล้างหน้าล้างตาเสร็จ ฉันก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เผลอสอดส่องพื้นที่ส่วนตัวของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทุกอย่างดูเรียบง่ายตามสไตล์ ทว่าทุกชิ้นต้องแซมด้วยสีดาร์กบูลเสมอ นี่แหละสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น ม่านหมอก ก่อนสายตาฉันจะสะดุดเข้ากับผ้าปูที่นอนสีแดงไวน์
…มันเป็นชุดที่เคยไปซื้อด้วยกัน
‘ก็เผื่อได้ไป…’
และเขาพูดไว้แบบนั้น ประโยคทีเล่น แต่ดันเป็นเรื่องจริง อยู่ ๆ ฉันก็มาโผล่ในห้องเขาแบบไม่ตั้งใจ แปลก ๆ เหมือนกันนะที่เห็นว่ามีสีโปรดของตัวเองประดับอยู่ด้วย
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่า แล้วเบี่ยงปลายเท้าไปเปิดประตูกระจกหลังห้องแทน ม่านหมอกที่ยืนสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ตรงขอบระเบียงดูตกใจเล็กน้อย
“ออกมาทำไม มันเหม็น” เขาย่นคิ้วดุ พลางยกมือขึ้นปัดป่ายกลางอากาศ
“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมดีออก” ความหอมดึงดูดให้ฉันพาตัวเองไปอยู่ข้าง ๆ เขา กลิ่นแอปเปิลอ่อน ๆ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามันให้ความรู้สึกสบายใจได้จริงเหรอ “ขอลองบ้างดิ”
ม่านหมอกหลุบมองของในมือแล้วพูดขึ้นเสียงแข็ง “ไม่ใช่ของดี มาลองอะไร”
“รู้ว่าไม่ดี แล้วทำไมถึงชอบสูบกันจัง” ฉันแอบแซะแบบขำ ๆ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของเขา ตอนที่ต้องแบกรับทุกอย่างโดยลำพัง เขาต้องใช้วิธีไหนบ้างนะ… ถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่แสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็นเลย
“มันก็ช่วยได้ในบางเรื่อง” เสียงของม่านหมอกนิ่งเรียบ แต่นัยน์ตาที่มองไปยังท้องฟ้ามืดกว้างไกลนั้นราวกับจมอยู่ในความคิดที่ฉันไม่มีวันเข้าใจ…
บางเรื่องมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูดเนอะว่าไหม…
‘การผิดหวังมันไม่ได้ทำให้เราเสียใจหรอกลูก ความคาดหวังต่างหากที่มันทำร้ายเรา…หึ ตลกดี’ เสียงหัวเราะในลำคอที่คุณแมรี่เค้นออกมายังดังก้องในหู ราวกับคำว่า ‘ตลก’ นั้นตั้งใจจะขยี้บางสิ่งในใจท่านให้แตกสลาย
ความจริงก็อยากจะถามนะ อยากยื่นมือเข้าไป...
“ไม่ต้องไปฟังแม่มากหรอก พอเมาแล้วก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ” เป็นการดักทางที่ฉันเหยียบเบรกจนหัวทิ่ม
“อือ” รู้แล้วว่าไม่ควรล้ำเส้น… แต่คำถามกำกวมยังหลุดออกไป “ว่าแต่… มันรู้สึกยังไง”
“นี่เหรอ” พอดแท่งเล็กถูกชูขึ้น ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่ก็จำใจกดคางรับ ก่อนเขาจะกระตุกยิ้มราวกับเกิดไอเดียบรรเจิด “อยากรู้จริงปะ”
“ก็อยากนะ”
“งั้น…” ระยะห่างแคบลงเพราะเขาเขยิบเข้าหาและฉันยังนิ่งอยู่ที่เดิม “หลับตาดิ”
มันบ้ามากเลยที่ร่างกายฉันตอบรับโดยไร้การไตร่ตรอง เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง ยอมให้ความมืดปกคลุมแรงดันในกายที่คล้ายจะเพิ่มขึ้นทุกวินาที ได้ยินเสียง ‘ฟืด’ ผะแผ่ว ก่อนตามมาด้วยสัมผัสเย็นจากปลายนิ้วที่กดลงบนข้างแก้ม เขาบีบเบา ๆ ให้ริมฝีปากฉันเผยอออก
กลิ่นหวานผลไม้เจือจางเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนติดฉุนในลำคอ คล้ายกลุ่มควันถูกพ่นเข้ามา...
รู้ทั้งรู้ว่านี่คือการเล่นสนุกที่เขาแค่ต้องการให้ฉันลอง แต่ในใจกลับรู้สึกเรียกหาอะไรที่มากกว่านั้น ปล่อยให้ความสงสัยถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างง่ายดาย ไม่ตั้งคำถามใด ๆ อยากเป็นแค่ผู้หญิงโง่ ๆ สักครั้ง แล้วเดินตามการนำพาของผู้ชายตรงหน้าโดยไม่ต้องคาดหวังคำตอบ
ไม่ต้องสนว่านี่จะเป็นกลลวงหรือกับดัก!
ฉันลืมตาขึ้นช้าๆ สบสายตาคมที่มองตอบมาอย่างลึกซึ้ง แรงลมจากระเบียงพัดผ่านแก้ม แต่กลับไม่สามารถดับความร้อนที่วิ่งพล่านอยู่ข้างในได้เลย ยิ่งอยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ เส้นแบ่งระหว่าง ‘เพื่อน’ ก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที กระทั่งสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ลอยอยู่เหนือริมฝีปาก
และจังหวะที่เขาขยับปากเข้ามา หัวใจของฉันก็พลันกระตุกวูบ…
ครืด ครืด
แรงสั่นสะเทือนของไอโฟนในกระเป๋ากางเกงปลุกฉันตื่นจากภวังค์ ขนตายาวเป็นแพกะพริบขึ้นลงอยู่หลายครั้ง ก่อนจะรีบล้วงมันออกมาแบบไม่รู้ตัว ชื่อ “คูมมี๊” ที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำให้จังหวะในอกยิ่งถี่กระชั้นกว่าเก่า
ห้วงหนึ่งเหมือนติดค้างอยู่กลางทางระหว่างโลกแห่งความฝันและความจริงที่ค่อย ๆ ดึงฉันกลับมา
ม่านหมอกขยับถอยไปพิงกับราวระเบียง หมุนพอดในมือเล่นคล้ายคั่นเวลา แต่อีกนัยก็เหมือนกลบเกลื่อน บรรยากาศรอบตัวยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงตึกตักที่ดังกึกก้องเหมือนอยู่กลางสนามรบยากจะสงบ
[นี่ลูกจะกลับตอนไหน เมารึเปล่า ให้ป๊าไปรับไหม] ความเป็นห่วงของคุณนายนีรดาร์เล็ดลอดออกมาตั้งแต่ไอโฟนยังไม่ทันแนบหูด้วยซ้ำ
ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วตอบอย่างพยายามปรับเสียงให้ฟังปกติที่สุด “ไม่เมาค่ะ มี๊นอนเถอะ อีกสักพักจ้าวก็กลับแล้ว”
[งั้นก็ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ ถ้าไม่ไหวหรือยังไงก็โทรบอกเฮียก็ได้]
“รู้แล้วค่า…”
หลังกดวางสาย ฉันเผลอกัดปากตัวเอง อารมณ์ชั่ววูบนี้เหมือนเงามืดที่แทรกซึมในความรู้สึก ฉันไม่รู้มันเกิดจากอะไรกันแน่…
ความใกล้ชิด บรรยากาศ หรือ… ปรารถนา
เขาขยับมายืนใกล้อีกครั้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย “ปะ เดี๋ยวไปส่ง”
ฉันได้แค่พยักหน้าเงียบ ๆ แม้ค่ำคืนนี้จะผิดจากแผนที่วางไว้ แต่ก็มีบางอย่างที่ฉันเริ่มเข้าใจ... และอีกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน