เสียงรถแล่นเข้ามาจอดยังคฤหาสน์หลังงาม ก่อนที่ร่างอรชรจะลงจากรถมา เธอมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะได้กลับบ้านอีกครั้ง หญิงสาววิ่งเข้าไปในบ้านที่แสนคุ้นเคยเพราะอยู่มาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะพบกับใบหน้าที่คิดถึงอย่างมากมาย นายกิตติภพ เรืองเดชสกุล บิดาเพียงคนเดียว ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวและคนที่เธอรักคนเดียวที่เหลืออยู่ ร่างบางอ้าแขนออกแล้วเร่งฝีเท้าเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ สองพ่อลูกกอดกันด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ หญิงสาวไปจากบ้านหลังนี้นานเหลือเกิน หลังจากกลับมาเธอก็พักอยู่ข้างนอกเพื่อหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง ก่อนที่จะกลับมาที่นี่ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ เนื่องจากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียนานจนคุ้นชินกับวัฒนธรรมที่นู่นไปเสียแล้ว เธอจึงวิ่งเข้ามากอดแทนที่จะยกมือไหว้แบบไทย ๆ ทำให้ศจีผู้เป็นแม่เลี้ยงมองด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจและกึ่งดูถูก
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ หนูไม่อยู่หลายปีได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามที่ลุงหมอบอกบ้างหรือเปล่า”
“พ่อปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูกรัก”
กิตติภพพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่กลับมีใบหน้าที่เคร่งเครียดราวกับกำลังหนักใจกับอะไรบางอย่างอยู่ และพอเธอมองไปทางศจี ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงเมื่อหลายปีก่อน ขณะเดียวกันผู้เป็นพ่อก็หันไปมองด้วย ความรู้สึกกดดันที่ถูกส่งมาจากผู้หญิงคนนั้นส่งผ่านจากร่างเล็กไปถึงผู้เป็นพ่อ ทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้พ่อของเธออาจจะถูกผู้หญิงคนนี้ล้างสมองในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ความหนักใจปรากฏชัดในแววตา ในที่สุดกิตติภพก็ตัดสินใจพูดเรื่องที่เขาลำบากใจมาตลอด
“พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกกับลูก”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เราไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกกันดีไหม เดี๋ยวพ่อให้คนเอาน้ำเอาท่ามาให้กินก่อนแล้วเราค่อยคุยกันก็ได้”
“พูดมาเถอะค่ะ ถ้ามันสำคัญพูดตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร” พิมภาเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อ
“คือ… หลังจากลูกเรียนที่ต่างประเทศ สภาพการเงินของบริษัทก็แย่ลงเรื่อย ๆ แต่มันสามารถฟื้นกลับมาดีขึ้นได้ ขอเพียงแต่ลูกยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เขาสามารถช่วยครอบครัวของเราได้”
กิตติภพสาธยายถึงความจำเป็นและรายละเอียดต่าง ๆ ให้ลูกสาวที่รักปานดวงใจได้รับรู้ ในคราวแรกพิมภากลับรู้สึกว่าผู้เป็นพ่อกำลังพูดเล่น หรืออาจจะแต่งเรื่องโกหกเพื่อเซอร์ไพรส์ต้อนรับเธอกลับบ้าน ทว่าพอเห็นสายตาจริงจังของผู้เป็นพ่อประจวบเหมาะกับแม่เลี้ยงที่เอาแต่ยุยงอยู่ข้าง ๆ และคอยพูดเสริมเติมแต่งต่าง ๆ นานา สุดท้ายแล้วก็ทำให้หญิงสาวเข้าใจว่าทุกอย่างที่พ่อพูดเป็นเรื่องจริง ไม่มีอะไรเลยที่เป็นคำโกหกหลอกลวง
พ่อของเธอกำลังจะล้มละลายอย่างนั้นหรือ ธุรกิจที่พ่อเคยบริหารมาได้ดีโดยตลอดและมีเงินส่งให้ลูกสาวอยู่ที่ต่างประเทศอย่างสุขสบาย ในวันนี้มันกำลังจะล้มลงไปและกลายเป็นของคนอื่นอย่างนั้นหรือ
พิมภาเข้าใจแล้ว เรื่องที่พ่อต้องการให้ลูกสาวสุดที่รักทำเพื่อครอบครัวสักครั้ง แต่ทว่าลึก ๆ แล้วหญิงสาวกลับไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดกับตนด้วย หมดถ้อยคำจะพูดต่อ ไม่รู้ว่าต้องพูดหรือเถียงอะไรออกมา เพราะเหมือนพ่อจะตัดสินใจไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรไปพ่อก็คงไม่เปลี่ยนใจ ท้ายที่สุดแล้วเธอก็รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรงเกินกว่าที่จะพูด จึงเลือกที่จะเดินขึ้นห้องของตัวเองไปเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ในผับแห่งหนึ่งย่านคนรวย
“ไงยีนส์ รอนานไหม”
“เป็นคนนัดเองแท้ ๆ นะยะ ดันมาช้าเอง มัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะ” ยีนส์ เพื่อนสาวคนสนิทที่ติดต่อและบินไปมาหาสู่กันเป็นว่าเล่น เพราะครอบครัวของยีนส์ร่ำรวยมหาศาลทำให้เธอไม่ต้องทำงานทำการอะไรก็ได้ หญิงสาวจะมีเวลามากพอที่จะบินไปหาเพื่อนรักได้ทุกครั้งที่คิดถึง ซึ่งมันเกิดขึ้นแทบจะทุก ๆ เดือนเลยก็ว่าได้
“ก็รอเวลายังไงล่ะ รอให้แม่เลี้ยงขึ้นบ้านไปก่อน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากปะทะให้เสียอารมณ์”
“ขนาดนั้นเลยเหรอแก” จอห์น สาวสองลูกครึ่งอังกฤษที่มีหน้าตาสวยกว่าผู้หญิงแท้ ๆ แต่กลับใช้ชื่อว่าจอห์นที่พ่อแม่ตั้งให้เพราะไม่อยากเปลี่ยน เอ่ยทักเพื่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและมีจริตจะก้าน จอห์นเป็นเพื่อนสาวสองเพียงคนเดียวซึ่งเป็นทายาทมหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรมในต่างประเทศ จอห์นเป็นคนไปอยู่กับพิมภาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยที่ไม่ทำงานแล้วก็พาเธอเที่ยวเตร่พร้อมทั้งเรียนหนังสือไปด้วยกัน สนิทกว่าใครเลยก็ว่าได้ใช้ชีวิตแบบเพื่อนหญิงพลังหญิงมาตลอด
“ก็ขนาดนั้นแหละ แกก็รู้อยู่”
“แล้วที่แกเรียกพวกฉันออกมาทั้ง ๆ ที่เพิ่งกลับมาอยู่บ้านไม่นานเนี่ย อย่าบอกว่าคิดถึงแสงสีไนต์คลับตอนกลางคืนนะ ที่เมืองไทยมันต่างจากเมืองนอกมากเลยนะ” ก้อย เพื่อนสาวชาวไทยที่ติดต่อกันผ่านทางช่องทาง social media เท่านั้น ไม่มีโอกาสบินไปหาที่ต่างประเทศเหมือนเพื่อนคนอื่นเพราะฐานะปานกลางและทำงานเป็นพนักงานประจำ สุดแสนจะดีใจที่เพื่อนโทร.นัด แต่พอเห็นสีหน้ากลุ้มใจก็รู้แล้วว่าการนัดเจอครั้งนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“ฉันกลุ้มใจนะแก กลับบ้านมานึกว่าพ่อจะคิดถึงโทร.ตามให้รีบกลับบ้านด่วนหรือให้กลับมาช่วยธุรกิจทางบ้าน ใครจะคิดล่ะว่าบริษัทที่คิดจะมาสานต่อมันกำลังจะล้มละลาย พ่อเรียกฉันกลับมาเพื่อที่จะใส่พานถวายให้ผู้ชายตระกูลดังก็เท่านั้นเอง” พิมภาพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“จริงเหรอแก !?” เพื่อน ๆ ทั้งสามคนรู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าสมัยนี้จะยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่อีก การแต่งงานแบบคลุมถุงชนหรือแต่งงานเพื่อธุรกิจ เงินต่อเงิน ไม่นึกเลยว่าจะเกิดกับคนใกล้ตัวของพวกเธอด้วย ทั้งสี่คนนั่งปรึกษากัน ในที่สุดจอห์นก็เป็นคนออกความคิดเห็นที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุด
“ลองนัดเจอกับว่าที่เจ้าบ่าวไหมแก ลองคุยดู ถ้าเขาเป็นทายาทตระกูลดัง อาจจะมีการตกลงกันได้โดยที่ไม่ต้องแต่งงานก็ได้นะ”
“เป็นพวกนักธุรกิจเหมือนกัน ก็อาจจะคุยง่ายก็ได้นะแกลองดูอย่างที่จอห์นว่าก็ไม่น่าผิดหรอก” ก้อยเห็นด้วยกับความคิดของจอห์น
“ใช่ฉันเห็นด้วยนะ” ยีนส์ก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ฉันก็คิดเหมือนพวกแกนั่นแหละ” พิมภากำลังไตร่ตรองอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเธอเลือกปฏิเสธการแต่งงาน บริษัทของพ่อจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเลยไหม มันพอจะมีทางไหนที่จะยื้อเวลาเอาไว้ได้บ้าง นี่แหละที่หญิงสาวกลัวและกังวลอยู่
“ฉันว่าแกลองไปคุยกับทางนั้นดูก่อน ถ้าทางนั้นไม่เล่นด้วยค่อยมาหาทางกันใหม่ แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็เอาเงินฉันไปก่อน” ยีนส์เสนอและจอห์นพยักหน้าให้กันเพราะทั้งสองร่ำรวยพอที่จะช่วยเพื่อนได้ แต่พิมภาเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกอย่างคือไม่อยากเสียเพื่อน เธอจึงเห็นด้วยเรื่องที่จะให้ไปคุยกับว่าที่เจ้าบ่าวก่อน
เมื่อนั่งดื่มกินแล้วพูดคุยปรึกษากันไปอีกพักใหญ่ ๆ พิมภาก็คิดว่าตนออกมานานเกินไปแล้ว ควรได้เวลาที่จะกลับบ้านสักที เธอยังปรับตัวกับสภาพและเวลาของที่นี่ไม่ได้ จึงพยายามที่จะตามเวลาของประเทศไทย
วันนี้จอห์นและยีนส์เสนอเป็นเจ้าภาพในการจ่ายค่าดื่ม จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ ขณะเดียวกัน ร่างบางกำลังเดินไปที่รถหรูของตัวเอง แต่สายตาเหลือบไปเห็นคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น เขาดูหน้าตาคุ้น ๆ แต่เธอกลับจำร่างสูงไม่ได้แล้วก็เมินเฉยไปเสีย ในขณะที่อีกฝ่ายจำเธอได้แม่น
“มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ”
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ”
“อะไรกัน เมื่อเช้าเราเจอกันทำความรู้จักกันแล้วไงครับ คนรู้จักกันไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ”
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันจำคุณไม่ได้ หลีกทางด้วยค่ะ”
อีกคนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าไร้ความหมายถึงขนาดที่คนตรงหน้าไม่ให้ความใส่ใจ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกท้าทายและดูถูกเป็นอย่างมาก ความโกรธแล่นปราดและพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในสายเลือด ระหว่างที่ร่างอรชรกำลังเบี่ยงตัวลงเพื่อตรงไปที่รถของตัวเองอยู่ ร่างสูงก็ก้าวยาว ๆ ตามมาขวางทางในทันที…