พิมภามองดูตึกระฟ้าตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ เธอรู้ว่าเขาร่ำรวยแต่ก็ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้ คาดเดาด้วยสายตาตึกนี้สูงมากทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะสูงกว่าหนึ่งร้อยชั้นก็เป็นได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่เมืองไทยจะมีตึกแบบนี้อยู่อีก มหาเศรษฐีในเมืองไทยมีมากก็จริงแต่น้อยคนที่เป็นเจ้าของตึกสูงเช่นนี้ได้ แถมการดีไซน์ของตึกก็ยังสวยมากอีกด้วย
อัศวิน สิงหมนตรี จะเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่นะ คิดแล้วก็สงสัย ปกติเธอเคยเจอแต่ผู้ชายที่เย่อหยิ่งและโอ้อวด หญิงสาวแอบคาดหวังว่าเขาจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะอยากเจรจากันให้ง่ายที่สุด
“มาหาใครคะ”
“ต้องการพบคุณอัศวินค่ะ อัศวิน สิงหมนตรี”
“ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัดค่ะ ดิฉันชื่อพิมภา คุณคงจะเป็นเลขาฯ อาจจะพอได้ยินชื่อของฉันมาบ้าง ใช่ไหมคะ ?”
“อ๋อ คุณพิมเองเหรอคะ พอดีว่าท่านประธานกำลังประชุมใหญ่อยู่ค่ะ น่าจะใช้เวลาอีกสักประมาณสองชั่วโมง ถ้าหากว่าคุณรอได้ก็เชิญรอที่ห้องอาหารใต้ดินก่อนได้เลยค่ะ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ก็คงน่าจะไม่เกินสองชั่วโมงโดยประมาณค่ะ ถ้าหากว่าท่านประธานประชุมเสร็จออกมาแล้วจะบอกให้ค่ะว่าคุณมาขอพบ เดี๋ยวฉันจะให้คนพาไปค่ะ”
พิมภาพยักหน้าให้แทนการรับปาก เพราะประเมินและสำรวจด้วยสายตามาแล้ว ที่นี่เป็นตึกชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเธออาจจะลืมเลือนไปบ้างเพราะไปอยู่ต่างประเทศนาน ที่นี่คล้ายกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เลยด้วยซ้ำ มีแหล่งร้านค้ามากมายแถมยังเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย เป็นตึกที่ไม่ใช่แค่ตึกสำนักงานแต่เป็นตึกที่ปล่อยให้เช่าให้คนได้ทำมาค้าขาย กลายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมือง นับว่าคนของครอบครัวนี้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลยิ่งนัก
เธอเดินชื่นชมความงดงามของตึก แล้วก็ชื่นชมผู้ก่อตั้งที่นี่ไปด้วย อารมณ์ค่อนข้างสงบนิ่งมากกว่าปกติ แต่ก็เริ่มแปรปรวนมากขึ้น อารมณ์เริ่มจะคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหญิงสาวรอแล้วรอเล่ามองนาฬิกาหลายครั้งก็พบว่าผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ขาดอีกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
“บ้าจริง ทำไมผู้บริหารพวกนี้ถึงได้หัวแข็งแบบนี้นะ พูดอะไรไปก็แทบไม่เข้าหัว พวกหัวโบราณ ทำไมคนเราจะเป็นประธานและดูแลบริษัททั้งสองที่ไม่ได้ มีอะไรจะต้องย้ายให้เราไปดูแลบริษัทของฝั่งนั้นเต็มรูปแบบและฝั่งนี้จะให้ใครดูแล หึ วางแผนเอาไว้แยบยลจริงนะ”
อัศวินเดินบ่นออกมาจากห้องประชุมอย่างไม่ค่อยพอใจเพราะประชุมวันนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความเครียด ชายหนุ่มพยายามที่จะโต้แย้งและต่อรองกับทุกคน เนื่องจากวันนี้เป็นการตกลงกันครั้งสุดท้ายว่าจะให้เขาย้ายไปดูแลและเป็นประธานบริษัทของคนที่อัศวินจะต้องแต่งงานด้วยในเร็ววันนี้ ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำตามนั้น ถึงแม้เขาจะโต้แย้งต่อรองอยู่เสมอว่ายังอยากเป็นประธานที่นี่ควบคู่ไปด้วยแต่สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ ต้องส่งต่องานให้กับคนที่มารับช่วงต่อ
ถึงแม้จะไม่พอใจก็ต้องเก็บเอาไว้ให้ลึกสุด ๆ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาเป็นลูกที่พ่อคาดหวังมากแล้วก็รักมาก ถึงแม้จะไม่ค่อยแสดงออกเพราะเกรงใจแม่ใหญ่ก็ตาม ถึงจะรู้อยู่เต็มอกก็ตาม อัศวินก็ยังโมโหหงุดหงิดอยู่ดีที่พ่อบังคับให้แต่งงานกับอีกครอบครัว แล้วยังต้องย้ายไปดูแลที่นั่นอย่างเต็มรูปแบบอีกต่างหาก เลยทำให้พาลโมโหฝ่ายครอบครัวของว่าที่เจ้าสาว
อัศวินเดินหงุดหงิดใบหน้าบึ้งตึงขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง เลขานุการที่ทำงานกับเขามานานก็พุ่งเข้ามาขวางไว้อย่างทันท่วงที
“คุณอัศวินคะ มีคนมาขอพบค่ะกำลังรอคุณอยู่ที่ร้านอาหารชั้นใต้ดิน”
“ใครครับ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า”
“เธอแจ้งว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณค่ะ คุณพิมภา”
“เธอมารอตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เอ่อ… ถ้าดูเวลาตอนนี้อีกไม่กี่นาทีเธอก็จะรอครบสามชั่วโมงแล้วค่ะ”
“บ้าจริง !!”
ชายหนุ่มกลับหลังหันทันที จากที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปเคลียร์งานในห้องให้มันจบ ๆ ก่อนที่จะกลับบ้าน กลายเป็นว่าเขาต้องรีบร้อนตรงไปที่ชั้นใต้ดิน เดินดุ่มไปที่ร้านอาหารซึ่งเลขานุการมักจะนัดคนสำคัญให้มาพบที่นี่อยู่เสมอ จึงไม่จำเป็นต้องสอบถามว่าเป็นร้านอะไร ร่างสูงรีบตรงไปยังห้อง VIP ซึ่งเป็นห้องประจำของเขาเช่นเคย ขณะที่พิมภากำลังลุกขึ้นยืนนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อัศวินนั่งลงตรงข้ามตรงที่ที่เธอเคยนั่งอยู่ หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจและค่อนข้างตกตะลึง
“นี่คุณ… ผิดที่หรือเปล่า นั่งผิดใช่ไหม”
“หึหึ ใช่ที่ไหนกันล่ะคุณ ผมน่ะมาถูกที่แล้ว คุณน่ะถูกหรือเปล่า”
อัศวินหัวเราะในลำคอเพราะเห็นสีหน้าที่ตื่นตกใจของเธออย่างปิดไม่มิด ชายหนุ่มก็ตกใจไม่แพ้กันไม่นึกเลยว่าคนที่ตบหน้าเขาในตอนนั้นจะเป็นว่าที่เจ้าสาว หรือเรียกง่าย ๆ ว่าที่เมียนั่นแหละ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในลำคอของร่างสูงสร้างความไม่พอใจแปลก ๆ ให้กับพิมภา
“คุณเป็นใคร”
“คุณนัดใครเอาไว้ ผมก็คือคนนั้นนั่นแหละ”
“คุณคืออัศวิน ?”
พิมภาแอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะกลับลงไปนั่งอีกครั้งและพยายามปั้นสีหน้านิ่ง ๆ เข้าไว้ ไม่แสดงออกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ถึงแม้จะรู้ว่าสายไปหน่อยเพราะก่อนหน้านี้เธอทำหน้าตาตื่นตกใจไปแล้ว เขาคงจะจับสังเกตได้อยู่แล้วละ หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าอารมณ์และน้ำเสียงให้คงที่ก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง เอ่ยพูดถึงวัตถุประสงค์ที่ตัวเองมาในวันนี้
“ฉันอยากจะมาต่อรองในเรื่องการแต่งงานของเรา ฉันเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย คุณยกเลิกงานแต่งงานได้ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะ ในเมื่อเราสองคนต่างคนต่างก็ไม่ได้รักหรือรู้สึกดีต่อกัน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ จะแต่งงานอยู่กินกันได้ยังไง”
“ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ฉันยินดีที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้งานแต่งนี้ไม่ต้องเกิดขึ้น ขอแค่คุณยอมช่วยฉันกอบกู้ธุรกิจของพ่อ ฉันจะถือว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณ แล้วก็จะตอบแทนคุณทุกอย่างแต่ไม่ใช่การแต่งงานแน่ ๆ”
“ตอบแทนยังไง”
“จะให้ฉันทำงานชดใช้ไปทั้งชีวิตเลยก็ได้ แต่คุณแค่บอกกับครอบครัวคุณให้ช่วยเกื้อหนุนบริษัทของฉันหน่อย ช่วยลงทุนช่วยดูแลหรืออะไรก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้กิจการของพ่อตกไปอยู่ในมือของใครทั้งนั้น ฉันพูดตรง ๆ ธุรกิจของครอบครัวถ้าเป็นคุณก็คงไม่อยากให้ตกไปอยู่ในมือใครเหมือนกัน”
“แล้วยังไงต่อ”
“ฉันพูดจริง ๆ แค่คุณช่วยฉัน ฉันจะถือว่าเป็นหนี้คุณชั่วชีวิต จะให้ฉันทำอะไรก็ได้แต่ช่วยยกเลิกงานแต่งงานนี้หน่อย ฉันไม่อยากแต่งงานจริง ๆ การถูกบังคับคุณคงไม่เข้าใจ คุณเป็นผู้ชายคุณไม่มีอะไรเสียหายเลยนะ อีกอย่างการลงทุนในธุรกิจโดยที่ให้คุณถือหุ้นส่วนหนึ่งมันก็น่าจะเพียงพอแล้วนี่”
“พูดง่ายไปไหมล่ะคุณ คิดจะมาหลอกใช้ผมอย่างเดียว ให้ถือหุ้นส่วนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์แลกกับการที่ผมต้องลงทุนและทำงานเพื่อช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้ฟื้นฟู แล้วผมจะได้อะไรล่ะ ?”
พิมภาพยายามต่อรองขอร้องอ้อนวอน งัดไม้เด็ดต่าง ๆ มาพูดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ช่างเจรจาและเป็นเหตุเป็นผลมากแล้ว แต่อัศวินฟังแค่ผ่าน ๆ เท่านั้นเพราะเขานึกชอบใจในตัวเธอขึ้นมา ชายหนุ่มเห็นใจอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยแหละ แต่ร่างสูงก็ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจหลังจากที่คนตรงหน้าพูดประโยคสุดท้ายจบ
“ขอโทษด้วยนะ ที่จริงแล้วผมเองก็ถูกบังคับมาเหมือนกัน ผมคงช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ครอบครัวผม มีพ่อของผมที่เป็นคนกุมบังเ**ยนอย่างแท้จริง เขาเป็นคนออกคำสั่ง”
“หมายความว่ายังไงคะ ?”
“ผมพูดชัดแล้วนะ พ่อผมเป็นคนกำหนดชีวิตผมเหมือนกับคุณนั่นแหละที่ถูกพ่อกำหนดชีวิตเอาไว้แล้ว ผมไม่สามารถโต้แย้งหรือเปลี่ยนใจท่านได้ เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ”