หลังจากพูดคุยข้อตกลงกันเรียบร้อย อัศวินและพิมภานัดเจอแล้วพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะแต่งงานกันตามความต้องการของพวกผู้ใหญ่ที่ตกลงกันเอาไว้จริง ๆ
ใช้เวลาเตรียมงานแต่งไม่นานก็ถึงวันแต่งงาน ภายในงานเชิญแขกมาไม่มากนัก เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในจึงเชิญแต่คนสำคัญ ที่มีแต่นักธุรกิจชื่อดัง คนมีชื่อเสียงและมีอำนาจในประเทศ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียและมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลสิงหมนตรีที่จะได้รับเชิญมางานเท่านั้น
เมื่อมองดูแล้ว พิมภาก็เข้าใจว่าทำไมพ่อของตนอยากให้เธอแต่งเข้าตระกูลนี้นักหนา เพราะความยิ่งใหญ่ที่ยากจะหาใครมาเทียบนี่เอง นักข่าวก็เชิญมาเฉพาะสำนักข่าวชื่อดังและนักข่าวฝีมือดีเท่านั้นเพื่อให้ในงานไม่วุ่นวาย
ทุกคนต่างชื่นชมยินดี บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความหรูหรา จนกระทั่งเจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น ทุกสายตาหันกลับไปจับจ้องที่ตัวของเจ้าสาว ไม่เว้นแม้แต่ตัวอัศวิน
ชายหนุ่มเดินหน้านิ่งค่อนข้างไปทางดุดันเพราะไม่ค่อยพอใจ ถึงแม้จะตกลงกันแล้วแต่เขาก็มีความรู้สึกต่อต้านอยู่ไม่น้อย แต่พอเจ้าสาวที่ตนไม่ได้เป็นคนเลือกเองอย่างตั้งใจตั้งแต่แรกปรากฏตัวเท่านั้น สายตาและสีหน้าของอัศวินก็เปลี่ยนไปในทันที เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าที่เคยดุดันและแววตาเย็นชาก็เปลี่ยนไป
เขาจ้องมองเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่อง ความสวยงามของชุดนั้นไม่อาจทำให้ดวงหน้าของเจ้าสาวโดดเด่นน้อยลงเลย ใบหน้าสวยหวานสะกดทุกสายตา ดวงตากลมโตเป็นประกายผมสีน้ำตาลเฮเซลนัต ที่โดยปกติแล้วมักจะดัดเป็นผมลอนอยู่เสมอ วันนี้ถูกดัดแปลงรวบไปไว้ด้านหลังและจัดแต่งทรงผมอย่างสวยงาม ประดับด้วยดอกไม้ประดับที่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าสาวอย่างยิ่ง อีกทั้งผิวสีขาวอมชมพูประกอบกับชุดสีขาวสวย ส่งผลให้เธอยิ่งโดดเด่นมาก
อัศวินรู้สึกอึ้งและพึงพอใจในตัวของเจ้าสาวไม่น้อย แอบคิดและซ่อนอารมณ์ลึก ๆ เอาไว้ภายใน ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแปลก ๆ กลิ่นของเธอหอมเย้ายวนจนรู้สึกอยากสัมผัสแต่ก็ต้องหักห้ามใจ เสียงเพลงจากนักร้องชื่อดังที่มาขับกล่อมในงาน ก็ไม่อาจดึงความสนใจของชายหนุ่มไปได้
งานแต่งงานผ่านพ้นพิธีการไปได้ด้วยดีจนกระทั่งมาถึงงานเลี้ยงตอนเย็น ทุกคนกำลังสนุกสนานกับเสียงเพลงในงานเลี้ยง มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลสิงหมนตรีท่านนี้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ราวกับกำลังเหม่อลอยและครุ่นคิดอะไรอยู่เพียงลำพัง มองไปกี่ครั้งหญิงชราก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของหญิงชรากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณย่าหิวหรือเปล่า ที่นี่มีของกินเยอะ อยากจะกินอะไรไหมเดี๋ยวหนูเดินไปเอาให้” พิมภาเดินไปถามอย่างห่วงใย
“ขอบใจหนูมากนะ ย่ายังไม่หิว แต่ย่าขออะไรสักอย่างได้ไหม” มือเหี่ยวย่นตามวัยของผู้สูงอายุจับที่มือของพิมภาอย่างเบามือ
“ค่ะ คุณย่าอยากได้อะไรคะ” พิมภาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมรับคำขอจากผู้อาวุโสตรงหน้า
“ย่าฝากหนูดูแลวินด้วยนะ ดูแลเขาแทนย่า ที่ผ่านมาย่าไม่มีโอกาสได้ชดเชยให้กับเขา ฝากหนูทำมันแทนทีนะ”
พิมภาค่อนข้างที่จะงุนงง ไม่รู้ว่าคุณย่าเอ่ยถึงคือเรื่องอะไรที่จะต้องชดเชยให้กับเจ้าบ่าวของเธอ เพราะเห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่น่าจะขาดอะไรเลย ออกจะเป็นคนที่เพียบพร้อมด้วยซ้ำ แต่หญิงชรากลับนึกไปถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเธอก็ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้ ความผิดที่ก่อในอดีตนั้นสร้างบาดแผลความในใจให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาจนถึงทุกวันนี้ หญิงชราจึงพยายามชดเชยทุกสิ่งอย่างให้กับเขา
ในบ้านหลังนี้ตราบใดที่ท่านยังอยู่ก็คงไม่มีใครกล้ามารังแกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะแต่ก่อนท่านเคยรังแกและขัดขวางแม่ของอัศวินไม่ให้แต่งงานกับบุตรชายของนาง นั่นก็คือพ่อของชายหนุ่ม ท้ายที่สุดเกิดเรื่องราวใหญ่โต ส่งผลให้ชีวิตใครหลาย ๆ คนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเด็กคนนั้น เด็กที่เธอสร้างมลทินให้เขา จึงอยากอวยพรให้ชายหนุ่มได้มีความสุข มองดูแล้วหญิงสาวตรงหน้า เธอที่เป็นเจ้าสาวในวันนี้เป็นคนที่มีจิตใจดีงาม หญิงชราจึงตั้งใจที่จะฝากหลานชายเอาไว้ ฝากชีวิตของหลานชายที่เธอรักยิ่งไว้กับหญิงสาวคนนี้แทน
“รับปากย่านะ ดูแลเขาแทนย่า เด็กคนนี้ถึงจะเป็นคนที่ปากแข็งและชอบทำหน้าเย็นชาไปสักหน่อย แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมากนะ”
“ค่ะ หนูจะคอยดูให้ก็แล้วกันนะคะ” พิมภารับปาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของเธอ
“ขอบใจหนูมากนะ”
“เอ่อ... คุณย่าค่ะ หนูขอเสียมารยาทถามบางอย่างได้ไหมคะ คือทำไมเอ่อ... คุณพ่อคุณแม่และพี่น้องของคุณอัศวินถึง...” พิมภาเงียบไม่พูดต่อเพราะกลัวจะเสียมารยาทมากไปกว่านี้ แต่เธอไม่เข้าใจ นี่มันงานแต่งลูกชายแต่พ่อแม่และพี่น้องกลับไม่มาร่วมงานเลี้ยง ตอนเช้ามาแค่ตอนทำพิธีหลังจากนั้นทุกคนก็หายไปราวกับไม่มีตัวตน ทำราวกับแม่เลี้ยงของเธอที่มาเพื่อรับสินสอดแล้วก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
มือเหี่ยวย่นจับที่มือเรียวสวยแน่นโดยที่ไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงกลั้นสะอื้นภายในที่ดูเหมือนจะพยายามอดกลั้นไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา
“หนูขอโทษค่ะคุณย่า”
“หนูไปช่วยตาวินรับแขกเถอะนะ ไม่ต้องห่วงย่า” หญิงชราตบมือลงหลังมือเบา ๆ แล้วปล่อยให้เจ้าสาวออกไปรับแขกช่วยเจ้าบ่าว
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะคุณย่า” พิมภาลุกออกมาอย่างเสียไม่ได้ เธอมองดูแขกเหรื่อในงาน มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่างานแต่งครั้งนี้มันเป็นเพียงธุรกิจเท่านั้น เพราะพ่อแม่ของทางเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่มีใครมาร่วมงานเลี้ยงเลยสักคนเดียว
พ่อของเธอยังไม่ฟื้น ส่วนแม่เลี้ยงมาช่วงพิธีการตอนรับสินสอดแล้วก็หายไปเลย ไม่ต่างกับทางฝ่ายเจ้าบ่าว
อัศวินเห็นเจ้าสาวยืนอยู่คนเดียว จึงตามเธอมาเพื่อพาไปแนะนำให้แขกในงานได้รู้จัก สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันไปดูแล้วเหมาะสมจนไร้ที่ติ แต่กลับมีใครบางคนกำลังมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามและดูถูก ชายที่เคยโอ้อวดตัวและหยิ่งยโสมิหนำซ้ำ ยังคิดในเชิงดูถูก
“หึ สวยเสียเปล่า แต่ไร้สมอง ไม่อยากเชื่อว่าจะใฝ่ต่ำแบบนี้”
“มีอะไรเจ้าโก้”
“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ ก็แค่ผู้หญิงใฝ่ต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่อยากจะใส่ใจหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปทักทายผู้ใหญ่ตรงนั้นกันเถอะ”
อรุณยิ้มอย่างมีเลศนัย กะว่าจะเข้าไปพูดคุยกับเจ้าสาวในงานสักหน่อย อยากลองทักทายดูถ้าหากรู้ว่าเขามาอยู่ในงานนี้แล้วเธอจะทำสีหน้าอย่างไร พอคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวจากพ่อ แล้วไปยืนอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อคอยจับสังเกตและหาโอกาสที่จะเข้าถึงตัวเจ้าสาวผู้โดดเด่นที่สุดในงาน เธอสวยจริง ๆ จนอรุณอยากได้นั่นแหละ และกำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงเจ้าสาวคนสวยได้
ในเวลานี้ใบหน้าของพิมภาช่างสวยโดดเด่น อรุณนึกเสียดายอยู่ลึก ๆ เพราะว่าถ้าหากวันนั้นเขาเป็นคนได้ตัวเธอมามันจะดีขนาดไหน อย่างน้อยก็ได้ลองของก่อนที่อัศวินจะได้ครอบครองหญิงสาวอย่างแน่นอน
ลูกเมียเก็บเมียน้อยแบบนั้นมีอะไรดีถึงคู่ควรกับเธอกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย ได้แต่มองคู่ชายหญิงเดินเคียงข้างกันไปมาในงานทักทายคนนั้นคนนี้ เจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้เลย เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกถึงเลือดในกายมันไหลเวียนทั่วร่างถึงได้วางมือ หยุดดื่มเพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้เป็นพ่อเดือดร้อนเพราะทุกครั้งที่เมาชายหนุ่มจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เสียทุกที