บทที่ 1 งานเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่...

1712 Words
บทที่ 1 งานเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่...   “เอาล่ะ แล้วเรื่องการรับพนักงานใหม่ของแผนกการตลาดเป็นยังไงบ้าง” เสียงเข้มดังขึ้นภายใต้ความเงียบและบรรยากาศอันแสนน่ากดดัน คนร่างสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตรงจุดศูนย์กลางของห้องประชุมโดยมีพนักงานภายใต้การดูแลของเขาอีกสิบกว่าชีวิต ทันทีที่ประธานหนุ่มเอ่ย หัวหน้าทีมการคัดเลือกพนักงานใหม่ก็เกิดอาการสะดุ้งนิดหน่อย เธอตอบกลับอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน “ค่ะท่านประธาน เรื่องการรับพนักงานใหม่เราได้คัดเลือกมาแล้วคร่าวๆ จากห้าร้อยกว่าคนที่ส่งมาเหลือหนึ่งร้อยคนค่ะ ทางทีมคัดเลือกยังพยายามคัดเลือกเด็กจบใหม่ที่มีผลงานยอดเยี่ยมอยู่” ตงหานขมวดคิ้ว “งั้นเอาใบสมัครของพวกเขาส่งมาให้ผมอย่างทุกครั้งก็แล้วกัน ผมจะคัดเลือกด้วยตัวเอง” ชายหนุ่มพูดพลางขบคิดถึงปัญหาภายในบริษัทที่ตอนนี้ ฝ่ายการตลาดค่อนข้างขาดคน หากหาคนไม่ได้เรื่องเข้ามา จากที่งานจะเดินหน้าและดีขึ้นมีหวังคงแย่ลงเพราะแค่เลือกคนใหม่มาไม่ดี เขาเห็นการทำงานของฝ่ายคัดเลือกพนักงานอยู่สองสามครั้งแล้วรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจ หลายครั้งพวกคนกลุ่มนั้นมักจะเลือกรุ่นน้องคนสนิทหรือเลือกคนที่จบจากมหาลัยเดียวกันกับพวกเขาเพื่อเข้ารับการทำงาน บริษัทตงไห่กรุ๊ปถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองเพียงลำพังและได้รับการสนับสนุนจากคนในแวดวงธุรกิจในระดับหนึ่ง อายุของบริษัทยังถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการธุรกิจ แต่เพราะการเติบโตและก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดดที่ทำให้เป็นที่จับตามองและเสี่ยงต่อการถูกกำจัดมากจากนายทุนรายใหญ่กว่าเขา ไห่ตงหานเกิดความกังวลถึงเล่ห์เหลี่ยมในวงการธุรกิจ ถึงเขาจะมีไหวพริบในการจัดการปัญหาที่เข้ามาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะละเลยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปได้ ตั้งแต่เด็กเขามักได้ยินผู้ใหญ่พร่ำสอนว่า กันไว้ดีกว่าแก้ เมื่อโตขึ้นและมีประสบการณ์ในการทำงานมามากพอสมควร เขาก็เห็นว่านั่นคือสัจธรรมที่แท้จริงในแวดวงธุรกิจ ไม่ควรปล่อยปละละเลยส่วนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันส่วนใหญ่ไว้ เช่นเดียวกันกับการคัดเลือกพนักงาน ถึงแม้ตอนนี้บริษัทของเขาจะดังระดับประเทศและมีลูกจ้างค่อนข้างมากแต่เขาก็ตั้งใจที่จะเลือกคนเก่ง และคนมีศักยภาพเข้ารับการทำงาน การทำงานที่บริษัทของเขาถึงแม้ความเก่งจะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจ และเป็นพื้นฐานที่หลายบริษัทต้องการแต่เขาก็อยากมองคนมากกว่านั้น อยากที่จะรู้พื้นเพนิสัยใจคอในการใช้ชีวิต เขาต้องการให้ลูกน้องเป็นพลังงานบวกให้แก่กันและคอยซัพพอร์ตกันมากกว่าที่จะต่างคนต่างทำงานและวางมาดวางอีโก้ใส่กัน หากเข้ามาแล้วเข้ากับทุกคนในที่ทำงานไม่ได้เก่งแค่ไหนเขาคงต้องตัดชื่อออก วิสัยทัศน์ของไห่ตงหานมองว่าสังคมการทำงานที่ดีจะส่งผลให้พนักงานรักบริษัทและอยากมาทำงานมากขึ้น ผลที่ได้มากกว่าความสุขของพนักงานนั่นคือคุณภาพของงานที่มีประสิทธิภาพ ตงหานเป็นคนที่ฉลาดในการมองคน เพียงแวบเดียวเขาก็สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่านิสัยของคนตรงหน้าเป็นคนอย่างไรและมีข้อดีข้อเสียอย่างไร นั่นทำให้เขาออกคำสั่งให้ทีมคัดเลือกกรองคนสมัครงานหนึ่งรอบ ส่วนรอบที่สองเขาก็จะเป็นคนคัดเลือกพนักงานด้วยตัวเอง ประธานหนุ่มเป็นคนที่ทั้งเอาจริงเอาจัง และมีความสามารถในการทำงานราวกับว่าเขามีพรสวรรค์ และเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำของบริษัทโดยเฉพาะ ในเวลาปกติไห่ตงหานก็จะทำเหมือนตัวเองเข้าถึงง่าย เพื่อจะไม่ได้เกิดช่องว่างระหว่างเจ้านายและลูกน้องถึงแม้จะพอมีประตูใสๆ กั้นอยู่และเขียนป้ายแปะว่าห้ามล้ำเส้น แต่นั่นก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการคุยงานกับลูกน้อง ส่วนช่วงเวลาการทำงานนั้นเขาทั้งเอาจริงเอาจังและไม่ปล่อยให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวงาน เคยมีข่าวจากวงในว่าพนักงานหญิงคนหนึ่งตั้งใจทำงานผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะได้มีช่วงเวลาที่สามารถอยู่ใกล้ๆ ตงหาน แน่นอนว่าเขาไล่อีกฝ่ายออกทันทีอย่างไร้เยื่อใย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครต่อใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้านายของพวกเขา ภายใต้รอยยิ้มที่เข้าถึงง่ายนั้นแสนช่างอำมหิตและเลือดเย็น!!! หลังจากนั้นทำให้พนักงานทุกคนในบริษัทไห่ตงกรุ๊ปเอาจริงเอาจังกับงาน และไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด! นั่นเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่บริษัทไห่ตงกรุ๊ปของพวกเขาเจริญเติบโต จนมูลค่าทางด้านหุ้นส่วนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ตงหานต้องเลือกสองคนในหนึ่งร้อยคนเพื่อเข้ารับการทำงาน นั่นมันหมายความว่าอัตราแข่งขันสูงถึงหนึ่งต่อห้าสิบ จากการเปิดเอกสารสมัครงานคร่าวๆ ทำให้เขาได้ชื่อพนักงานใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว แต่มือหนาก็ยังคงเปิดกระดาษกองใหญ่ ที่รวบรวมรายชื่อผู้สมัครอยู่เรื่อยๆ เผื่อตนจะได้พบกับบางคนที่มีความสามารถน่าสนใจ และจะได้ไม่ต้องพลาดโอกาสปล่อยคนเก่งๆ หลุดมือไป ห้องประชุมเกิดความเงียบ นี่เป็นภาพที่เหล่าหัวหน้าแผนกมักจะพบเห็นหลายต่อหลายครั้ง เสียงกระดาษพลิกดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เครื่องปรับอากาศที่ระบายลมเย็นๆ ออกจากตัว นั่นทำให้ทุกอย่างปะปนกันกลายเป็นความกดดัน ดวงใจของพนักงานที่เข้าร่วมประชุมเหมือนลุ้นระทึกไปด้วย ในหน้ากระดาษบันทึกประวัติของผู้สมัครหนึ่งคน... มือแกร่งจากที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะกลับกระตุกเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจับจ้องมองที่รูปสมัครงานของหญิงสาวที่แสนจะคุ้นหน้า ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากและแก้มที่แดงระเรื่อคล้ายกับสาววัยแรกแย้ม ที่ขวยเขินและพยายามเก็บอาการแต่ก็ปิดบังไม่มิด ดวงตากลมโตที่ประกายความสดใสและความมีชีวิตชีวา ตงหานคาดเดาได้เลยว่าเมื่อตอนที่อีกฝ่ายไปถ่ายรูปใบนี้นั้น เหล่าตากล้องเป็นอันต้องยืนยิ้มตามและเคลิบเคลิ้มไปกันกลิ่นอายความสดใสนี้ ไห่ตงหานจำเจ้าของใบสมัครนี้ได้ดี ครั้งหนึ่งในชีวิตเขาก็เคยเติบโตมาพร้อมๆ กับเธอ ทั้งสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่ายยังคงติดตรึงอยู่ในใจตั้งแต่เด็ก ในหัวของเขาฉายชัดภาพเธอซ้ำไปมาทั้งที่พยายามไม่คิดถึงมาแสนเนิ่นนาน “หึ” คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานหลุดหัวเราะออกมา เขาเรียกความสนใจจากพนักงานคนอื่นๆ ได้อย่างดี ไห่ตงหานผู้นั่งดึงกระดาษสมัครงานออกมาจากกองสามฉบับ “รอบนี้รับสามคนแล้วกัน” “มีคนที่มีผลงานน่าสนใจเหรอคะ” หนิงเว่ยเลขาสาววัยกลางคนท่าทีเคร่งขรึมเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ เจ้านายของเธอยกยิ้มก่อนจะตอบกลับ “ครับ มีคนที่ดูมีแววจนผมอยากจะเริ่ม ร่วมทำงานด้วยเร็วๆ เลยล่ะ” หนิงเว่ยเหลือบตามองใบสมัครที่ท่านประธานของเธอหยิบขึ้นมาจ้องมองตั้งนานสองนาน ดวงตาใต้กรอบแว่นคล้ายจะมองเห็นปีกขนนกสีดำที่กางสยายปีก ภาพนี้ไม่ต่างกับมารร้ายที่กำลังวางแผนการทำลายโลก หนิงเว่ยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ร้ายบางอย่างที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา ภาพนี้เธอมักจะเห็นทุกครั้งที่เจ้านายของเธอกำลังแอบคิดเรื่องชั่วร้ายหรือกำลังจะเล่นงานใครอยู่ เลขาสาวกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ใจเธอกำลังคิดคำอวยพรผู้ที่เป็นเป้าหมายของเจ้านายของเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง   ในเช้าวันใหม่ภายในลานชั้นแรกของบริษัทนั้นช่างมีอากาศสดใส ท้องฟ้าทอประกายสีน่ามอง อากาศเย็นสบายและคล้ายกับมีหมู่มวลดอกไม้มหาศาล กำลังปกคลุมใครบางคนอยู่ กึก กึก กึก เสียงรองเท้าสนเตี้ยกระทบกับพื้นกระเบื้องไม่ได้เรียกความสนใจของผู้คนมากนัก แต่ทว่าด้วยรูปร่างหน้าตาและความสว่างไสวยามขยับกายแต่ละท่วงท่า ต่างเรียกมนต์สะกดให้ใครๆ ต่างก็หันมองเธอไม่ว่าจะทั้งชายหรือหญิง ฮวนฉานฟางเกิดความประหม่าเล็กน้อย ที่ตัวเองต้องยืนอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า แต่เพราะตัวเธอเป็นพวกคนอัธยาศัยดีและยิ้มง่าย ริมฝีปากสีระเรื่อยกยิ้มกว้างให้กับหลายๆ คนที่มองเธออยู่ “โห” “โห” “โห” ทุกย่างก้าวที่เดินผ่านกลับมีเสียงพึมพำหลุดจากลำคอของใครหลายๆ คน เวลาใกล้เข้างานของพนักงานบริษัทตงไห่กรุ๊ป จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ที่ใครๆ ต่างพึมพำกันเป็นทอดๆ คล้ายกับละเมอเพ้อฝัน พวกเขาเคลิบเคลิ้มราวกับได้พบเจอนางฟ้าหรือเทพธิดาจำแลง ตัวต้นเหตุยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นเต้น ฮวนฉานฟางมัวแต่ขบคิดถึงการทำงานครั้งแรก หลังจากจบการศึกษาระดับชั้นมหาวิทยาลัยของเธอ “นั่นใครน่ะ” “ไม่รู้เหมือนกัน...คงจะเป็นพนักงานใหม่ล่ะมั้ง” “น่ารักดีแฮะ” “สวยชะมัด คนของแผนกไหนกัน” “เธอเป็นดารารึเปล่า สวยขนาดนี้ทำไมไม่มีใครรู้จักกัน” หลิงซินอี้กระแอมเบาๆ เธอก้มมองชุดของตัวเอง ที่ทั้งแสนจะทันสมัยและเผยส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่นั่นมันไม่ทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นเลยเมื่อยืนคู่กับเพื่อนสนิท ที่แต่งตัวเพียงแค่ชุดเดรสสีขาวและรองเท้าคัชชูส้นเตี้ย จากปกติดูไม่เหมือนคนธรรมดาอยู่แล้ว การสวมชุดสีขาวและเปล่งประกายออร่าสดใสนี่ ทำให้หลิงซินอี้รู้สึกว่าตนกำลังเดินอยู่เคียงข้างนางเซียนผู้งดงามแห่งแดนสวรรค์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD