บรรยากาศภายในห้องอาหารของบ้านอัศวเมธินที่วันนี้แลดูอบอุ่นชื่นมื่นกว่าทุกวันเพราะสมาชิกในบ้านอยู่กันครบ ขาดก็แต่บุตรสาวคนเล็กที่กำลังเรียนต่ออยู่ต่างประเทศ มีเพียงเขาที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล อัศวเมธิน มาร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน นานๆทีจะมีบรรยากาศพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้
เจ้าสัวณพ อัศวเมธินประมุขใหญ่ของบ้านมองหน้าลูกชายด้วยยิ้มเต็มหน้า ปลาบปลื้มใจ ขณะตักอาหารชั้นดีที่วันนี้สั่งให้พ่อครัวรังสรรค์ให้พิเศษกว่าทุกวัน
ขณะที่คุณหญิงเปรมวดีก็คอยตักอาหารเอาใจคนเป็นสามีที่มีอายุมากกว่าสิบปีด้วยสีหน้ามีความสุข
“แม่จะพูดกับเราเรื่องหมั้นพอดี” สายตาพุ่งตรงมายังอาจารย์หนุ่มที่กำลังตักกุ้งตัวใหญ่ใส่จาน พลอยทำให้เขาชะงักมือ มองหน้าสบตามารดา
“ว่าไงนะครับ”
“เรื่องหมั้น กับหนูปาย แม่คิดว่าลูกไม่ลืมนะ” จบประโยคชายหนุ่มถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย กรามขบแน่นขึ้นเป็นสันนูนเด่นชัด สีหน้าเคร่งเครียดทันตา
“แม่ได้คุยตกลงกับคุณนิตยาเรียบร้อยแล้วเรื่องหมั้นของเรากับหนูปาย”
“ทำไมแม่ไม่คุยกับผมเรื่องนี้ก่อน” อาหารแสนอร่อยดูจะจืดชืดลงไปทันตา กับบรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้น
“แม่คิดว่าปราบรู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว” คุณเปรมวดี พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
“กับเด็กนั่นที่ปราบเลี้ยงไว้ ก็รีบจัดการให้เรียบร้อยซะอย่าให้มาวุ่นวายกับหนูปายนะ แม่บอกไว้ก่อน ทางที่ดี เลิกไปได้ละ มันนานเกินไปแล้ว” น้ำเสียงเฉียบขาด กับสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจของคุณหญิงเปรมวดี ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในขณะเจ้าสัวณพเพียงมองหน้าบุตรชายด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้คิดจะพูด หรือเอ่ยสำทับใดๆ ปล่อยให้ภรรยาของตนเป็นคนจัดการในเรื่องนี้
เพราะอย่างไรลูกชายคนโตของเขาก็จะต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมและคู่ควรมากกว่า
ถ้าไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่ลูกชายเขาเลือกหามาก็ต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันกับลูกชายเขา ไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่ทำมาหากิน อะไร เอาแต่นอนใช้เงินลูกชายเขาไปวันๆ
อิงค์วิฬาร์นั่งอ่านสคริปต์ข่าวที่ต้องใช้สำหรับเตรียมตัวเทสหน้ากล้อง ทบทวนเพื่อให้ตัวเองมั่นใจหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ทดลองอ่านข่าว ผ่านกระจกเงาอยู่คนเดียวลำพังจนกระทั่งรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจึงได้เดินมานั่งพัก
ขณะกำลังครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเสียงรถยนต์คุ้นหูดังแว่วมา พลอยทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ความคิดตนเอง นั่งรอด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ ขณะที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในบ้านด้วยสภาพเมามาย แทบเดินทรงตัวไม่ไหว หญิงสาวมองสภาพของคนรักแล้วถึงกับนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจว่าเขาขับรถกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรกัน เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ปราบขึ้นไปนอนข้างบนก่อนนะคะ”
“อืม” รับคำในคอ ก่อนจะเหลือบตามองหน้าเธอเล็กน้อย ยินยอมให้เธอประคองเขาพาขึ้นเดินไปนอนบนเตียงหลังใหญ่ที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้จนเย็นฉ่ำ
หญิงสาวยืนมองสภาพคนเมา แล้วได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันไปหยิบผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้เขา
ในขณะที่เขาค่อยๆปรือตาขึ้นมอง ใช้สองแขนโอบรัดเอวบางดึงเข้ามาหา จนเธอที่ไม่ทันตั้งตัว ถึงกับเสียหลักล้มลงทับตัวเขา
“อุ้ยพี่ปราบ” เสียงร้องเรียกนั้นด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกพลิกร่างขึ้นทาบทับบนตัวเธอ บดเคล้าคลึงริมฝีปากบาง แล้วค่อยบรรเลงบทรักที่แสนเร้าร้อนนั้นโดยที่เธอไม่ทันระวังและตั้งตัว
จวบจบฟ้าสาง ความมืดกำลังจางหายพร้อมกับแสงสว่างสาดส่องผ่านริ้วม่านกระทบนัยน์ตาหญิงสาวที่เพิ่งข่มตาหลับได้ไม่นานด้วย ความอ่อนเพลีย ทั้งสองต่างนอนกอดก่ายกัน หลังจากดื่มด่ำกับบทรักที่ต่างเติมเต็มให้กันและกันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์แผดร้องดังขึ้น หญิงสาวปรือตาขึ้นมอง แม้จะเมื่อยเนื้อตัวสักแค่ไหนแต่ หล่อนก็มีความสุขมากที่สุดที่ได้รับอ้อมกอดจากคนที่เธอรัก
ความขุ่นเคืองน้อยใจที่มีแทบมลายหายสิ้น
“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นล่ะ ไม่ต้องไปสนใจ” เสียงทุ้มห้าว แปร่งพร่าเอ่ยบอก โดยไม่คิดลืมตาขึ้นมองเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่เธอพยายามผละตัวออก เพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือนั่นมาให้เขา
ทว่า มือหนาที่เอื้อมมาจับฉุดแขนเธอไว้ กลับทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด ล้มตัวลงไปนอนกอดก่ายเขาแทนอย่างมีความสุข
“เผื่อเป็นงานนะคะ”
“ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย” เขาให้เสียงโทรศัพท์นั่นร้องอีกพักใหญ่ ในขณะที่เขาเองก็เริ่มบรรเลงบทรักกับเธออีกครั้ง ความสุขที่ถูกตอกอัดย้ำลงไปอย่างหนักแน่นยิ่งทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้าน ร้องครวญครางเสียงหลง กว่าที่เขาและเธอจะได้นอนหลับสนิทก็กินเวลาไปอีกเกือบชั่วโมง
อิงค์วิฬาร์ลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดลำลองกระโปรงยาวสีขาวสบายตัว ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับกะละมังใบน้อยสีขาว เดินกลับเข้ามาในห้องนอนที่เขายังคงนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงในมือกอดเพียงหมอนอิง มีผ้าห่มคลุมกายที่เปลือยเปล่าของเขา
สองมือเรียวค่อยๆบิดผ้าจนหมาดก่อนจะเช็ดไปที่ใบหน้า ลำคอ ท่อนแขนทั้งสองข้างแล้วค่อยเช็ดตามเนื้อตัวส่วนต่างๆอย่างเบามือ เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกตัวตื่น
กระทั่งเสียงข้อความดังขึ้น ทำให้เธอหันไปมองด้วยความสนใจ และคิดว่าอาจจะเป็นธุระและเรื่องงานสำคัญ
แม้จะแอบลังเลเล็กน้อย ไม่บ่อยเลยที่เธอจะถือวิสาสะหยิบจับโทรศัพท์เขามาดูเล่น ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยมีความลับกับเธอเลยและไม่เคยห้ามเธอเลยสักครั้ง แต่เธอก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากแตะต้อง หรือวุ่นวายให้เขาต้องอึดอัดรำคาญใจได้
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูลึกๆแล้วเธอก็อยากจะรู้ เพราะคิดว่าถ้าหากเป็นเรื่องงานหรือเรื่องด่วนเธอจะปลุกเพื่อบอกเขาได้
ทว่า
...
‘พี่ปราบทำอะไรอยู่คะ ทำไมไม่รับสายปาย ปายคิดถึงนะคะ’ กับรูปถ่ายที่แนบมาให้ จนทำให้เธออยากกดเข้าไปดูด้วยความอยากรู้
แค่น้อง...ทำไมต้องบอกคิดถึงกัน หัวใจหล่อนเต้นแรงเร็ว
ท้ายที่สุดเธอก็ทนความอยากรู้นั่นไม่ไหว ตัดสินใจกดเข้าไปดู ด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้นทุกขณะ