EP.5 LOVE LIE ยินดีต้อนรับค่ะ

2670 Words
EP.5 LOVE LIE “ป้าจันทร์ ป้าจันทร์จ้ะ???” ฉันร้องตะโกนเรียกป้าจันทร์ ญาติเพียงคนเดียวที่ฉันมี แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณตอบกลับมา ที่ดินของป้าจันทร์ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวโพดก็ยังคงอยู่ในกระสอบ ยังไม่ได้เอาไปส่งขายเช่นเคย หลังจากงานศพของยายฉันก็ไม่ได้เจอป้าจันทร์อีกเลย เพราะฉันมัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องงานของยาย และค่าใช้จ่ายของงานทั้งหมด ที่ฉันเป็นคนออกเองจากรายได้พิเศษทั้งหมดที่มี โดยไม่เอ่ยปากขอทางครอบครัวป้าจันทร์แกให้ช่วยเหลือเลยแม้แต่บาทเดียว ถ้าจะบอกว่าฉันโกรธหรือเคืองบ้างมั้ย ก็คงต้องตอบว่าใช่เพราะตั้งแต่ยายจากไป ป้าจันทร์ก็เหมือนออกห่างฉันไปทันที ไม่ต้องพูดถึงเพลิงกับลุงอิน เพราะสองคนนั้นแทบไม่เคยนับฉันเป็นญาติมาตั้งนานแล้ว “บุกรุกบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ดีนะ” ขณะที่ฉันเดินวนไปรอบ ๆ บ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ของป้าจันทร์ ก็มีเสียงของใครอีกคนเอ่ยทักขึ้น ทำเอาฉันตกใจถอยชนประตูบ้านเข้าอย่างจัง ปัง!! แม้จะเจ็บแต่ก็ต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร “คุณ ...อีกแล้ว?” ฉันหันไปทางเสียงและชะงักไป “นาย..นายครับ" เสียงคนตะโกนดังมาจากทางหน้าประตูทางเข้าสวน “นายครับ ให้ผมเริ่มเคลียร์ที่จากตรงไหนก่อนดีครับ?” เสียงของผู้ชายอีกคนเดินพูดกึ่งตะโกนมาทางเรา ก่อนจะเดินเข้ามาหาเจ้านาย นั่นก็คือ ลูอิสตรงหน้าของฉัน “ถ้าเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ ก็ไปตายเถอะ” ชายคนนั้นสวนกลับไปด้วยใบหน้านิ่ง ๆ “เออ ครับ ๆ” ลูกน้องคนนั้นหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งกลับไป ที่ดินฝั่งไร่ข้าวโพดทันที เขาหันมาคุยกับฉันต่อ ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่มีรอยยิ้มใด ๆ “ว่าไง? เธอกำลังบุกรุกที่ดินของฉันอยู่” คนตรงหน้ากอดอกมองฉันอย่างเสียงแข็ง ๆ “แต่นี่เป็นบ้านของป้าฉันนะ?”ฉันตอบอย่างเริ่มไม่มั่นใจแล้วจริง ๆ ลูอิสหยิบกระดาษหนึ่งแผ่น กางออกตรงหน้าของฉันจนแผ่นกระดาษนั้นแทบจะชนกับปลายจมูก “เธอ! อ่านหนังสือออกใช่มั้ย?” เขาถามด้วยสายตาเหยียด ๆ ฉันไม่ตอบแต่ก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านอย่างละเอียด ทั้งหมดระบุว่า ที่ดินพื้นนี้ได้ถูกขายให้กับบริษัทอสังหารายใหญ่ที่มา กวาดซื้อที่ดินพวกชาวบ้านไปจนเกือบหมดแล้วในละแวกนี้ และเหลือแค่ที่ของยายเท่านั้นที่พวกเขาไม่ได้มันไป “บริษัท victory (วิคตอรี่)” ฉันอ่านชื่อนั้นอีกครั้งเพราะเคยเห็นยายบ่น ๆ ถึงอยู่บ้าง “ตอนนี้ที่ดิน 10 ไร่ ในส่วนนี้เป็นของบริษัทฉันทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่ของป้าหรือยายเธออีกแล้ว”เขาตอบออกมาตามตรง “ป้าจันทร์ ลุงอินทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!” ฉันกำหมัดแน่นอย่างจุกอก จนพูดไม่ออก ศพยายยังไม่ทันเผาก็ติดต่อจะขายที่ให้พวกหน้านาย พอโฉนดตกอยู่ในมือได้ไม่ข้ามคืนก็ขายอย่างไม่คิดเสียดายเลย พวกเขาทำกับยายแบบนี้ ได้ยังไงกัน? นั่นคือคำถามภายในใจของฉัน “บริษัทที่คุณทำงานให้ ซื้อที่ดินส่วนนี้ไปเท่าไหร่เหรอคะ?” ฉันถามไปอย่างสงสัย อีกฝ่ายจุดบุหรี่และ มองฉันผ่านแว่นตากันแดดนั้นนิ่ง ๆ “50 ล้าน แค่นั้นเอง..” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะสูบบุหรี่ต่อและพ่นควันใส่หน้ากันแบบไม่มีความเกรงใจฉันเลยแม้สักนิด “50 ล้าน” ฉันพูดออกมาเบา ๆ แม้ว่าจะแอบตกใจเรื่องจำนวนเงิน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ ที่คนอย่างลุงอินจะรีบขายที่ดินตรงนี้ทันทีทันใด ฉันตัดสินใจคืนกระดาษแผ่นนั้นให้เขาไป และยอมรับความจริงในเรื่องนี้ว่าที่ดินของยายได้ถูกขายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ผู้ชายที่ชื่อลูอิส รับกระดาษไป แต่ก็มองฉันแบบหัวจรดปลายเท้า และหยุดตรงที่เท้าของฉันสักพัก “ขอโทษด้วยที่มาบุกรุก เพราะไม่ทราบมาก่อนจริง ๆ ว่า../ ไม่เป็นไร พวกนั้นคงไม่ได้บอกเธอ” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ เขาก็สวนขึ้นมาก่อน เสียงรถไถ รถกระบะอีกหลายคันพากันเข้ามาจากทางประตูด้านหน้าที่เปิดออก มีชายฉกรรจ์หลายคนเดินเข้าออกสวน เพื่อยกเอาของใช้ต่าง ๆ ของบ้านป้าจันทร์ออกไปขึ้นรถ เพื่อเอาไปทิ้งและเคลียร์ที่ดินให้โล่งเตียนเพื่อสร้างโรงแรมหรู ในตอนที่ฉันหันหลังให้กับเขา เพื่อเตรียมจะเดินกลับบ้านตัวเอง ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า.. ฉันควรจะพูดอะไรบางอย่าง “ที่ดินบ้านของฉัน มันเคยเป็นที่ดินผืนเดียวกับที่บริษัทคุณซื้อเอาไป” ฉันมองไปที่ทางเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง และพูดขึ้น “ทางเข้า ทางออก มันก็คือทางเดียวกัน” ฉันชี้ไปทางประตูรั้ว และทางเดินที่ฉันเคยใช้ปกติทุกวัน “ฉัน.." ฉันลำบากใจที่จะเอ่ยขอ เพราะเขาคือคนแปลกหน้า ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และยัง.. “เธอสามารถใช้ทางเดินเข้าออกได้ตามปกติ ไม่ต้องลำบากไปร้องขอคำตัดสินของศาลหรอก” ลูอิสทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นและใช้เท้าเหยียบทับมันไป “ฉันขี้เกียจให้มันวุ่นวาย” เขาพูดอย่างตัดความรำคาญ “อื้ม” ฉันตอบไปสั้น ๆ “คุณอนุญาตแล้วนะคะ” ฉันย้ำอีกครั้ง ซึ่งชายคนนั้นก็พยักหน้ารับ พอฉันจะเดินข้ามไปยังเขตของฝั่งตัวเอง หมับ!! มือของเขาก็คว้าจับฉันเอาไว้ก่อน ทำเอาฉันรีบชักมือคืนทันทีอย่างตกใจ “แต่ถ้าให้ฉันแนะนำทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเธอ...” เขาเดินมาหยุดข้าง ๆ ฉัน และมองตรงไปที่บ้านทรงไทย ที่ป้ายสลักคำว่า จันทร์ผาแบบสวยงามนั้น “ฉันจะขายที่ดินตาบอดนั้นซะ ในตอนที่ยังสามารถเสนอราคาขายได้" เขาพูดอย่างจ้องมาที่ฉัน นิ่ง ๆ "และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเงินที่ชาตินี้ทั้งชาติ เธอก็หามันมาเองไม่ได้” เขาพูดออกมาตรง ๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย เขาค่อย ๆ ถอดแว่นกันแดดออกเพื่อมองมันชัด ๆ อีกครั้ง มันเป็นการสบสายตากับผู้ชายคนหนึ่งที่นานมากที่สุดตั้งแต่ฉันเกิดมาเลยจริง ๆ ฉันมองแววตาของเขาราวกับต้องมนต์สะกด แต่ก็พยายามรวบรวมสติไม่ให้คิดไปไกลกว่านั้น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ” ฉันตอบไปแบบเรียบนิ่งและสู้สายตาคู่นั้นอย่างพยายามไม่หวั่นไหว “แต่ต่อให้ชาตินี้ฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ หลังนี้ เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจมากมาย” "จนเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อมันไม่ได้” ฉันสวนกลับไปทั้งที่เสียงสั่น ๆ “ขอตัวนะคะ” Louis part “เอาไปเขียนนิยายเถอะ ถ้าโลกจะสวยขนาดนั้น” ผมพูดตามหลัง ผู้หญิงหน้าสวยใสแต่ไร้สมองคนนั้น “นายครับ โทรศัพท์จากคุณท่านครับ” ลูกน้องอีกคนเดินถือโทรศัพท์เดินเข้ามาหายื่นให้ผม .... “ฮัลโหล ครับพ่อ” ผมรับสายทันที “เป็นไง เรียบร้อยดีมั้ย?" “ไอ้พวกนักลงทุนโทรมาเร่งฉันทุกวัน” พ่อบ่นขึ้นด้วยเสียงที่รำคาญ ๆ “เหลืออีก 10 ไร่สุดท้ายที่เจ้าของไม่ยอมขาย” “พอดียายเจ้าของที่คนนั้นยกมรดกให้ลูกกับหลานคนละครึ่ง" ผมตอบไปอย่างถอนหายใจ “เลยมีปัญหานิดหน่อยนะพ่อ” ผมอธิบายไปอย่างละเอียด “ไงก็ฝากแกจัดการด้วยแล้วกัน” พ่อรู้จักผมดีว่า ผมจริงจังกับการทำงานมากแค่ไหน และรู้ดีว่า ไอ้ที่ตรงนี้เจ้าของเก่าก็ไม่ยอมขายง่าย ๆ เพราะท่านเองก็เคยมาด้วยตัวเองแล้วหลายครั้งหลายครา “ไม่ต้องเลื่อนวันกำหนดก่อสร้างนะ” ผมพูดใส่โทรศัพท์ “เตรียมหาฤกษ์ตอกเสาเข็ม สร้างโรงแรมหรูที่สุดในภาคเหนือได้เลย” ผมตอบไปด้วยความมั่นใจ “90 วัน มันก็นานเกินไปแล้ว (สำหรับผู้หญิงซื่อ ๆ แบบเธอ)” ผมมองไปที่บ้านทรงไทยเดิมนั้น ที่ยังคงเปิดไฟอยู่ “อื้ม ถ้าสร้างเสร็จจริง เราก็รับเละเลย ทั้งคาสิโน ทั้งโรงแรม” พ่อพูดต่อในเรื่องทางธุรกิจอย่างหัวเราะชอบอกชอบใจ “แค่นี้แหละ ฉันไม่กวนเวลาของแกแล้ว” พ่อพูดก่อนสายโทรศัพท์จะตัดไป ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา ก่อนจะจดบันทึกระยะเวลา 90 วันเอาไว้ รวมถึงเขียนเป้าหมายเอาไว้ “โฉนดที่ดินของเพลงพิณ 10ไร่ 50ล้านบาท!" ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ และเงยหน้ามองลูกน้องคนเดิม “ไปสืบประวัติยัยนั่นมาทั้งหมด ฉันต้องการก่อนเที่ยงคืนวันนี้” ผมออกคำสั่งไปเพราะไม่มีเวลามากนักที่จะจัดการยัยซื่อบื้อนั่น “ครับนาย” ลูกน้องพยักหน้ารับ “ร้อนฉิบหาย” ผมถอดสูทออก ก่อนจะมองดูความเรียบร้อยไปรอบ ๆ “พรุ่งนี้เอารถบ้าน มาตั้งที่นี่ด้วยนะ” “กูขี้เกียจขับไปขับกลับโรงแรมในเมือง” ผมพูดทิ้งท้าย ก่อนจะคว้ากุญแจรถเพื่อขับกลับโรงแรมในตัวเมืองทันที @ โรงแรม The city of north ทันทีที่ผมก้าวขากลับมาที่ห้อง ก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งถอดเสื้อผ้ารออยู่บนโซฟาในห้องเรียบร้อยแล้ว ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงหน้าเธอคนนั้น ใบหน้าที่สวยเครื่องหน้าที่โดดเด่น และหุ่นที่เพรียวบาง ขัดกับหน้าอกขนาดใหญ่ที่เป็นทรงกลม ๆ “ดารา?" ผมทวนถามอีกครั้ง เพราะผมคุ้น ๆ หน้าเธอ แต่ก็ไม่ได้ติดตามพวกวงการบันเทิงอะไรมากนัก เธอคนนั้นพยักหน้ารับ และมองผมแบบยิ้ม ๆ “แต่เธอไม่ใช่ดาราคนแรกหรอก ที่เสียพนันจนต้องเอาตัวเข้าแลกแบบนี้” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อถอดเสื้อเชิ้ตออก และหาที่ระบายหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ดาราสาวตรงหน้าเหมือนจะเริ่มรู้งาน เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที ก่อนจะเริ่มชดใช้หนี้การพนันด้วยริมฝีปากของเธอเอง รวมไปถึง..ช่วงล่างที่ยังฟิตพร้อมใช้งาน ตับ ตับ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ “อื้ออส์ อ่าส์ อื้อออ” เสียงครางดังไปทั่วห้อง อย่างน่ารำคาญ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ผมกระแทกแรงขึ้นและหนักขึ้น "ซี้ดอื้อออส์ อ่ะ ๆ ๆ ๆ ” ค๊วบ!! ผมหยิบกางเกงในสีดำสนิทจากโคนขาของเจ้าตัว เอามายัดใส่ปากของยัยดารานั่น พร้อมกับกระแทกแบบหนักหน่วงอย่างไม่สนใจคนตรงหน้า ตับบบ ตับบบบ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ !! ตับ!!!! ในแว๊บหนึ่งของความคิดใบหน้าของผู้หญิงซื่อ ๆ คนนั้นก็เข้ามาในหัวของผมแบบไม่ทันตั้งตัว “เพลงพิณ--”ผมครางชื่อออกมาพร้อมทั้งหลับตาสนิท ตับ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ “อื้ออ อื้ออ อี้ดดด"คนตรงหน้ากระตุกไปสองสามครั้ง ก่อนที่ผมจะดึงออกทันทีที่เสร็จกิจกาม รวมถึงทิ้งถุงยางที่เต็มไปด้วยน้ำขาวขุ่นลงถังขยะ เป็นอันที่สาม ดาราสาวนอนหมดสภาพ ลงกับเตียงที่ยับยู่ยี่ น้ำรักที่เลอะเทอะใบหน้ายังคงทิ้งคราบเอาไว้ ผมจุดบุหรี่สูบอย่างผ่อนคลายเช่นทุก ๆ ครั้ง “จู่ ๆ ไปนึกถึงยัยซื่อบื้อนั่นเพื่อ?” ผมพ่นควันออกมาก่อนจะส่ายหน้าเพื่อสละใบหน้าของยัยนั่นออกไป ก๊อก ๆ ๆ “ประวัติของเด็กสาวคนนั้นที่นายต้องการครับ” ลูกน้องยื่น IPAD pro จอกว้างให้กับผม “ตรงเวลาดี” ผมเอ่ยชมเมื่อมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ฝากเอายาคุมฉุกเฉิน ให้ยัยดารานั่นกินด้วย” ผมพูดไปอย่างรอบคอบ ไม่อยากพลาดกับใครทั้งนั้น “แล้วนายไม่...” ลูกน้องมองไปที่หญิงสาวที่นอนเปลือยเปล่าบนเตียงอย่างหมดสภาพ ก่อนที่ลูกน้องจะเมินหน้าหนีทันทีอย่างไม่มองดาราสาวคนนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้อายต่อสายตาผู้ชายเลยก็ตาม ดาราสาวคนนั้นเธอเองก็มองมาทางผมนิ่ง ๆ “หนี้ที่เหลือ ฉันยกให้แล้วกัน" ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ “พอดีฉันมีธุระต้องทำ” ผมหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำสวมใส่ และถือไอแพดย้ายไปนอนอีกห้องที่จองเผื่อเอาไว้.. แน่นอนว่ามีผู้หญิงอีกเป็นร้อยที่อยากจะใช้หนี้ด้วยร่างกายของเธอ แต่ถ้าไม่สวยและเด็ดพอ ผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้โชคดีแบบนี้ทุกคนหรอกนะ มาเฟียอย่างผมจะทำอะไรคิดถึงผลประโยชน์ก่อนเสมอ ___________________ ...เช้าวันต่อมา.. Pleng Pin part เสียงดีดพิณ เพลงคีตาล้านนาดังขึ้นในยามเช้าตรู่ ของวันอาทิตย์.. ปกติยายจะนั่งตรงเก้าอี้โยกและร้องขอให้ฉันเล่นพิณอยู่เสมอ และเพลงโปรดที่ท่านชอบ ก็คือเพลงคีตาล้านนา ในวินาทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นจากพิณ ก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูไม้สักนั้น เสียงเพลงพิณบรรเลงไปจนถึงช่วงสุดท้าย และจบลงโดยปราศจากเสียงสะล้อ “ลูอิส?” ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีที่เพลงจบลง.. “เพราะดีนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” เขาพูดขณะที่ยืนพิงประตูแอบฟังฉันเล่นดนตรีมาสักพัก ฉันรีบลุกขึ้นทันที “คุณมาทำอะไรที่บ้านของฉัน?” ฉันถามไปอย่างไม่ค่อยพอใจหนัก “ฉันไม่ได้จะมาบุกรุกบ้าน เก่า ๆ ของเธอหรอก” เขาพูดและมองไปรอบ ๆ บ้านของฉัน “แต่มีเด็ก 6 คน มาร้องขอผ่านประตูที่ดินของฉัน" “บอกว่าจะมาเรียนฟ้อนรำ บ้านครูเพลงพิณ” เขาพูดก่อนจะขยับตัวหลบ ทำให้ฉันเห็นพวกเด็ก ๆ ที่ยืนตัวเกร็ง ๆ อยู่ใต้ถุนบ้าน “เด็ก ๆ” ฉันรีบเดินผ่านลูอิสและลงไปหาพวกลูกศิษย์ทันที "ขอบคุณนะคะ ที่พาเด็ก ๆ มาส่ง” ฉันเอ่ยขอบคุณไปจากใจจริงและก้มหัวให้เขาเล็กน้อย “ฝั่งโน้นคนงานเยอะ บางคนฉันก็จ้างมารายวันไม่รู้หัวนอนปลายเท้าหรอกนะ" “ยังไง เธอระวังเด็กของเธอไว้หน่อยแล้วกัน” เขาพูดขึ้นอย่างเตือน ๆ “ขอบคุณนะ” ฉันตอบไปอย่างมีมารยาท “ไหน ๆ พี่เขาก็เดินมาส่งเราตั้งไกล" “ให้เรารำให้เขาดู เป็นการตอบแทนดีมั้ยคะ?” ลูกแก้วเด็กสาวจอมแก่นก็เสนอความคิดออกมาอย่างไร้เดียงสา “คุณลูอิสเขาคงยุ่งมากนะ ครูว่า..” ฉันหันไปมองทางเขาแบบเกรงใจ “ฉันไม่เคยปฏิเสธ ถ้าใครจะอยากตอบแทนสิ่งที่ฉันทำให้” เขาตอบสั้น ๆ และหันไปมองทางลูกแก้ว “หรือว่าเธอไม่สะดวกให้ฉันเข้าไป?” เขาหันมาถามฉันด้วยใบหน้านิ่ง “ครูเพลงพิณคะ” สายไหมก็สะกิดเรียกฉันที่ทำตัวไม่ถูก “เอ่อ สะดวกค่ะ” “เชิญค่ะ ฉันยินดีอยู่แล้ว” “ถ้าคุณสนใจจะชมการแสดง นาฏศิลป์ของพวกเด็ก ๆ จริง ๆ” ฉันผายมือเชิญลูอิสเข้าบ้านเป็นครั้งแรก “ฉันสนใจ..”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD