"เจอแล้ว!!" มือหยาบและแห้งกร้านหยิบนิตยสารชั้นนำเล่มหนึ่งขึ้นมาดูหน้าปกชัดๆ สีหน้าของชนินทร์เผยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก แววตาคู่นั้นฉายประกายเจ้าเล่ห์แววยิ้มในดวงตายิ่งชวนให้ลึกลับ ภาพครอบครับของดีไซเนอร์ชื่อดังพร้อมบทสัมภาษณ์
"รอยตายแล้ว" ทันทีที่เขาเห็นหนังสือที่มีหน้าของผู้ชายที่มาส่งดรีม แผนการร้ายในหัวก็ผุดขึ้นอัตโนมัติ ชนินทร์เปิดไปที่หน้าที่เจ้าของแบรนด์ De Cher ให้สัมภาษณ์เพื่ออ่านรายละเอียดทันที จนกระทั่งสายตาหยุดอยู่ที่บรรทัดหนึ่ง มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน
"ชื่อ ดิเชร์ เสนีต์ งั้นเหรอ...อะไรเนี่ยประวัติอื่นๆล่ะ! ไม่เห็นมีเลย!"
"ต้องใช่แน่ๆ ฉันจำไม่ผิด" มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาปิดใบหน้าของดิเชร์ครึ่งหน้า ความโดดเด่นของใบหน้า และความหล่อมีออร่าทำให้ ชนินทร์มั่นใจได้ทันทีว่าไม่ผิดคน
"แล้วทำไม...มอเตอร์ไซค์ที่ขี่ถึงได้เก่าขนาดนั้น ช่างเถอะ!"
"อ้าว! ทำไมลงมาคนเดียวคน แล้วลูกล่ะ" เสียงทุ้มต่ำถามอย่างไม่สบอารมณ์
"ไม่รู้เหมือนกัน เข้าไปหาในห้องนอนก็ไม่เห็นแล้ว" เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่ใส่ใจคนตรงหน้า
ชนินทร์ถอนหายใจออกยาวๆ แล้วเอามือยกขึ้นลูบใบหน้าขึ้นลงอย่างกับคนหัวเสีย จนทำให้มุกดามองอย่างสงสัยจึงได้ถามออกไป
"มีอะไรอย่างงั้นหรอคะ เกิดอะไรขึ้น เวลามีอะไรทำไมคุณไม่บอกมุกบ้าง"
"เธอต้องได้รู้แน่แต่เดี๋ยวค่อยบอก อยู่เฉยๆก่อนเถอะ"
"ทุกวันนี้มุกเฉยมาตลอด พูดกับคุณวันๆหนึ่งไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ"
"พูดมากจริงๆ" ชนินทร์พูดพลางลุกขึ้นพร้อมกับหยิบนิตยสารไปด้วย แล้วเดินตรงไปที่รถยนต์เพื่อออกไปทำงาน
สนามแข่งรถเสนีต์
หลังจากที่ดิเชร์ส่งดรีมและรอให้เธอเดินเข้าไปด้านในบริษัท เขาจึงวนรถออกมาทันทีเพราะเช้านี้เขามีนัดกับเพื่อนๆที่สนามแข่งรถ ใช้เวลาแค่สามชั่วโมงในการซ้อม เขาต้องรีบกลับมาที่บริษัทก่อนเที่ยงเพื่อมากินข้าวกับดรีมและทำงานต่อในช่วงบ่าย โดยที่เขาได้แจ้งกับคนที่ดูแลเขาโดยตรงเรียบร้อย
มอเตอร์ไซค์คันเก่าขี่เข้าไปจอดที่ลานจอดรถแล้วเดินตรงเข้าไปยังที่พิททั้งๆที่ยังใส่หมวกกันน็อก กุญแจถูกเสียบที่ลูกบิดแล้วบิดออกแล้วใช้มือดันประตูให้เปิดออก ภายในห้องที่ยังไม่มีใครมาถึงดิเชร์จึงได้ถอดหมวกกันน็อกแล้วใส่แมสก์ปิดหน้าพร้อมกับใส่แว่นตาดำที่อยู่ในลิ้นชัก ก่อนจะเดินไปที่พิทฝั่งซ่อมบำรุงที่อยู่ด้านหลัง
ตุ่บ!
"อุ๊บ!" สองมือเล็กรีบยกขึ้นมาปิดปากเพราะเสียงของตัวเองที่เล็ดลอดออกมาด้วยความเจ็บที่ข้อเท้า เกิดจากที่ตนเองกระโดดลงจากกำแพงสูงจนทำให้ลงเท้าผิดท่าเลยทำให้ข้อเท้าพลิก
สองเท้าใหญ่หยุดชะงักทันทีแล้วหันไปมองเพื่อหาเสียงที่ตนเองได้ยิน ราวกับว่าเป็นเสียงเหมือนของหล่น ดิเชร์มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีอะไรตกที่พื้นแถวๆที่เขายืน ไม่มีแม้แต่คนหรือใครเขาจึงตั้งใจที่เดินต่อไปยังที่ตัวเองตั้งใจไว้ตอนแรก แต่ทว่าไม่ทันที่จะก้าวเท้า เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดเหมือนเป็นเสียงของผู้หญิงที่พูดอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ได้ยินได้ไม่ถนัดเสียเท่าไหร่
"ขอให้เจอด้วยเถอะ ไม่อย่างงั้นเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินแล้วยังมาเจ็บข้อเท้าอีก" น้ำเสียงที่พูดเพียงแผ่วเบามันพอที่จะทำให้ดิเชร์เดินไปตามเสียงได้ตรงจุด...ตรงที่มีเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักศึกษาอยู่ในท่านั่งพับเพียบและกำลังนวดไปมาที่ข้อเท้า
"เข้ามาได้ยังไง" น้ำเสียงแฝงความเคร่งขรึมและน่าเกรงขามจนทำให้พิ้งค์พลอยสะดุ้งแล้วหันหน้าไปตามเสียง
"ลิ...ลี...ลีออง พี่ลีอองจริงๆด้วย" ถึงแม้จะดีใจที่ได้เจอนักแข่งในดวงใจแต่พิ้งค์พลอยก็ทำได้แค่แอบชำเลืองใบหน้าใต้แมสก์ว่าตอนนี้กำลังโกรธตัวเองหรือไม่แต่ทว่าเพียงเสี้ยววิเสียงดุดันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ฉันถามว่าเข้ามาได้ยัง แล้วนั่นทำไมไม่ลุกขึ้นมา"
"เอ่อ จะให้หนูตอบคำถามอันไหนก่อนล่ะคะ เล่นถามเป็นชุดเลย" พิ้งค์พลอยทำโต้กลับเสียงแผ่วๆด้วยใบหน้าเหยเก
ดิเชร์ไม่พูดอะไรต่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วย่อตัวลงนั่งยองๆใกล้กันกับเธอ สายตาคมภายใต้แว่นดำมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่หล่นคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกลจากคนตรงหน้านัก
"พิ้งค์พลอย...โดนเรียน กลับไปเรียนได้แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรตามคนดูแลให้มาเอาตัวเธอไปส่งที่ด้านหน้าประตู"
"พี่ลีอองรู้ได้ยังไงคะว่าหนูชื่อพิ้งค์พลอย" พิ้งค์พลอยถามกลับด้วยแววตาที่ลุกวาว
ดิเชร์ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่คว่ำหน้าอยู่โดยที่เคสโทรศัพท์มีคำว่า pinkploy อยู่เลยทำให้ดิเชร์เดาได้ไม่ยากว่าผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไร เขายื่นโทรศัพท์มือถือคืนแล้วเอาด้านชื่อของเธอขึ้นเพื่อให้เธอเห็น พิ้งค์พลอยจึงพูดให้กำลังใจดิเชร์ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด
"พี่ลีออง! สู้ๆนะคะวันซ้อมใหญ่กับวันลงแข่งหนูจะมาเชียร์พี่" ดวงตาสดใสจ้องมองที่ใบหน้าของดิเชร์และพูดในสิ่งที่เธอต้องการ
"ขอบใจนะ ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้ แล้วเจ็บมากไหม" น้ำเสียงของดิเชร์อ่อนลงเมื่อได้ยินสิ่งที่พิ้งค์พลอยพูด
"เจ็บค่ะ หนูลุกไม่ไหวเลยนั่งอยู่แบบนี้ กะว่ารอให้มันดีขึ้นแล้วจะเดินไป..." พิ้งค์พลอยหยุดพูดเพียงเท่านี้ เพราะเธอคงรู้ว่าถ้าบอกไปว่าเธอจะแอบเข้าไปถ่ายรูปเขาในห้องพักคงจะโดนเอ็ดหรือไม่ก็โดนจับโยนออกข้างนอกแน่ๆ แต่ดิเชร์ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์คนที่แอบเข้ามาในสนามมีไม่เยอะส่วนใหญ่ก็ต้องการแอบถ่ายภาพเขาและเพื่อนๆ และดิเชร์ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คงเหมือนกันกับคนอื่นๆ
"รู้ได้ยังไงว่าวันนี้มีซ้อม" ดิเชร์ไล่มองที่ชุดนักเรียนและกระดุมมันทำให้เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้เรียนที่เดียวกันกับเขา
"คือ..."
"บอกมาเถอะ ถ้าเราเป็นแฟนคลับพี่จริง"
"เมื่อคืนเพื่อนหนูไปเที่ยวผับ แล้วบังเอิญพวกเพื่อนๆหนูได้ยินพวกเพื่อนๆของพี่คุยกันว่าวันนี้มีซ้อมที่สนามแต่เช้าค่ะ..." พิ้งค์พลอยพูดความจริงแต่เธอไม่ได้บอกเขาว่าเธอต้องแลกมาด้วยจำนวนเงินสองใบเทา
"เดี๋ยวพี่ช่วยพยุง ไปนั่งรอหน้าพิทก็แล้วกัน"
"ขอบคุณค่ะพี่ลีออง" ดิเชร์ยื่นแขนออกไปแล้วช่วยพยุงพิ้งค์พลอยให้ลุกขึ้นแล้วค่อยๆเดินไป ระหว่างทางดิเชร์ก็ชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึดอัดจนเกินไป
"กำแพงสูงขนาดนี้ ปืนขึ้นมาได้ยังไง"
"แหะๆ หนูขอยืมบันไดของร้านค้าในซอยค่ะ"
"แล้ว..."
"อ๋อ พอหนูกระโดดลงมาพี่เขาก็ยกกลับไปแล้วค่ะ พอดีพี่เขามาด้วย...ค่ะ"
"ดีจริงๆ" ดิเชร์พูดตอบสั้นๆ และเขาก็ไม่รู้จะชวนพูดหรือชวนคุยอะไรต่อ เลยทำให้ระหว่างทางที่เดินไปมันมีเพียงเสียงเท้าข้างที่แพลงทำให้เดินได้ไม่ถนัด พื้นรองเท้าผ้าใบจึงได้เสียดสีกับพื้นปูนซีเมนต์ นอกจากเสียงนี้ก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจของคนตัวเล็กกว่า ถึงแบบนั้นดิเชร์ก็เลือกที่จะนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน เพราะไม่ใช่เธอแค่คนแรกที่อยู่ใกล้กับนักแข่งลีอองแล้วหัวใจจะไม่เต้นแรง
"พี่ลีอองคะ"
"ว่าไง"
"ขอหนูถ่ายรูปคู่กับพี่ได้ไหมคะ" พิ้งค์พลอยเงยหน้ามองดิเชร์ด้วยแววตาที่อ้อนวอน แต่ถึงแบบนั้นหัวใจของเธอก็เต้นแรงมากขึ้น ใบหน้าขาวรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอจึงรีบก้มหน้าแล้วพูดออกไปใหม่เมื่อเห็นว่าดิเชร์ยังคงเงียบอยู่
"เอ่อคือ...แค่ยืนห่างๆกันก็ได้ค่ะ ไม่ต้องใกล้ แบบใกล้กัน...ฮึ่ย จะบอกยังไงดี" น้ำเสียงที่ประโยคหลังมันเบาเสียจนแทบจะไม่ได้ยินแต่สำหรับดิเชร์เขาได้ยินทุกคำพูดที่พิ้งค์พลอยพูดออกมา
"ได้สิ แต่ขอมีทีมงานถ่ายด้วยก็แล้วกัน"
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพี่ลีอองมากๆเลยค่ะ"
พิ้งค์พลอยรีบบอกขอบคุณพร้อมกับโค้งตัวลง โดยลืมไปว่าตอนนี้ดิเชร์กำลังพยุงตัวเธออยู่จึงทำให้เสียหลักจนเกือบล้มดีที่ว่าดิเชร์รับเอาไว้ได้ทัน แต่ทั้งคู่กับอยู่ในท่าที่...ถ้าใครมาเห็นตอนนี้ก็คงคิดว่าทั้งสองคนกำลังกอดกัน
"ขอโทษค่ะ หนูนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ"
"ไม่เป็นไร ใกล้ถึงแล้วทนเดินอีกนิดนึงก็แล้วกัน"
"ค่ะ...พี่ลีออง" 'หนูอยากหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้นานๆ พี่จะว่าอะไรไหมคะถ้าหนูจะบอกว่าชอบพี่' พิ้งค์พลอยคิดอยู่ในใจด้วยหัวใจที่เต้นแรงที่ไม่มีทีท่าว่าเบาลงถ้าหากร่างกายของเธอยังอยู่ใกล้นักแข่งรถที่ชื่นชอบขนาดนี้
เมื่อถึงพิทฝั่งซ่อมบำรุง ดิเชร์ก็ถ่ายรูปตามที่พิ้งค์พลอยได้ขอไว้ ในรูปที่ถ่ายในโทรศัพท์มือถือของพิ้งค์พลอยมีชายหนุ่มถ่ายร่วมกันอีกหลายคน โดยมีเธอกับดิเชร์ที่อยู่อยู่ตรงกลาง เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็ให้คนออกไปส่งเธอ เป็นจังหวะที่เพื่อนๆของเขามาพอดีจึงได้เทสรถก่อนจะลงไปขับที่สนาม
"พี่คะ จอดตรงนี้แป๊ปนึงค่ะ" พิ้งค์พลอยสะกิดให้คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ให้เธอซ้อน จอดตรงหน้าลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ของสนามแข่ง
"ครับ ได้ครับ"
"นั่นรถใครเหรอคะ" เธอชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าคันหนึ่ง
"อ๋อ รถคุณลีอองครับ"
"...พี่แน่ใจนะคะ" ใบหน้าของพิ้งค์พลอยตกใจ และหม่นหมองลงทันที เพราะเธอมั่นใจว่าเธอจำรถมอเตอร์ไซค์ไม่ผิดคันแน่นอนเพราะรถของพ่อเธอขับออกไปไม่ได้ห่างจากหน้าแฟลตที่พี่ดรีมอยู่สักเท่าไหร่ และเมื่อเทียบกับรูปหน้าและรูปร่าง...มันชัดเจนเกินไป...
"ครับ ผมเป็นคนเปิดประตูให้คุณลีอองเข้าเองกับมือ" คนดูแลหน้าประตูทางเข้า เขาตอบอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะเขาคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เป็นความลับอะไร
"..." และสิ่งที่เธอได้ยินอีกครั้งมันราวกับว่าเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่คิดมันคือเรื่องจริง แววตาที่สดใสก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา เธอได้แต่ภาวนาอย่าให้น้ำตาของเธอไหลออกมาในตอนนี้...ขอร้องล่ะ
อีกด้านนอกรั้วของสนามแข่ง ผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน แอบซุ่มอยู่ที่รั้วกำแพงสูงยืนอยู่บนหลังรถยนต์ของตัวเองโดยเอากิ่งไม้ที่มีใบมากพอให้ปิดตรงจุดที่ตัวเองยืนอยู่ จึงทำให้ดิเชร์กับพิ้งค์พลอยมองไม่เห็นว่า ตนเองนั้นกำลังโดนแอบถ่ายโดยที่ไม่รู้ตัว
"เอารูปนั้นขึ้นพาดหัวเลย"
"ได้ เดี๋ยวฉันส่งให้สำนักเลยจะได้ทันข่าวกีฬาช่วงเที่ยง"
"ดี เดี๋ยวผมถ่ายตอนรถวิ่งอีกนิด แล้วค่อยกลับ"
"โอเค"
บริษัทโซแอล
ช่วงเที่ยงในห้องอาหารพนักงานกลิ่นอาหารที่หอมทั่วบริเวณและเสียงพูดคุยที่ดังเป็นระยะที่มาจากด้านหน้า ด้านหลังและโต๊ะของเขากับดรีม
"เย็นนี้ผมไปรับพี่นะ" ดิเชร์พูดก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
"นายเหนื่อยแย่เลย พี่เกรงใจนายจัง"
"เอาอย่างงี้ไหมครับ"