ตอนที่9 มีเนื้อหาที่รุนแรง การใช้คำพูดหยาบไม่เหมาะสม อาจไม่เหมาะสำหรับผู้อ่านบางกลุ่ม มีฉากความรุนแรงในครอบครัว ทั้งทางกายและทางจิตใจ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
.
.
.
จากนี้ในวงเล็บเป็นบทสนทนาโดยใช้ภาษามือของแม่ดรีมกับพ่อเลี้ยงของดรีม
"(ถ้าคุณพอใจแล้ว ก็รีบกลับไป ดรีมกำลังจะกลับมาห้อง)" ดุจดาว
"(บอกลูกสาวมึงด้วย ว่าให้หาเงินมาอีกเยอะๆช่วยเหลือจุนเจือพ่อเลี้ยงมันบ้าง)" ชนินทร์
"(กลับไป)" ดุจดาว
"กูอยากรู้นัก ถ้าดรีมมันรู้ว่าเงินเก็บที่ให้มึงฝากไว้กับธนาคารตอนนี้ไม่เหลือสักบาทมันจะว่ายังไง หึ...ถ้ายิ่งรู้ว่ามึงเอามาให้ผัวใหม่อย่างกูหมด ดรีมมันก็คงจะโกรธมึงยังไงล่ะดุจดาว แต่กูรู้นะ ว่าจริงๆแล้วมึงก็ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเท่ากับ ลูกมึง!" ประโยคนี้ชนินทร์ไม่ได้ทำภาษามือ
แต่ทว่า...ดุจดาวก็ยังพออ่านปากของชนินทร์ได้บ้างเป็นบางคำ เธอจึงได้คุกเข่าอ้อนวอนขอร้องชายวัยกลางคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและร่างกาย
"อีนี่วอนอีกแล้ว" น้ำเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะบดกรามแน่น สายตาจ้องเขม็งไร้ความสงสาร
มือเล็กยื่นไปกำกางเกงคนตรงหน้าเขย่าไปมาอย่างอ้อนวอนและร้องขอแทบไม่เป็นภาษา ในขณะที่อีกคนสลัดขาออกเหวี่ยงจนร่างบางเสียหลัก มือใหญ่แข็งแรงยื่นมือไปจิกผมแล้วลากเข้าไปในห้องนอนก่อนจะปิดประตูให้สนิท จับร่างบางที่ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ห่อด้วยผ้าห่มหนาแล้วลงมือทำร้ายร่างกายด้วยการเตะเฉพาะในส่วนของร่มผ้าและที่ศีรษะโดยเฉพาะที่กกหูอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
"มึงควรหูหนวกแบบนี้น่ะดีแล้วอีดุจดาว มึงจะเก็บเงินไปรักษาทำห่าอะไร ฝากบอกลูกมึงด้วย หาเงินเอามาให้กูอย่างนี้นี่แหละดีแล้ว ได้ยินไหม!"
ถึงปากจะพูดแต่เท้ากับมือก็ไม่ได้หยุดแม้แต่วินาทีเดียว ดุจดาวเธอได้แต่นึกโทษตัวเองที่มาตกลงปลงใจอยู่กินกับชนินนทร์โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นเมียน้อย ไม่ใช่เมียเดียวอย่างที่ชนินทร์พูดเอาไว้ตั้งแต่แรก เธอจึงได้แต่กัดฟันทน เพราะคำร้ายๆที่พ่นออกมาจากปากคนที่กำลังทำร้ายเธออยู่ มันเป็นประโยคเดียว...ที่ทำให้เธอไม่กล้าบอกหรือเล่าให้ใครได้รู้กับสิ่งที่เธอโดนกระทำอยู่ทุกวันนี้...โดยเฉพาะดรีม
ชนินทร์ ธาดาศิริกุล เดิมมีฐานะค่อนข้างร่ำรวยในช่วงแรก แต่ตอนนี้หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียพร้อมกันจากอุบัติเหตุ ผ่านมากว่าห้าปีกลับเป็นหนี้มากมายเป็นเพราะบริษัทขาดทุนและบริหารงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำนายชนินทร์กับเมียหลวงยังชวนกันไปเล่นการพนันทุกครั้งที่ได้เงินมา
ชนินทร์ย่อตัวลงแล้วคลายผ้าห่มหนาออกจากร่างบางที่นอนนิ่ง แต่ดวงตากลับแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความคับแค้นใจที่มีต่อชนินทร์ แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้ ต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมกับคนคนนี้เสียที
ชนินทร์ยื่นมือไปจับที่ต้นแขนเล็กแล้วบีบแน่นทั้งสองข้างแล้วรั้งตัวขึ้น เพื่อให้ดุจดาวมองหน้าตัวเองได้อย่างชัดเจนก่อนจะพูดออกไปทีละคำ ช้าพอที่จะทำให้ดุจดาวอ่านปากออก
"มึงฟังกู เดือนหน้าอย่างน้อยกูต้องได้ห้าหมื่น ถ้าไม่อย่างนั้น มึงเตรียมรับข่าวร้ายได้เลย จะหาว่ากูไม่เตือน" ประโยคที่ชนินทร์พูดออกมาทีละคำ ทำให้ดุจดาวรีบหยักหน้ารับอย่างจำนน
อึก!
ชนินทร์ผละร่างบางออกก่อนจะเดินออกไปจากห้องเช่าในแฟลต แล้วเดินออกไปที่ด้านหลังที่เป็นที่จอดรถ ที่มีภรรยาและลูกสาวนั่งรออยู่ในรถที่ติดเครื่องรออยู่
"ไปนานจังนะ ไม่ใช่มัวแต่ไปนอนกับมันล่ะ" หญิงสาววัยกลางคนแผดเสียงดังอย่างไม่พอใจ เมื่อชนินทร์เข้ามานั่งอยู่เบาะฝั่งคนขับ
"เลิกพูดแบบนั้นเสียที" ชนินทร์ตอบกลับเสียงแข็งก่อนจะหลับตาลงเพื่อระงับความอารมณ์ของตัวเอง
"แล้วหนูจะได้กระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่ไหมคะพ่อ" หญิงสาววัยยี่สิบปีถามเสียงสดใสออดอ้อนคนเป็นพ่อทันทีเมื่อเห็นว่าตอนนี้พ่อของเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี และสิ่งนี้มักจะได้ผล ชนินทร์หันไปพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่ได้ใส่อารมณ์เหมือนในตอนแรก
"รอบนี้ได้น้อย ไม่รู้ว่านังดรีมมัวแต่ขี้เกียจหรือยังไงถึงได้มาไม่กี่หมื่น เอาไปคนละหมื่นพอ พ่อต้องรีบเอาเงินนี่ไปต่อยอด เลี้ยงข้าวนักธุรกิจที่มาเซ็นสัญญากับบริษัทก่อน ทนเอาหน่อยนะลูกเดี๋ยวเราต้องดีขึ้น"
"ค่าาา"
"เฮอะ! เมื่อไหร่จะดีขึ้นล่ะ ตอนนี้ฉันเลยไม่ได้ไปเล่นไพ่กับเพื่อนๆเลยนะคุณ"
"เออน่า เออน่า คราวนี้แหละ! อย่าพูดมากได้ไหม เอาเงินให้แล้วก็เลิกบ่น เลิกพูดเสียที น่ารำคาญ"
"นี่คุณอย่าพูดแบบนี้นะ ดีแค่ไหนที่ฉันไม่ฟ้องหย่า ไม่อย่างงั้นคุณคงหมดตัวกว่านี้แน่ ใช่ว่าฉันไม่รู้นะว่าคุุณยังมีอีหนูเลี้ยงอีกกี่คน" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำเสียดแทงและกระแนะกระแหน มันยิ่งทำให้ชนินทร์นึกถึงความผิดพลาดที่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้
มุกดา ธาดาศิริกุล เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ชนินทร์ทำเธอท้อง ทางครอบครัวของมุกดาจึงให้ชนินทร์รับผิดชอบด้วยการแต่งงานและมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนนั่นก็คือ พิงค์พลอย ธาดาศิริกุล ที่ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย ทั้งสองคนแม่ลูกมีนิสัยใช้จ่ายซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย หนักหน่อยตรงที่ทั้งมุกดาและชนินทร์ติดเล่นการพนันด้วยกันทั้งคู่
"เออรู้แล้ว" ชนินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจก่อนจะสตาร์ทรถแล้วค่อยๆขับเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถแล้วเลี้ยวออกจากซอยด้านข้างของแฟลต สายตาที่มองถนนด้านหน้า เขาจำได้ว่าผู้หญิงที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์อยู่คือดรีม เพราะกระจกหมวกันน็อกที่ใสทำให้เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน
"นั่นพี่ดรีมนี่พ่อ!" พิ้งค์พลอยพูดพร้อมกับชี้ไปที่ด้านหลังรถ
"แรดเหมือนแม่ไม่มีผิด นั่งกอดเอวผู้ชายไม่รู้จักอายคนหรือไง หรือชอบอ่อยผู้ชายเหมือนแม่" ริมฝีปากของมุกดาแสยะยิ้มที่มุมปาก ยิ้มเย้ยๆอย่างมีความพึงพอในเชิงลบ แล้วเหลือบสายตามองหน้าของชนินทร์เล็กน้อยที่หางตา
"พี่ดรีมยิ้มหวานให้ผู้ชายด้วยค่ะแม่" พิ้งค์พลอยเหลียวหลังกลับไปมองผ่านกระจกหลังรถ และสิ่งที่ชนินทร์เห็นผ่านกระจกมองหลังก็คือใบหน้าของผู้ชายที่มาส่ง
"คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่นึกไม่ออก" ชนินทร์ไม่ได้สนใจที่มุกดาพูดจาค่อนแขวะ กระทบกระเทียบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ก็พอทำให้มุกดาได้ยินทุกคำและเธอก็เหลียวหลังไปมองเช่นกัน แต่มันก็ห่างเกินไปจนเธอมองไม่เห็นใบหน้าของผู้ชายที่มาส่ง
บริเวณหน้าแฟลต รถมอเตอร์ไซค์จอดสนิทพร้อมกับดับเครื่องอยู่ที่ข้างทางที่เต็มไปด้วยผู้คน ต่างเดินสัญจรกันไปมา
"ขอบใจนะที่มาส่ง" ดรีมถอดหมวกกันน็อกออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสและยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวให้กับดิเชร์
"พรุ่งนี้เช้า ผมมารับพี่ได้ไหม" ดิเชร์ถอดหมวกกันน็อกก่อนจะถามดรีม
"แล้วแต่ อ่ะนี่หมวก" ท่าทางเอียงอายของดรีมช่างน่ารัก จนทำให้ดิเชร์มองดรีมอย่างไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
"พี่ดรีมเก็บเอาไว้เลยครับ เพราะยังไงก็พี่ดรีมต้องได้ใส่"
"อ๋อหรือว่า นายให้หมวกกันน็อกกับผู้หญิงทุกคน?"
"แค่พี่คนเดียว และคนแรกที่ผมให้หมวกกันน็อก" คำตอบของดิเชร์ทำเอาดรีมยืนยิ้มพร้อมกับบิดตัวไปมา ใบหน้าเริ่มแดงจนลามไปถึงใบหูและมันทำให้ดิเชร์อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
ดิเชร์ยื่นมือไปหยิบถุงแกงที่ตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ แล้วยื่นให้กับดรีม "ถุงแกงครับ แล้วนี่...แม่พี่อยู่ห้องคนเดียวหรือครับ"
"อื้อ แม่รับงานมาทำที่ห้องน่ะ คือแม่พี่..." ดรีมดูอ้ำอึ้ง เธอกำลังคิดว่าดิเชรืจะรังเกียจเธอไหมถ้าเธอจะเล่าเรื่องแม่เธอให้ดิเชร์ฟัง
"ยังไม่ต้องเล่าก็ได้ครับถ้าพี่ยังไม่สะดวกใจ อ๋อ!พี่มีทำงานที่ผับนี่นา ถ้าอย่างงั้นตอนเย็นผมมารับนะครับ"
"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่ไปผับเองได้เอาเจอกันตอนเช้านะ" ดรีมรีบปัดมือไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธเพราะว่าเธอเกรงใจ
"ครับ" และดิเชร์เองก็ตอบกลับสั้นๆ เพราะเขาไม่อยากให้ดรีมลำบากใจหรือไม่สบายถ้าเขาจะทำตามที่ตนเองต้องการมากเกินไป
"เอาไว้...ถ้าพี่พร้อมพี่จะเล่าเรื่องแม่ และเรื่องพี่ให้นายฟังนะ"
"ครับพี่ดรีม ถ้าพี่อยากเล่าให้ผมฟังเมื่อไหร่ผมก็จะยินดีที่รับฟังทุกเรื่อง ทุกอย่างที่พี่ดรีมอยากเล่าให้ผมฟัง" ดรีมพยักหน้าและยิ้มตอบก่อนจะเดินเข้าไปในแฟลต
ดิเชร์ยืนมองดรีมเข้าห้องก่อนจะใส่หมวกกันน็อกแล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปที่ผับเพื่อทำงานต่อ
แกร๊ก! ดรีมเปิดประตูเข้าห้องไปด้วยความสงสัยว่าทำไมวันนี้แม่ของตนเองถึงไม่ได้ล็อกประตูห้องเหมือนอย่างที่เคยทำ ไฟไม่ได้ถูกเปิดตรงกลางห้องไม่มีแม่ของเธอนั่งอยู่เหมือนอย่างเคย
มือเล็กกดเปิดสวิตช์ไฟวางถุงแกงลงบนชั้นวางของ แล้วรีบเดินไปดูที่ห้องน้ำ เมื่อไม่เห็นก็รีบเดินไปดูที่ห้องนอนต่อ มือเล็กกดเปิดสวิตช์ไฟในห้องนอนถึงได้เห็นว่าแม่ของเธอนอนหลับ จึงได้เดินไปดูใกล้ๆพร้อมกับวางมือลงที่หน้าผาก
"ตัวไม่ร้อน สงสัยแม่จะง่วง ไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานดีกว่า"
ดุจดาวเมื่อรู้สึกว่าดรีมเดินออกไปแล้วเธอจึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกจากหางตา ดุจดาวเธอรีบเช็ดออกก่อนจะรีบนอนเหมือนอย่างเดิม เพียงเพื่อรอเวลาให้ลูกสาวของตัวเองออกไปทำงาน ทุกอย่างที่ดรีมทำเป็นเวลาที่แน่นอนไม่ขาด ไม่เกินไปกว่าสิบนาทีคนเป็นแม่อย่างเธอรู้ดี
ดรีมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ก็เขียนโน๊ตเล็กๆเอาไว้ให้แม่ของเธอว่าวันนี้มีแกงอะไร วันนี้มีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษ และประโยคสุดท้ายที่เธอมักจะเขียนทุกครั้งก็คือ 'หนูรักแม่นะคะ' กระดาษโน๊ตถูกแปะไว้ที่หน้ากระจก ก่อนที่เธอจะลุกไปหอมแก้มแม่ของเธอฟอดใหญ่ๆ แล้วจึงได้เวลาออกไปทำงานที่ผับต่อ
ดุจดาวลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบโทรศัพท์พิมพ์ข้อความหาคนที่เธอพอจะหยิบยืมเงินได้บ้างในยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ติ้ง! เสียงแจ้งเตือนข้อความในโทรศัพท์ดัง ทำให้มือที่ถือสายยางรดน้ำอยู่วางลงกับพื้นสนามหญ้าสีเขียว พลางเดินไปปิดน้ำแล้วจึงได้เปิดข้อความอ่าน