8

1148 Words
พุทธิญามองสิ่งแปลกตารอบ ๆ ตัวด้วยความแปลกใจ.. ทำไมมีตลาดแบบนี้ในสวนหย่อมของสนามบิน เธอมองผู้คนที่แต่งตัวด้วยชุดโบราณ นึกสงสัยว่าพวกเขาคงมาถ่ายซีรีส์กัน แต่ก็ไม่เห็นทีมงานกองถ่ายเลยสักคน เธอมองหาทีมงานกองถ่าย แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองตามคุณยายหมอดูที่เดินอยู่ข้างหน้า เธอพยายามหลบหลีกผู้คนที่พลุกพล่าน และรู้สึกประหม่าแกมหวาดหวั่นเมื่อมีสายตาหลายสิบคู่มองดูเธอแปลก ๆ และซุบซิบใส่กัน.. แล้วความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในหัวสมองของเธอทันที “ดวงของเจ้าไม่ใช่คนที่นี่ เจ้าเป็นคนที่มาจากอดีต” พุทธิญารีบมองหาคุณยายหมอดูด้วยหัวใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพื่อจะถามท่านให้รู้เรื่อง.. แต่ข้างหน้าเธอไม่มีท่านอยู่แล้ว มีแต่คนที่แต่งตัวแปลก ๆ เดินสวนกันไปมา น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาที่ลูกตา แต่ก็อดกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา เธอลากกระเป๋าใบใหญ่ที่เปรียบเสมือนเพื่อนของเธอในตอนนี้ไปตามทาง พยายามแยกตัวออกจากผู้คนเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นจุดเด่น จนออกห่างจากความวุ่นวาย เธอยังเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเล็ก ๆ ที่ติดกับกำแพงอิฐสูงท่วมหัว แต่เดินมาตั้งไกลแล้วก็ยังไม่พ้นกำแพงนี้สักที เธอเริ่มรู้สึกตัวว่าหนาวขึ้นมาก จึงหยุดเดินแล้วติดกระดุมเสื้อคลุมให้เรียบร้อย อาการแพ้อากาศและอาการปวดหัวกำลังเล่นงานเธอหนักขึ้น จึงหยิบยาแก้แพ้และแก้ปวด กับน้ำที่เหลืออยู่เกือบเต็มขวดในกระเป๋าสะพายออกมากิน เรียบร้อยแล้วจึงเริ่มต้นเดินต่อไป เดินไปได้สักพักก็พบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในช่องกำแพง เมื่อเห็นชุดที่เขาสวมจึงเดาว่าเขาอาจจะเป็นทหารเฝ้ายาม อาการไข้ที่เริ่มหนักขึ้นทำให้เธอตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา “เอ่อ..ขอโทษนะคะ ขอฉันนั่งพักที่นี่สักครู่ได้มั้ย” เธอชี้ที่พื้นด้านหน้าขณะพูดกับเขาด้วยภาษาจีนกลาง ไม่มั่นใจสักนิดว่าเขาจะเข้าใจหรือเปล่า “ไม่ได้หรอกแม่นาง ที่นี่เป็นคฤหาสน์ของท่านอ๋อง ไม่ใช่ศาลาริมทางที่ใครจะมานั่งก็ได้” ชายคนนั้นตอบสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงห้วนห้าวไร้ความเป็นมิตร อยากจะบ้าตาย ฉันหลุดมาอยู่ยุคนี้ได้ยังไงกันนะ ทำไมมีคนแล้งน้ำใจเช่นนี้หนอ.. เธอคิดในใจ แล้วน้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาราวทำนบพัง ความอัดอั้นบวกกับอาการไข้ที่เป็นอยู่ ทำให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง “เจ้าเป็นอะไร ทำไมต้องร้องไห้ด้วยเล่า” ชายหนุ่มตกใจจนหน้าซีด เขายังไม่ได้ทำอะไรนางสักนิด แต่นางก็มาร้องไห้โฮอยู่ตรงหน้าแบบนี้ นึกอยากจะไล่ก็ไล่ไม่ลง สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน “เงียบได้แล้วแม่นาง ถ้าอยากจะนั่งพักก็เชิญ แต่อย่านานนักล่ะ เพราะถ้าเจ้านายของข้ามาเห็นเข้า เกรงว่าศีรษะของข้ากับเจ้าอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ที่เดิม” พุทธิญาตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน อะไรกันหนักหนา ไม่พอใจก็ตัดหัว ไม่พอใจก็ฆ่า นี่มันยุคไหนกันวะ หัวเธอหมุนติ้ว อาการปวดหัวกำเริบหนักเข้าไปอีก รู้สึกถึงแรงเต้นของเส้นเลือดในสมองจนต้องนิ่วหน้า รีบปาดน้ำตาทิ้งแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากตรงนั้น เพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร “นั่นเจ้าจะไปไหน ไม่นั่งพักก่อนเหรอ” ชายหนุ่มยังมีแก่ใจวิ่งออกมาดักหน้าแล้วถามอย่างมีน้ำใจ “ขอบคุณท่านมาก แต่ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา แม้สีหน้าของเธอจะดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการตกแต่งไว้อย่างสวยงามรับกับใบหน้าเหลือเกิน สรุปแล้วเธอเป็นสาวงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว “แล้วเจ้าจะไปที่ไหน เจ้ามาจากไหน ทำไมแต่งตัวไม่เหมือนคนที่นี่ เจ้าเป็นชาวตะวันตกเหรอ แล้วทำไมเจ้าถึงพูดภาษาของเราได้” “ข้าไม่ใช่ชาวตะวันตก แต่เป็นคนสยาม ดินแดนสยามอยู่ทางทิศใต้ของดินแดนแห่งนี้ มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรก แต่ตอนนี้พลัดหลงกับสหายหากันไม่เจอ” “ข้าไม่รู้จักดินแดนสยามของเจ้าหรอก แต่หน้าตาเจ้าไม่สู้ดีนัก นั่งพักสักครู่แล้วค่อยเดินทางต่อเถิด” เขาแสดงความมีน้ำใจ “ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเดือดร้อน ช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ยว่าแถวนี้มีโรงแรมไหม..ข้าหมายถึงโรงเตี๊ยมน่ะ” เธอแปลกใจตัวเองมากที่พูดคุยตอบโต้ได้คล่องปาก และสามารถฟังภาษาจีนยุคโบราณของเขาได้แตกฉานจนน่าอัศจรรย์ “บอกไปเจ้าก็ไปไม่ถูกหรอก เอาอย่างนี้ดีไหม รอให้ข้าผลัดเวรยามก่อน แล้วข้าจะพาแม่นางไปที่บ้าน ไม่ต้องตกใจ ๆ ที่บ้านข้ามีเมียและลูกอยู่ด้วย บ้านแม่ยายพ่อตาข้าก็อยู่ใกล้ ๆ กัน เจ้าก็ไปนอนที่บ้านพวกท่าน บ้านข้าอยู่ท้ายคฤหาสน์ท่านอ๋องนี่เอง ท่านอ๋องแบ่งปันที่ดินให้พวกเราบ่าวไพร่ได้อาศัยอยู่” เขารีบบอกให้นางเข้าใจ เมื่อเห็นนางมองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ “ข้าเกรงใจ แค่บอกทางไปโรงเตี๊ยมก็พอ” ถึงจะรู้สึกดีที่เจอคนมีน้ำใจแต่เธอก็ไม่กล้าไว้วางใจใคร “บอกไปก็เกรงว่าเจ้าจะไปไม่ถูก รอข้านะหนึ่งชั่วยามได้หรือไม่ แล้วข้าจะพาไป” เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แปลกใจตัวเองที่รู้ว่าหนึ่งชั่วยามของเขาเท่ากับสองชั่วโมง.. เท่ากับเธอต้องรอเกือบหกโมงเย็น “..ก็ได้” รอก็รอ เพราะเธอก็ไม่รู้จะไปไหนจริง ๆ เงินของสมัยนี้ก็ไม่มี มีแต่สร้อยคอกับแหวนอีกสองวงหนักอย่างละสลึง และกำไลข้อมือหนักสี่บาท สมัยนี้เขาใช้ทองแลกเปลี่ยนกันหรือเปล่าเธอก็ไม่รู้อีก ซู้ด...ไม่ไหวแล้ว เธอคิดต่อไม่ไหวแล้ว เพราะปวดหัวมากขึ้นทุกที แสบจมูกคัดจมูกไปหมด จึงตัดสินใจลากกระเป๋าไปพิงกับกำแพงแล้วใช้นั่งแทนเก้าอี้ พิงหลังกับกำแพงให้ได้ท่าที่สบายที่สุดแล้วเริ่มนวดขมับให้คลายปวด ถ้าได้นอนสักหน่อยอาการอาจจะดีขึ้น คิดได้ดังนั้นจึงหลับตาลง “ข้าปวดหัวมาก ขอนอนพักระหว่างรอเจ้าหน่อยนะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD