แม่ผัวลูกสะใภ้

1689 Words
ธัญญ์นลินหายป่วยแล้วหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเธอตั้งใจจะเข้าไปคุยกับแม่สามีเรื่องรับลูกคนเล็กไปดูแลเอง เพราะเธอกลัวจะซ้ำรอยเดิมเหมือนชาติแล้ว ด้วยความที่เป็นสะใภ้ที่ถูกชังพอเห็นว่าแม่สามีรักใคร่เอ็นดูหลานจึงไม่อยากขัดใจ ปล่อยให้คนเป็นย่าดูแลได้เต็มที่ ใช่ว่ากลัวคนเป็นย่าจะเลี้ยงไม่ดี แต่ใครๆ ก็มีสิทธิ์ผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น รักมากตามใจมากก็ไม่ดี รักน้อยเข้มงวดมากไปก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะอย่างนี้ต่อให้รู้ว่าคนเป็นย่าเอ็นดูไม่คิดทำร้ายหลานก็จริง แต่เธอจะไม่มีวันให้พวกเขาเป็นเหมือนเมื่อชาติก่อน หากฐิรดลใช้ไม้อ่อน ไม้แข็งก็คงต้องใช้กับฐิรวิชญ์ เธอคิดไปคิดมาก็มาถึงห้องพักผ่อนประจำของแม่สามี ในห้องนี้เหมือนห้องสมุดขนาดย่อมๆ เพราะคุณหญิงฐิตินันท์นั้นชอบอ่านหนังสือ น่าเสียดายที่ฐิรวิชญ์คลุกคลีกับย่าบ่อยๆ แต่ไม่ได้นิสัยรักการอ่านของย่ามาเลยสักนิด สายตาของหญิงวัยห้าสิบเหลือบมองลูกสะใภ้ที่เข้าในห้องก็เสไปมองทางอื่นคล้ายไม่อยากมองให้เสียสายตา นางเจ็บใจนักเห็นหน้าหวานๆ ซื่อๆ แบบนี้หลอกล่อไอ้ลูกชายหน้าโง่ของนางจนมีลูกได้ เรื่องนี้เป็นข่าวงามเมืองสะเทือนไปทั้งประเทศหากพวกนางเป็นแค่ครอบครัวเล็กๆ ก็พอปล่อยวางได้ แต่นี่ครอบครัวของนางมีหน้ามีตาใครๆ ก็รู้จักนามสกุล 'อัศวินพาทิศ' นางไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหน คนรู้จักเพื่อนสนิทก็แอบนินทาลับหลังนาง หัวเราะสนุกอยู่หลายปี "คุณแม่คะ หนูหายหวัดแล้ว เลยจะมารับตาซอลไปดูแลค่ะ" เธออยู่ตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามแม่สามีเอ่ยความตั้งใจอย่างไม่อ้อมค้อม คุณหญิงฐิตินันท์หันมองลูกสะใภ้อีกครั้ง คราวนี้หยุดอยู่กับที่ไม่หันไม่มองทางอื่นแต่อย่างใด แต่ไหนแต่ไรมาสะใภ้คนนี้ก็กลัวเธอจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาคุย ทุกครั้งต้องก้มหน้าก้มตาราวกับหาเศษเหรียญที่พื้นจะคุยแต่ละทีแต่ละเรื่องต้องอ้อมโลกอึกๆ อักๆ น่ารำคาญ หากพาไปนอกบ้านคงขายขี้หน้ายิ่งกว่าเดิม แต่คราวนี้มาแปลก นอกจากจะพูดจาฉะฉานตรงประเด็นยังกล้านั่งฝั่งตรงข้ามนาง สบสายตาได้อย่างเปิดเผย "ทำไมถึงจะเอาไป อยู่กับฉันไม่ดีตรงไหน พี่เลี้ยงก็มี ข้าวของอะไรก็ไม่ขาด" "หนูทราบดีค่ะ คุณแม่รักเอ็นดูตาซอลมาก แต่หนูอยากเลี้ยงเขาด้วยตัวเอง หากให้พี่เลี้ยงเป็นคนดูแลไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเขาอาจจะไม่ใช่ลูกของหนูจริงๆ ก็ได้" เธอเอ่ยออกมาตามตรงอย่างที่คิด ไม่สนใจสายตาจิกจนแทบถลนของแม่สามี "เหลวไหล เธอจะบอกว่าฉันเสี้ยมสอนหลานให้เกลียดแม่ตัวเองหรือไง" คุณหญิงฐิตินันท์เอ่ยอย่างหาเรื่อง เห็นหน้าแล้วขัดหูขัดตา "ไม่ใช่ค่ะ คุณแม่ก็ทราบดีนี่คะว่าหนูไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่หนูบอกก็คือสายสัมพันธ์ แม่ที่ห่างเหินกับลูกตั้งแต่เล็ก ต่อให้เป็นคนคลอดออกมาก็สนิทสนมคุ้นเคยกันยาก หนูไม่ได้บอกว่าพี่เลี้ยงที่คุณแม่จ้างมาไม่ดี แต่จะมีใครที่ตักเตือนได้ดีไปกว่าคนเป็นแม่ เพราะคนอื่นถูกจ้างด้วยเงินเขาก็ดูแลเพราะเงิน คงไม่กล้าดุด่าว่ากล่าวมากนัก คุณแม่ว่าจริงไหมคะ" ประโยคยาวเหยียดชัดถ้อยชัดคำของสะใภ้ทำเอานางได้เปิดหูเปิดตา เหมือนคนไปกินอะไรผิดสำแดง เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน หากเป็นก่อนหน้านั้นคงเอ่ยขอโทษขอโพยแล้วก็จบไปไม่กล้าสู้หน้าอีก แต่วันนี้เหมือนกับมาเพราะตั้งใจจริงๆ "ใช่ว่าจะอยู่ไกลกันนี่คะ อยู่บ้านรั้วเดียวกัน หนูเอาเขาไปเลี้ยงเหมือนแม่คนหนึ่งเท่านั้น แต่จะพามาเล่นกับคุณแม่ทุกวันแน่ๆ ค่ะ รับรองว่าคุณแม่ไม่เหงาแน่นอน" "หึ ฉันไม่ได้อยากเจอหน้าหล่อนบ่อยๆ หรอกนะ แล้วนี่ป่วยใกล้ตายหรือไง ถึงได้ฟื้นไข้ขึ้นมาก็เอาแต่โหยหาลูกขนาดนี้" คำเอ่ยว่าเช่นคนปากไวเพียงเท่านั้นแต่กลับสะเทือนไปถึงใจคนฟัง หญิงสาวยิ้มหวานหยดที่ต่างจากทุกครั้ง มันดูทั้งเจ็บปวดเย้ยหยันและจริงจัง "ชีวิตคนมันสั้นนี่คะ หนูก็กลัวตายจริงๆ กลัวว่าจะต้องตายอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีลูกๆ มาเหลียวแล" "สําบัดสํานวนเหลือเกิน จะทำอะไรก็ทำเถอะย่ะ ยังไงฉันก็เป็นแค่ย่านี่ หาคนมาช่วยเลี้ยงก็ไม่เอา เรื่องมากจริงๆ " คนเป็นแม่สามีเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรคำพูดลูกสะใภ้เมื่อครู่ดูเหมือนจะไม่ใช่ยั่วโมโห แต่นางกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานในคำพูดนั้นจริงๆ "ขอบคุณค่ะ" เธอยิ้มหวานส่งให้อีกครั้งจนแม่สามีตาพร่าไปชั่วครู่ เริ่มรู้สึกเกลียดรอยยิ้มนี่เสียแล้ว "มีเรื่องอยากจะขออีกเรื่องค่ะ" "อะไรอีก ได้คืบจะเอาศอกนะยะหล่อน" "หนูไม่อยากให้ตาซอไปเรียนพิเศษที่คุณแม่หาให้ค่ะ” หนังสือถูกวางบนโต๊ะด้วยแรงอารมณ์จนเสียงดังก้อง "มันจะมากไปแล้วนะ ฉันสรรหาครูอาจารย์มาให้ยากลำบากขนาดไหน หมดเงินหมดทองไปเท่าไหร่ โน่นไม่เอานี่ก็ไม่เอา แล้วก็มาว่าฉันไม่สนใจไยดี เธอคิดจะเป็นศัตรูกับแม่ผัวหรือไง" หญิงสาวนั่งนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะตกใจเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่ายังซะแม่สามีก็ต้องโกรธ "หนูขอโทษค่ะ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่ดี แต่ก็เพราะเหตุผลเดียวกันกับตาซอล หนูไม่อยากให้ลูกอยู่ไกลหูไกลตา" เพราะหลังจากงานวันเกิดแล้ว ตาซอหรือฐิรดลต้องไปเรียนพิเศษที่แม่สามีหาให้ ไม่ใช่อาจารย์ไม่ดีอาจารย์คนนั้นเก่งมากชนิดที่ค่าตัวแพงลิบลิ่ว คิดต่อหัวชั่วโมงละหลายพัน แต่เพราะลูกหลานที่ไปเรียนเป็นคนแวดวงเดียวกันทำให้หนีไม่พ้น ลูกของเธอต้องถูกล้อเลียน โดนเพื่อนๆ เยาะเย้ยถากถางทุกวัน เธอจะไม่ให้ลูกต้องไปเจออะไรแบบนั้นอีก "เธอเป็นอะไร ป่วยจนเพี้ยนหรือไง จะล่ามโซ่ผูกติดกันไว้ในบ้านเลยไหมล่ะ" "หนูอยากให้คุณแม่เป็นคนสอนตาซอค่ะ ได้ไหมคะ" "นี่หล่อน กล้ามาก กล้าใช้แม่ผัวเลยหรอหะ" คราวนี้เธอนิ่งเงียบไม่พูดแทรก ไม่ก้มหน้าหลบหนี ปล่อยให้แม่สามีชี้หน้าด่าต่อไปจนกว่าจะเหนื่อยไปเอง เธอได้เรียนรู้จากชาติที่แล้ว ต่อให้แม่สามีชิงชังเธอแค่ไหนแต่กับหลานในไส้ไม่มีวันกล้าทำร้ายได้ สำหรับฐิรดลถึงจะเมินเฉยใส่แต่ก็หาสิ่งที่คิดว่าดีมาประเคนให้ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ดูเหมือนหลานๆ จะได้สิ่งตรงข้ามจากผู้เป็นย่าหามาให้ทุกคน คนโตหาอาจารย์ที่ดีที่สุดมาให้ แต่นอกจากความรู้ก็ได้ความเก็บกดกลับมาบ้าน คนเล็กหาพี่เลี้ยงที่ดีที่สุดมาให้ นอกจากความสุขสบายก็ยังได้ความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ช่างน่าปวดหัวจริงเชียว คุณหญิงฐิตินันท์ด่าลูกสะใภ้จนหอบ ยกน้ำขึ้นจิบนั่งนิ่งสักพักถึงได้ใจเย็นลง "เธอต้องการอะไร พูดมาซิ" "ที่หนูอยากให้คุณแม่สอน ตาซอลที่มาเล่นกับคุณแม่บ่อยๆ จะได้ซึมซับความรู้ไปด้วยเพราะอยู่ในช่วงเรียนรู้ อีกอย่างตาซอกับตาซอลเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาแท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยได้เจอได้เล่นด้วยกัน หากคนนึงอยู่บ้านอีกคนอยู่นอกบ้าน จะให้พี่น้องเอาเวลาไหนมาพูดคุยสนิทสนม" เธอพูดอย่างจริงจังทุกถ้อยคำล้วนมาจากความปรารถนาของเธอจริงๆ "สำหรับคนเป็นแม่ สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือพี่น้องรักใคร่ปรองดอง หากวันใดเมื่อปู่ย่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็เหลือแค่พี่กับน้อง หากใครผิดพลาดล้มลง อย่างน้อยสายสัมพันธ์นั้นยังเป็นมือแขนขาช่วยพยุงลุกขึ้นได้" หญิงสาวเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มซีเรียสก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "อีกอย่างได้ข่าวว่าคุณแม่เคยเป็นคุณครูนี่คะ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหลานย่าอย่างคุณแม่เลยนะคะ ได้อยู่ใกล้ๆ หลานด้วย" เมื่อถูกสะใภ้ชมแถมยังหลอกใช้ซึ่งๆ หน้าอย่างไม่เคยเป็นก่อน คนอายุห้าสิบกว่าปีอย่างนางก็วางหน้าไม่ถูกเป็นเหมือนกัน "ปากดี พูดเก่ง" อดไม่ได้ที่จะเหน็บเหมือนอย่างเคย "ฉันจะคิดดูก่อน เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันปวดหัว มีอย่างที่ไหนใช้งานแม่ผัว" นางบ่นว่าลูกสะใภ้กระปอดกระแปด หลังจากไล่ลูกสะใภ้ออกไปแล้วก็หันไปคุยกับคนสนิทที่นั่งเงียบราวกับไร้ตัวตนตั้งแต่ลูกสะใภ้เข้ามา "แม่สำลีคิดว่าเมียลูกฉันแปลกๆ ไปไหม ดูเหมือนไม่ใช่คนเดิม" "ได้ข่าวมาเมื่อสองวันก่อนคุณบัวเธอฟื้นไข้ก็เพี้ยนค่ะ เห็นว่าส่องกระจกไปยิ้มหัวเราะไป แถมยังให้ยายเด็กแสงตบตัวเองด้วย ถ้าไม่ผีเข้าก็น่าจะบ้าค่ะ" คุณหญิงฐิตินันท์จิกตาใส่คนสนิทที่บังอาจว่าเจ้านาย ต่อให้เธอชิงชังแค่ไหนยายเด็กนั่นก็นามสกุลเดียวกันกับนาง แล้วหันไปต่อว่าคนสนิทก่อนเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆ "นี่ว่าเมียลูกชายฉันหรือไงยะ ขืนยังเป็นแบบนี้ ตาขลุ่ยกลับมาคงคิดว่าฉันหาเมียใหม่มาให้"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD